ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: จิตวิทยาคลายฉงน : ทำไมคนชอบท่องเที่ยว  (อ่าน 1081 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29399
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


จิตวิทยาคลายฉงน : ทำไมคนชอบท่องเที่ยว
โดย...กาญจนา อายุวัฒน์ธนชัย

เราอาจไม่รู้ตัวว่าทุกการกระทำล้วนมีพลังจิตวิทยาเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่เว้นแต่เวลาอยากท่องเที่ยวแต่ละคนต่างมีแรงจูงใจต่างกัน ซึ่งสิ่งที่เกิดภายในจิตใจของเรานั่นเองคือบทเรียนแห่ง “จิตวิทยาการท่องเที่ยว”

เรื่องนี้ได้กลายเป็นหัวข้อวิจัยของทริปแอดไวเซอร์ประจำปี 2558 โดยได้ทำการสอบถามนักท่องเที่ยวและผู้ที่ทำงานในอุตสาหกรรมโรงแรม 53,804 คน ซึ่งมีคนไทยร่วมตอบแบบสอบถาม 765 คน ใน 3 ประเด็นหลัก คือ แรงจูงใจที่ทำให้ออกไปท่องเที่ยว ความรู้สึกในแต่ละช่วงของการเดินทาง และหลังจากการท่องเที่ยวมีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันอย่างไร ผลการวิจัยที่ได้คือผลลัพธ์ด้านจิตใจในรูปของข้อมูลสถิติที่สามารถอ้างอิงได้ว่า “คนไทยไม่เหมือนใครในโลก”




ถาม : ทำไมถึงท่องเที่ยว"?
ตอบ : ความอิสระ


นักท่องเที่ยวทั่วโลก 71 เปอร์เซ็นต์ออกเดินทางเพราะต้องการสร้างมุมมองใหม่ให้แก่ชีวิตและเปิดโลกกว้าง 62 เปอร์เซ็นต์ อยากรู้สึกเป็นอิสระเสรี ปล่อยวาง และไม่เป็นกังวลเรื่องใดๆ ต่างจากนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีความอิสระเสรีเป็นแรงจูงใจหลัก คิดเป็น 69 เปอร์เซ็นต์ ตามมาด้วยอยากพบปะผู้คน และมีส่วนร่วมกับวัฒนธรรมท้องถิ่น 56 เปอร์เซ็นต์ ส่วนการเปิดโลกกว้างมีจำนวนร้อยละ 54

หากเจาะลึกลงไปในแต่ละทวีปยิ่งมีความน่าสนใจ คนเอเชียอยากมีประสบการณ์อันน่าตื่นเต้น ชาวออสเตรเลียต้องการช่วงเวลาอันน่าจดจำ ชาวตะวันออกกลางอยากออกไปสัมผัสชีวิตท้องถิ่น ชาวแอฟริกาต้องการการดูแลเป็นอย่างดีและต้องการเป็นคนพิเศษ ชาวอเมริกาเหนืออยากเชื่อมสัมพันธ์กับคนสนิทให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ชาวอเมริกาใต้อยากพบเจอคนใหม่ๆ และชาวยุโรปอยากท่องเที่ยวเพื่ออวดประสบการณ์ของตัวเอง ผลการวิจัยยังระบุด้วยว่าชาวรัสเซียต้องการความหรูหราจากการท่องเที่ยว ในขณะที่ชาวบาเซโลนาและชาวปักกิ่งต้องการประสบการณ์จากการท่องเที่ยวที่หาไม่ได้จากที่อื่น



แรงจูงใจในการท่องเที่ยวยังมีทฤษฎีด้านจิตวิทยาอื่นๆ อีก เช่นแนวโน้มแรงจูงใจของนักท่องเที่ยวโดย เพียร์ซ (Pearce) มอร์ริซัน (Morrison) และรุทเทิลเอดจ์ (Rutledge) ได้แก่ สัมผัสสิ่งแวดล้อม พบปะกับคนในท้องถิ่น เข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่น สร้างเสริมความสัมพันธ์ภายในครอบครัวพักผ่อนในสภาพแวดล้อมที่น่าสบาย ทำกิจกรรมที่สนใจ มีสุขภาพดี ได้รับการคุ้มกันและความปลอดภัยได้รับสถานภาพทางสังคม และให้รางวัลแก่ตัวเอง ขณะที่สวอร์บรูก (Swarbrooke) กล่าวว่า แรงจูงใจในการท่องเที่ยวมี 6 ประเภท คือ ด้านสรีระ ด้านวัฒนธรรม เที่ยวเพื่อตอบสนองความรู้สึกบางอย่าง เที่ยวเพื่อให้ได้มาซึ่งสถานภาพ ด้านการพัฒนาตนเอง และแรงจูงใจส่วนบุคคล

ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลอันใด หรือทฤษฎีใดก็แล้วแต่ แรงจูงใจในการท่องเที่ยวอย่างเดียวไม่สามารถเกิดผลกระทบใดๆ หากไม่ตัดสินใจออกเดินทาง ผลการวิจัยจากทริปแอดไวเซอร์ชี้ว่า นักท่องเที่ยวทั่วโลก 54 เปอร์เซ็นต์ รู้สึกตื่นเต้นขณะทำการจอง และตื่นเต้นถึงขีดสุดเมื่อมาถึงสถานที่นั้นแล้ว จากนั้นจะรู้สึกผ่อนคลายมากที่สุดขณะพักผ่อน และรู้สึกเต็มอิ่มเมื่อเริ่มเดินทางกลับบ้านจนถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว

สรุปแล้ว ชาวไทยมีความอิสระเสรีเป็นแรงจูงใจหลัก เพื่อจะได้ใช้ชีวิตในวันหยุดอย่างมีความสุขที่สุดในขณะที่คนส่วนใหญ่ทั่วโลกต้องการออกไปพบมุมมองใหม่ ความแตกต่างนี้ทำให้เห็นว่าชีวิตทุกวันของเราขาดอะไรไป เพราะแรงจูงใจก็คือสิ่งเติมเต็มในสิ่งที่ต้องการ




ถาม : ท่องเที่ยวแล้วได้อะไร.?
ตอบ : ได้เรียนรู้สิ่งใหม่


คนไทยอยากท่องเที่ยวเพราะต้องการความอิสระ แต่เมื่อกลับมาแล้วกลับได้เรียนรู้สิ่งใหม่มากกว่าคนที่มีแรงจูงใจด้านนี้ และชาวไทยยังเป็นชาติที่เปิดใจและอดทนมากขึ้นหลังกลับมาจากการท่องเที่ยวมากกว่าชาติอื่นด้วย

ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า นักท่องเที่ยวได้รับหลายอย่างเมื่อกลับมาจากท่องเที่ยว ทั้งยอมรับผู้อื่นมากขึ้น ทักษะใหม่และภาษาอื่นๆ ใส่ใจกับความสัมพันธ์มากขึ้น และกลับมาสำรวจเมืองของตัวเองมากขึ้น ซึ่งชาวไทยและคนทั่วโลกคิดเหมือนกัน 34 เปอร์เซ็นต์

นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวชาวไทย 50 เปอร์เซ็นต์ จะวางแผนการท่องเที่ยวครั้งต่อไปทันทีหลังจากกลับมา เช่นเดียวกับ 66 เปอร์เซ็นต์ ของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่พร้อมวางแผนครั้งใหม่ โดยมีสหรัฐเป็นจุดหมายอันดับ 1 ถัดมาเป็นบราซิล ออสเตรเลีย และอังกฤษตามลำดับ




ถาม : ท่องเที่ยวแล้วได้อะไร อีก.?
ตอบ : คู่.!


ตามที่ได้เกริ่นไปว่านักท่องเที่ยวชาวไทยไม่เหมือนใครในโลก ก็เพราะคำตอบในข้อนี้ นักท่องเที่ยวชาวไทย 18 เปอร์เซ็นต์ เกิดความสัมพันธ์ครั้งใหม่ขณะเดินทาง ขณะที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกมีจำนวน 8 เปอร์เซ็นต์ และมากกว่านั้นคือชาวไทย 11 เปอร์เซ็นต์

เริ่มต้นสร้างครอบครัวหลังกลับจากท่องเที่ยว ในขณะที่ตัวเลขทั่วโลกมีเพียง 4 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ห่างกันพอสมควร จึงอาจเป็นไปได้ว่านักท่องเที่ยวชาวไทยส่วนใหญ่เป็นคนโสด และพร้อมเปิดใจให้เพื่อนใหม่ และใช้โอกาสในการท่องเที่ยวเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์จากเพื่อนมาเป็นแฟน หรือจากแฟนมาเป็นคู่ชีวิต

ตรงกับผลการสำรวจที่ระบุว่า นักท่องเที่ยวทั่วโลก 5 เปอร์เซ็นต์ และนักท่องเที่ยวชาวไทย 5 เปอร์เซ็นต์ อยากแต่งงานหรือหมั้นเมื่อได้ท่องเที่ยวด้วยกัน



จิตวิทยาการท่องเที่ยวยังเกิดขึ้นขณะรับรู้ข่าวสาร อย่างข่าวอีโบลา ที่แม้การแพร่ระบาดยังไม่มาถึงทวีปเอเชียแต่นักท่องเที่ยวก็เกิดความกังวลเมื่อต้องเดินทางข้ามทวีป หรืออย่างในไทยเมื่อครั้งมีชุมนุมทางการเมืองใกรุงเทพฯ การท่องเที่ยวในจังหวัดอื่นๆ ก็ซบเซาลงไปด้วย เพราะนักท่องเที่ยวกังวลที่จะเดินทางมาไทย

จิตวิทยาการท่องเที่ยวอาจดูเหมือนเรื่องเบสิก แต่เป็นเรื่องที่วงการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวต้องทราบ เพื่อที่จะได้ออกแบบบริการหรือสินค้าให้ตรงกับความต้องการและถูกกาละ รวมถึงตัวนักท่องเที่ยวที่จะได้วางแผนเซอร์ไพรส์คนรักได้ถูกเวลา





ขอบคุณภาพและบทความจาก
www.posttoday.com/กิน-เที่ยว/เที่ยวทั่วไทย/324543/จิตวิทยาคลายฉงน-ทำไมคนชอบท่องเที่ยว
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ