ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ความตาย คือ การจากไป จริงหรือ.? : บาตรเดียวท่องโลก  (อ่าน 2569 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
 

ความตายคือการจากไป จริงหรือ : บาตรเดียวท่องโลก
โดย พระพิทยา ฐานิสฺสโร

กุสินารา เมืองเล็กๆ ในสมัยพุทธกาล ที่พระพุทธเจ้าทรงเลือกเป็นที่ปรินิพพาน ทุกสรรพสิ่งล้วนแล้วแต่เป็นไปตามกฎแห่งธรรมชาติของการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปในที่สุด จะไม่มีใครต้องมานั่งคร่ำครวญ ร้องไห้ เศร้าโศก เสียใจ เมื่อต้องจากกันทั้งที่ยังมีชีวิตหรือเสียชีวิตไป ถ้าเราไม่เอาจิตใจ ไปข้องเกี่ยวผูกพัน และเข้าใจกฎแห่งความจริงนี้

ไม่ใช่ว่าไม่รัก ไม่เคารพ ไม่มีความรู้สึก เพราะการแสดงความรู้สึก กิริยาอาการเช่นนั้นเป็นสิ่งเพียงบ่งบอกถึงความยึดมั่นถือมั่นที่มีต่อบุคคล สิ่งของ สัตว์ที่จากไปเท่านั้นเอง ?


 :25: :25: :25: :25:

การคร่ำครวญ เศร้าโศก เสียใจจากการสูญเสีย พลัดพราก อาจเป็นการทำร้ายตัวเองอย่างที่สุด และยังอาจส่งผลต่อคนรอบข้าง ถ้าเขาหรือเธอผู้นั้นไม่มีความเข้มแข็งเช่นกัน นอกจากนั้นอาจมีผลกระทบต่อหน้าที่การงาน เพราะเราไม่สามารถทำหน้าที่ที่ดำรงอยู่ได้อย่างถูกต้อง เต็มที่เต็มกำลัง เป็นปกติ เรียบร้อย อีกทั้งไม่ก่อให้เกิดผลดีใดๆ ทั้งต่อสุขภาพทางกายและจิตใจ การแสดงซึ่งความรัก ความเคารพ การดูแลความเอาใจใส่ต่อบุคคลที่มีบุญคุณหรือเป็นที่รัก ที่เคารพ จึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างยิ่งขณะที่ยังมีชีวิต มีลมหายใจอยู่ อย่ารอจนกระทั่งหมดโอกาส  แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่จะมาร้องไห้ คร่ำครวญ ถ้าไม่ได้กระทำหน้าที่แห่งการอยู่ร่วมกันอย่างถูกต้องเหมาะสม

ที่สำคัญ การรักษาจิตใจของเราให้เป็นปกติ ไม่ว่าสิ่งใด หรือเรื่องราวใดๆ เกิดขึ้นกับคนที่มีพระคุณ คนที่รัก เคารพ  จะเป็นการแสดงซึ่งความรัก ความเคารพต่อผู้นั้นอย่างแท้จริง การทำหน้าที่อย่างถูกต้องดีงาม ในทุกบทบาทหน้าที่ที่สมมติอย่างปรกติสงบสุข ดำรงอยู่อย่างเรียบง่าย พอเพียง เกื้อกูล ช่วยเหลือแบ่งปันต่อสรรพสิ่งอย่างไม่แบ่งแยก เชื้อชาติ ศาสนา แบ่งพรรคแบ่งพวก เป็นการแสดงความรัก ความเคารพทั้งต่อบรรพบุรุษ ผู้มีพระคุณ คนที่รัก ทั้งที่มีชีวิตหรือละโลกนี้ไปแล้วอย่างแท้จริง เพราะการปรากฎของบุคคลนั้นได้ยังประโยชน์มากมายต่อโลกใบนี้


 st12 st12 st12 st12

๔๕ พรรษา ที่พระพุทธองค์ได้กระทำหน้าที่อย่างผู้ตื่นรู้ที่สมบูรณ์ โดยมิได้ย่อท้อ ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน พระองค์เป็นแบบอย่างอันงดงามของผู้ให้อย่างไร้เงื่อนไข  ไร้ตัวตน ทุกสรรพชีวิตมีสิทธิ์เท่าเทียมแห่งการตื่นรู้ ไม่จำกัดเฉพาะตน ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ เศรษฐี คนเดินดิน คนที่สังคมรังเกียจ ฯลฯ เพียงน้อมนำคำสอนมาปฏิบัติตามก็จะเข้าถึงสภาวะความจริงเช่นเดียวกับพระองค์

จากพระไตรปิฎก เราพบว่าพระองค์ทรงใช้สิ่งของแห่งการดำรงอยู่อย่างเคารพและน้อยที่สุดตลอดพระชนม์ชีพแห่งการทำหน้าที่ เป็นสิ่งแสดงถึงความไม่เบียดเบียน สำนึกบุญคุณต่อสิ่งที่เกื้อกูลต่อการมีชีวิตอยู่อย่างแท้จริง

 
 st11 st11 st11 st11

พระองค์ไม่ทรงรับสิ่งของใดๆ เป็นของเฉพาะตน เนื่องจากพระองค์ทรงทราบความจริงแท้แล้วว่า ไม่มีสิ่งใดจะยึดมั่นเป็นของตนได้ สิ่งของจำเป็นทุกสิ่งมีไว้แบ่งปันกันใช้อย่างรู้คุณค่า และคืนไว้กับโลก พระพุทธองค์จึงเป็นแบบอย่างแห่งอิสรภาพอย่างแท้จริง

๒๕๐๐ กว่าปี สิ่งที่พระองค์ทรงสอน มิได้หายไปไหน ถ้าทุกชีวิตน้อมนำมาศึกษาปฏิบัติที่ตนเอง ก็จะเห็นผลที่ตน ตามกำลังความสามารถในทันที พระพุทธองค์มิใช่พระปฏิมากรรูปเคารพ พระพุทธองค์มิใช่คัมภีร์ แต่พระพุทธองค์คือ การตื่นรู้ ที่สามารถดำรงได้ เป็นได้ในทุกสรรพชีวิต


 ans1 ans1 ans1 ans1

ดังนั้นพระพุทธองค์มิเคยจากไป เพียงแค่ดำเนินรอยตาม ทำตาม อย่างเคารพซื่อสัตย์แบบพระพุทธองค์ แล้วพระพุทธองค์จะปรากฏอยู่ตรงนั้น ดำรงอยู่ตรงนั้นเสมอ จะไม่มีใครมานั่งถกเถียง ทะเลาะ ประท้วง ทำร้ายกันและกัน

            เพียงแค่กระทำ ปฏิบัติที่ตน
            พุทธะ ไม่ดำรงอยู่ ณ ผู้ยึดมั่นว่าเป็นพุทธ
            การตายไม่มีจริง ในผู้ที่ปราศจากกิเลส


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20150425/205293.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ