พิมพ์

[raponsan]

ว้าว! นักวิจัยอังกฤษพัฒนา "5จี" ทำสถิติสัญญาณเร็วปรู๊ดปร๊าด 1 เทฯต่อวินาที

วันที่ 25 ก.พ. บีบีซีรายงานว่า ทีมนักวิจัยชาวอังกฤษจากศูนย์พัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีการรับส่งข้อมูล 5 จี (5 จีไอซี) ของมหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ ประเทศอังกฤษ พัฒนาการเชื่อมต่อระบบ 5 จี และทำสถิติความเร็วสูงถึง 1 เทระไบต์ต่อวินาที ซึ่งเร็วกว่าการรับส่งข้อมูลแบบปัจจุบันอย่าง 3 จี หรือ4 จี หลายหมื่นเท่า

 ศาสตราจารย์ราฮีม ทาฟาโซลลี ผู้อำนวยการทีมวิจัย เผยว่า ตั้งใจว่าจะสาธิตการใช้งาน 5จี ตัวใหม่นี้ในอีก 3 ปีข้างหน้า ส่วนหน่วยดูแลการสื่อสารโทรคมนาคม (ออฟคอม) ก็คาดว่า ในปี 2563 เครือข่ายดังกล่าวจะเริ่มครอบคลุมพื้นที่ในประเทศอังกฤษแล้ว

   

 ผู้เชี่ยวชาญท่านนี้กล่าวอีกว่าตนและสมาชิกทีมวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคมกว่า 10 แบบ จนกระทั่งได้มาเจอ 5 จี ตัวดังกล่าว ที่รับส่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ โดยขณะนี้ ยังคงอยู่ในระหว่างการทดสอบการใช้งานบริเวณรั้วมหาวิทยาลัย เพื่อให้มั่นใจว่ามันจะมีประสิทธิภาพดีจริงๆ ก่อนที่จะเปิดตัวสู่สาธารณชน

 เทคโนโลยี 5 จีตัวนี้ ด้วยความที่มีความเร็วสูงถึง 1 เทระไบต์ต่อวินาที จึงทำให้เราดาวน์โหลดน์ไฟล์ที่มีขนาดใหญ่กว่าภาพยนต์ยาวๆสักเรื่องเป็น 100 เท่า ได้ในเวลาประมาณ 3 วินาทีเท่านั้น ซึ่งถ้าหากลองเทียบกับ 4 จีที่กำลังใช้อยู่ทุกวันนี้แล้ว ถือว่า 5 จีเร็วกว่า 65,000 เท่า

 อย่างไรก็ตาม ทีมนักวิจัยก็ไม่ทำงานชิ้นนี้กันเองตามลำพัง หากแต่ยังได้รับแรงสนับสนุนจากออฟคอมอีกด้วย

นายสตีฟ อุงเกอร์ หัวหน้าฝ่ายบริหาร กล่าวว่า เทคโนโลยีน้องใหม่ตัวนี้จะต้องมีความล้ำลึก และทันสมัยยิ่งกว่าเดิม  "การรับส่งข้อมูลของ 5จีจะต้องพัฒนาไปในขั้นที่ลึกขึ้น เร็ว แรง เหนือกว่า 4 จีที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้" นายอุงเกอร์กล่าว

 ถึงแม้ว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่ฟังดูแล้วน่าตื่นตาตื่นใจ กับความทันสมัยและรวดเร็วของมัน แต่งานทางวิทยาศาสตร์ก็ย่อมมีอุปสรรคมาขวางกั้นเสมอ สำหรับ 5จี ตัวนี้แล้ว ศาสตราจารย์ทาฟาโซลลีเผยว่า สิ่งที่ต้องเตรียมรับมือให้ได้ ก่อนที่เทคโนโลยีตัวนี้จะแพร่ออกไปถึงมือประชาชน ก็คือการปรับศักยภาพให้เข้ากับโปรแกรมและแอพพลิเคชั่นในอนาคต

   

"หัวใจสำคัญของ5 จีก็คือ ต้องรองรับการใช้งานพวกแอพพลิเคชั่นทั้งหลายในอนาคตได้ ซึ่งเราก็ยังไม่รู้ว่าในอีก 10-20 ปีข้างหน้า แอพพลิเคชั่นมันจะพัฒนาไปเป็นรูปแบบไหนแล้ว รู้แค่ว่าการรับส่งข้อมูลมันจะมีความหน่วงมากขึ้น" ศาสตราจารย์ทาฟาโซลลีกล่าว และว่า "เพราะฉะนั้นเราก็ต้องคอยพัฒนา ปรับความเร็วให้มัน เพื่อที่จะได้เข้ากับเทคโนโลยีตัวใหม่ได้"

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRReU5Ea3pOekF3TWc9PQ==&subcatid=