แม่น้ำคงคาฝั่งสวรรค์.
“คงคา-พาราณสี” 4,000 ปี...ไม่มีเปลี่ยน
นอกจากสังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่งแล้ว อีกสถานที่หนึ่งที่สมัยก่อนไม่ค่อยมีคนเข้าไปมากนัก คือ เขาดงคสิริ สถานที่ที่เจ้าชายสิทธัตถะ บำเพ็ญทุกรกิริยาก่อนที่จะตรัสรู้ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ นานถึง 6 ปี
คณะของเราไปถึงดงคสิริในช่วงเย็น บรรดาแม่ชีน้อยต่างก้าวเท้าเดินขึ้นเขาอย่างขะมักเขม้น ทางขึ้นเขาดงคสิริเป็นทางลาดชัน ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร ระหว่างทางจะมีเด็กขอทาน และคนหามเสลี่ยงวิ่งตามตื๊อ โดยเฉพาะขอทานนั้นมีตั้งแต่ตีนเขาไปจนถึงยอดเขา
ด้านบนของภูเขาลูกนี้เป็นถ้ำหินแข็งเล็กๆ ที่ซึ่งเจ้าชายสิทธัตถะเคยได้บำเพ็ญทุกรกิริยาอย่างหนักหนาสาหัส จนพระวรกายผ่ายผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก พวกเราได้มีโอกาสสวดมนต์ภาวนาบริเวณหน้าถ้ำและส่วนหนึ่งก็ทยอยกันเข้าไปกราบพระพุทธรูปปางบำเพ็ญทุกรกิริยา เพื่อรำลึกถึงพระพุทธองค์อีกครั้งวัดพุทธทิเบตที่ดงคสิริ.
ภายในถ้ำมืดและเล็กมาก ถ้าคนเข้าไปพร้อมกันเยอะๆแทบจะไม่มีอากาศหายใจเลยทีเดียว ปัจจุบันดงคสิริอยู่ในความดูแลของวัดพุทธทิเบตที่ตั้งอยู่ปากถ้ำ ผู้ที่มาแสวงบุญจะช่วยทำบุญเพื่ออนุรักษ์สถานที่แห่งนี้ไว้เป็นสถานที่แห่งการเรียนรู้เรื่องราวของพระพุทธองค์ก็คงเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย เพราะอย่างน้อยสถานที่แห่งนี้ ก็แสดงให้ได้ประจักษ์ถึงธรรมะของพระพุทธองค์ที่ไม่ทรงปฏิบัติในสิ่งที่ตึงหรือหย่อนจนเกินไปแต่ให้ยึดมัชฌิมาปฏิปทาหรือทางสายกลางอันเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด
ดูเหมือนคณะของเราน่าจะเป็นคณะท้ายๆที่มีโอกาสมาเยือนถ้ำแห่งนี้ในช่วงนี้ เพราะหลังจากนี้ไปแล้ว อินเดียก็จะเริ่มเข้าหน้าร้อนที่บางครั้งอากาศร้อนจัด อุณหภูมิสูงถึง 50 องศาเซลเซียสก็เคยมี การไปอินเดียจึงควรไปในช่วงหน้าหนาวราวเดือน ต.ค.-มี.ค. ที่อากาศจะยังอยู่ที่ประมาณ 20 องศาเซลเซียส กำลังสบายๆ
วันรุ่งขึ้นคณะของเราเดินทางสู่เมืองพาราณสี เมืองที่หากมาอินเดียแล้วไม่ได้มาเยือน ต้องถือว่ามาไม่ถึงอินเดีย เพราะที่นี่คือฉากสะท้อนวิถีลีลาชีวิตของคนอินเดียยุคโบร่ำโบราณที่งดงามที่สุด ด้วยการคงไว้ซึ่งความเข้มแข็งทางวัฒนธรรมตามแบบของตนเอง อย่างที่ไม่มีใครสามารถแทรกแซงหรือเปลี่ยนแปลงได้
พระอาทิตย์ดวงกลมโตที่ฝั่งนรก.
ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง พาราณสี...ก็ยังคงความเป็นอมตะ อยู่อย่างไรก็อย่างนั้น ครั้งหนึ่งอังกฤษเคยพยายามที่จะเปลี่ยนชื่อพาราณสี เป็นเมืองเบนารัส(Banaras) แต่ไม่นานชาวเมืองก็กลับมาใช้ชื่อเดิมคือ พาราณสี ว่ากันว่า ที่นี่คือเมืองที่คงความเป็นอินเดียไว้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเชื่อ ประเพณี วิถีชีวิต ที่สำคัญที่สุด คือ ศรัทธาในศาสนาและปรัชญาของตนอย่างที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้
สองเท้าเล็กๆของเหล่าพุทธสาวิกาน้อย เดินฝ่ากับระเบิด (ขี้วัว) ไปตามถนนแคบๆของเมืองพาราณสีในช่วงเช้าตรู่ ที่พระอาทิตย์ยังไม่ทันโผล่พ้นขอบฟ้า มุ่งหน้าสู่...ท่าทศอัศวเมธ ซึ่งเป็นท่าน้ำใหญ่ 1 ใน 5 ท่า ในจำนวนทั้งหมด 84 ท่าริมฝั่งแม่น้ำคงคา ช่วงที่ไหลผ่านเมืองพาราณสี เมืองที่มีความพยายามจะเปลี่ยนชื่อหลายครั้งหลายคราแต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จแม่ชีน้อย..กลางทุ่งข้าวสาลี.
แม่ชีน้อยๆค่อยๆเร่งฝีเท้าก้าวตามคุณยาย แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ไปลงเรือที่จอดรออยู่ ก่อนที่นายท้ายจะหันหัวเรือแล่นออกสู่แม่น้ำคงคา ล่องไปตามลำน้ำ
เสียงเพลงจิตประภัสสร เริ่มต้นขึ้น....
“จิตเดิมแท้ เป็นจิตประภัสสร กิเลสจรนั้นเข้ามาทีหลัง ปล่อยกายใจ เผลอไผลไม่ระวัง ประมาทเพียงครั้ง จะหลงไม่ตรงทาง......”
สองฟากฝั่งของ แม่น้ำคงคา ถูกเปรียบเปรยให้เป็นนรกและสวรรค์ ฝั่งที่เต็มไปด้วยผู้คนคือสวรรค์ ส่วนอีกฝั่งที่เป็นสันทรายดูแห้งแล้งร้างไร้ผู้คน มีแค่เพิงเล็กๆของเหล่าจัณฑาลมองเห็นอยู่ลิบๆ ที่เชื่อกันว่าเป็นฝั่งนรกกองไฟที่ไม่เคยดับมอดที่ท่ามณีกรรณิกา.
พระอาทิตย์เริ่มฉายแสงร้อนแรงขึ้น ละครชีวิตของผู้คนริมฝั่งแม่น้ำคงคาเริ่มโลดแล่น กองไฟที่ใช้สำหรับเผาร่างไร้วิญญาณที่ท่ามณีกรรณิกาฆาตลุกโชน เช้าวันนั้น เรามองเห็น 4 ชีวิตที่กลับคืนสู่ธรรมชาติ ย่อยสลายเป็นเพียงธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ชาวฮินดูไม่ประหวั่นพรั่นพรึงกับความตายมากมายนัก เพราะเชื่อว่า ความตายก็คือการกลับสู่อ้อมกอดของเทพเทวะ ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น และการเผาก็คือการเผาความชั่วร้าย เผากิเลสทั้งปวงออกเสียก่อนที่จะไปพบพระผู้เป็นเจ้า
มีคนเพียง 5 ประเภทเท่านั้นที่จะไม่ถูกเผา แต่จะถูกผูกกับหินถ่วงทิ้งน้ำ ได้แก่ เด็กแรกเกิด สาวพรหมจรรย์ นักบวช คนถูกงูกัด และคนถูกฟ้าผ่า โดยชาวฮินดูเชื่อว่าคนเหล่านี้ได้ถูกชำระล้างบาปแล้วไม่จำเป็นต้องใช้ไฟเพื่อเผาไหม้ร่างอีกคงคายามรุ่งอรุณ.
อีกอย่างหนึ่งที่เราได้เห็นระหว่างล่องเรือในแม่น้ำคงคาก็คือ การบูชาสุริยเทพหรือพระอาทิตย์ ที่ชาวฮินดูเชื่อว่า จะสามารถทำลายอำนาจความชั่วร้ายที่อยู่ในจิตใจได้ การไหว้พระอาทิตย์จะทำให้บุคคลนั้นเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงานและประสบความสำเร็จในชีวิต ชาวฮินดูจึงนิยมมาอาบน้ำในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์นี้ในช่วงที่พระอาทิตย์ขึ้น และขอพรต่อสุริยเทพในทันทีที่แสงแรกของดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้น
มาคราวนี้ อีกอย่างที่เราได้เห็นคือผู้หญิงชาวฮินดูที่โกนหัว มานั่งกันอยู่เต็มบริเวณท่าน้ำ โดยเฉพาะท่ามณีกรรณิกาที่ใช้เผาศพ พระอาจารย์เฉลิมชาติ ซึ่งเป็นพระวิทยากร เมตตาให้ความรู้ว่า ผู้หญิงเหล่านี้คือแม่ม่ายที่สามีตาย แล้วถูกแม่สามีหรือครอบครัวของสามีขับออกจากบ้าน เธอเหล่านี้ต้องมีชีวิตที่ทุกข์ทน ต่ำต้อยยิ่งกว่าจัณฑาลต้องมารับใช้สัปเหร่อที่ทำหน้าที่เผาศพ และอาศัยนอนที่ธรรมศาลา ซึ่งอยู่ด้านบนของถนนเลียบ แม่น้ำคงคา บางคนแม้แต่ลูกสาวตัวเล็กๆก็ถูกจับโกนหัว เป็นตราบาปไปทั้งชีวิต
บรรดาแม่ม่ายชาวฮินดูที่ถูกโกนหัว พากันมาอาศัยที่ธรรมศาลา.
ฟังเรื่องผู้หญิงฮินดูต้องเผชิญกับชะตากรรมที่โชคร้ายแล้ว เราหันกลับไปมองที่เรือของแม่ชีน้อย นึกปีติอยู่ในใจว่า เมล็ดพันธุ์เหล่านี้ช่างโชคดีเสียนี่กระไร ที่ไม่ต้องตกเป็น “เหยื่อ” แห่งโชคชะตา
แต่พวกเธอกลับกำลังได้รับการบ่มเพาะให้เดินในเส้นทางธรรมของพระพุทธองค์ แม้จะเป็นเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็เป็นเวลาสั้นๆที่มีค่าและมีความหมายกับชีวิตมากมาย
เสียงสวดมนต์ของเหล่าแม่ชีน้อยดังขึ้นอีกครั้งกลางแม่น้ำคงคา เราหันไปมองที่ท่ามณีกรรณิกา เจริญเมตตาให้กับหญิงผู้โชคร้าย และหวังว่าเมื่อใช้ กรรมหมดในชาตินี้แล้ว เธอจะไม่ต้องตกอยู่ในสภาพที่ตายทั้งเป็นเช่นนี้อีก
ลาก่อนคงคา...มหานที และพาราณสี เมืองแห่งสวรรค์และนรกที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง.พุทธสาวิกาลงเรือล่องแม่น้ำคงคา.
ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.thairath.co.th/content/494860