ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: กรมศิลปากร รื้ออาคารผิดกฎหมาย ในวัดกัลยาฯ  (อ่าน 968 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29448
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


กรมศิลปากร รื้ออาคารผิดกฎหมาย ในวัดกัลยาฯ

กรมศิลปากรส่งหนังสือแจ้งเจ้าอาวาสวัดกัลยาฯรับทราบ พร้อมเข้ารื้อ 2 อาคารผิดกฎหมายหวังให้เป็นบรรทัดฐานคดีทุบทำลายโบราณสถาน ชี้วัดหมดเวลาคัดค้านแล้ว และยังต้องจ่ายค่าเสียหายให้รัฐอีกด้วย

วันนี้(30เม.ย.) ที่กรมศิลปากร นายบวรเวท รุ่งรุจี อธิบดีกรมศิลปากร  เปิดเผยความคืบหน้ากรณีดำเนินคดีกับวัดกัลยาณมิตรหลังจากมีการทุบทำลายโบราณสถานภายในวัดโดยไม่ขออนุญาตจากกรมศิลปากรว่า กรมศิลปากรได้แจ้งความดำเนินคดีกับวัดกัลยาฯมาตั้งแต่ปี 2546 จนถึงปัจจุบัน มีทั้งสิ้น 16 คดี อัยการสั่งไม่ฟ้อง 10 คดี ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างดำเนินการ อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบเอกสารต่างๆแล้ว ปรากฏว่ากรมศิลปากรได้เคยมีหนังสือแจ้งไปยังวัดกัลยาฯเมื่อวันที่ 14พ.ค.2552 ขอให้วัดรื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างที่ไม่ได้รับอนุญาตจากรมศิลปากรออกไปจากเขตโบราณสถาน

ซึ่งกรณีนี้วัดได้ไปร้องต่อศาลปกครองขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกคำสั่งห้ามให้วัดกระทำการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างในเขตโบราณสถานนั้น ปรากฏว่าคดีได้มีการยุติลง เพราะทางวัดผู้ฟ้องคดีขอถอนฟ้อง ดังนั้นศาลปกครองจึงมีคำพิพากษาให้กรมศิลปากรสามารถดำเนินการได้ตามอำนาจหน้าที่ของกรมศิลปากรตามมาตรา 7 ทวิ ตามพ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504  แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535


 :96: :96: :96: :96:

นายบวรเวท กล่าวต่อไปว่า ทางกรมศิลปากรถือว่าคดีดังกล่าวสิ้นสุดแล้ว ดังนั้นกรมศิลปากรจะมอบหมายให้นิติกรส่งหนังสือแจ้งไปยังพระพรหมกวี เจ้าอาวาส พร้อมแนบคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ให้ทราบล่วงหน้าว่ากรมศิลปากรจะเข้าทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่กรมศิลปากรไม่ได้อนุญาต พร้อมจะกำหนดวันเวลาเข้าไปทำการรื้อถอนภายในสัปดาห์หน้าด้วย โดยการเข้ารื้อถอนโบราณสถานภายในวัดกัลยาฯในเบื้องต้นจะรื้อถอน 2 รายการก่อน ได้แก่  ศาลาเสวิกุล และศาลาทรงปั้นหยา จากทั้งหมด 15 รายการที่เคยเป็นโบราณสถานที่ทางวัดได้ทุบทำลายของเดิม และสร้างขึ้นใหม่ 

ซึ่งขณะนี้ถือว่าทางวัดหมดเวลาอุทธรณ์ หรือ คัดค้านอะไรได้อีก  เพราะกรมศิลปากรได้แจ้งให้วัดรื้อถอนอาคารมานานกว่า 6  ปีแล้ว ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่เราจำเป็นต้องทำตามคำพิพากษาของศาลปกครอง เพื่อเป็นการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง  หากกรมศิลปากรไม่ดำเนินการ และนิ่งเฉยก็ยิ่งเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ดังนั้นกรมศิลปากรจำเป็นจะต้องสร้างบรรทัดฐานให้แก่คดีอื่นๆ เพื่อเป็นการอนุรักษ์มรดกของชาติ ส่วนการที่อดีตอธิบดีกรมศิลปากรที่ผ่านมาไม่ดำเนินการรื้อถอนอาคารนั้นส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากการตัดสินคดีที่เกี่ยวข้องยังไม่สิ้นสุด

 st12 st12 st12 st12

" สำหรับขั้นตอนหลังจากรื้อถอนอาคารเสร็จแล้ว จะต้องมาพิจารณาตามแบบอาคารโบราณสถานเดิมว่า เคยเป็นอะไรมาก่อน และต้องดูว่า ถ้าจะต้องสร้างอาคารขึ้นมาใหม่ ตามแบบโบราณสถานเดิมก็อาจทำได้  แต่จะต้องให้ศาลอาญาพิจารณาคดีให้สิ้นสุดก่อน จากนั้นกรมศิลปากรจะดำเนินการฟ้องแพ่ง เพื่อเรียกค่าเสียหาย และจะได้นำเงินส่วนนั้นมาสร้างอาคารขึ้นใหม่

สำหรับคดีต่างๆในเวลานี้ได้รับทราบจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่า ทางเจ้าอาวาสยังให้ข้อมูลตอบโต้ข้อกล่าวหากรมศิลปากรในหลายๆ ส่วน  ดังนั้นทางกรมจึงจำเป็นต้องเข้าไปชี้แจงในทุกประเด็น จึงทำให้คดียืดเยื้อออกไป แต่บางประเด็นทราบว่าตำรวจได้สืบถึงตัวผู้รับเหมา และผู้ว่าจ้างในการทุบทำลายโบราณสถานแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้" อธิบดีกรมศิลปากร กล่าว 


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/education/318092
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ