ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: "พระพรหมบัณฑิต" ผนึกผู้นำ...เปิดวิถีชีวิตชุมชนกุฎีจีนสู่สังคม  (อ่าน 1075 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29399
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

"พระพรหมบัณฑิต" ผนึกผู้นำ...เปิดวิถีชีวิตชุมชนกุฎีจีนสู่สังคม
โดย..สุกัญญา แสงงาม
       
       วิถีชีวิตชุมชนกุฎีจีนที่อยู่รายรอบวัดประยุรวงศาวาส เป็นชุมชนตัวอย่างแห่งหนึ่ง ซึ่งน่าสนใจ ให้คนภายนอกเข้ามาสัมผัสมาศึกษา ว่าผู้ที่นับถือต่างศาสนา มีทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม เขาอยู่กันอย่างไร
       
       พระพรหมบัณฑิต(ประยูร ) เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส ในฐานะอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) บอกว่า ชุมชนแห่งนี้ มีรอยยิ้ม มีความสุข เขาอยู่แบบถ้อยทีถ้อยอาศัย เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกันมายาวนานกว่า 200 ปี ตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี จนถึงปัจจุบัน บรรพบุรุษ จะสอนต่อๆ กันมา ให้เคารพซึ่งกันและกัน ไม่ดูแคลนผู้อื่น เพียงเท่านี้สังคมก็อยู่กันอย่างราบรื่นสันติสุข

        :96: :96: :96: :96:

       พระพรหมบัณฑิต กล่าวว่า นี่คือจุดเด่นของชุมชนกุฎีจีน ที่หาได้ยาก ซึ่งปัจจุบันได้มีหน่วยงานภาครัฐ เอกชน เดินทางมาทัศนศึกษาเรียนรู้วิถีชีวิต วัฒนธรรม แห่งนี้เพิ่มมากขึ้น อย่างเร็วๆ นี้ กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม จัดค่ายเยาวชนศาสนิกสัมพันธ์ โดยมีเยาวชน 100 คน ซึ่งเป็นตัวแทนต่างศาสนามาเรียนรู้ร่วมกันเป็นเรื่องดีมาก โดยเฉพาะการไม่ดูถูกหรือดูหมิ่นศาสนาความศรัทธาของผู้อื่น ไม่ก้าวล่วงกัน เคารพในความแตกต่างๆในวิถีของกันและกัน
       
       ที่สำคัญเด็กๆ จะได้เปิดใจเรียนรู้วัฒนธรรมต่างศาสนา ทั้งเรื่องอาหาร เครื่องแต่งกาย การปฎิบัติ เมื่อเข้าใจจะได้นำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน และเป็นการเข้าใจเขา เข้าใจเรา
       
       "การจะให้คนต่างศาสนาอยู่ร่วมกัน อย่างแรกต้องให้ทำความรู้จักกันก่อน รู้จักตัวบุคคล สื่อสารด้านภาษา เช่นพูดภาษากันได้ และเข้าใจศาสนาอะไรควรไม่ควร ไม่ต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้งเช่นเดียวกันกับคนนับถือศาสนานั้นๆ และอย่าไปดูหมิ่นรูปเคารพของเขา พอเป็นอย่างนี้ จะเกิดความไว้วางใจกัน ก็จะเกิดความร่วมมือกันตามมา ร่วมมือกันในทางเศรษฐกิจ เหมือนชุมชนกุฎีจีน"


        ans1 ans1 ans1 ans1

       พระพรหมบัณฑิต เล่าว่า เมื่อคณะที่มาทัศนศึกษา ทั้งเด็ก อบต. อบจ. หน่วยงานของรัฐแลภาคเอกชน อละประชาชน เพื่อให้แขกที่มาเยือนได้สัมผัสวิถีชีวิตวัฒนธรรม จึงให้ผู้นำชุมชนของแต่ละศาสนา เป็นหัวเรือใหญ่พาคณะที่มาเยี่ยมชม โดยเราให้ทุกคนมีบทบาทเท่าเทียมกัน ยกตัวอย่างมีคณะดูงานประสานทางวัดจะมาเรียนรู้วิถีชีวิต ก่อนหน้าคณะจะเดินทางมาจะมีการประสานกับผู้แทนแต่ละศาสนา ตัวแทนชุมชน พอคณะเดินทางมาถึงจะมีตัวแทนมาคอยต้อนรับ พาชมสถานที่สำคัญ ๆ ภายในวัด โดยตัวแทนจะเล่าประวัติความเป็นมา เมื่อชมเสร็จจะมีการส่งไม้ต่อให้ตัวแทนศาสนาอื่นพาชม การให้ตัวแทนแต่ละศาสนามาอธิบาย พาชมในสถานที่เคารพของตัวเอง เชื่ออธิบายได้ดีกว่าและสามารถตอบข้อซักถามได้ด้วย
       
       ปัจจุบันมีคณะต่างๆ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลด้านเศรษฐกิจของชุมชน คนในชุมชนมีรายได้ตามมาด้วย เนื่องจากชุมชนแห่งนี้มีขนมกุฎีจีน ขนมบัวลอย ว่ากันว่าเป็นขนมมงคล ผู้แทนจะพาไปดูวิธีการทำถึงก้นครัว ส่วนใหญ่มักจะชิมและซื้อติดไม้ติดมือไปฝากทางบ้าน หรือคณะที่มาทัศนศึกษา นับถืออิสลาม ก็จะประสานให้ผู้แทนอิสลามทำอาหารไว้ให้
       
       "นับตั้งแต่เชิญผู้นำศาสนา ผู้นำชุมชน เข้ามาแลกเปลี่ยนพูดคุยกัน และให้ทุกคนทำหน้าที่ไกด์พาชมแหล่งสำคัญๆ ของตนเอง ทำให้ทุกคนหันหน้ามาปรึกษาพูดคุยกันมากขึ้น พร้อมเห็นความสามัคคีของคนในชุมชน"


        :25: :25: :25: :25:

       พระพรหมบัณฑิต เล่าให้ฟังว่า นอกจากนี้มีโครงการทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวิถีชีวิตวัฒนธรรม แบบยั่งยืน โดยชุมชน ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร ใช้พื้นที่วัดสร้างศูนย์ประสานงาน โดยศูนย์แห่งนี้จะทำหน้าที่เชื่อมกับ บ้าน โบสถ์ มัดเซยิด ราชการ พูดง่ายๆ เป็นศูนย์ประสานงานกับราชการ เพื่อให้ชุมชนมาทำกิจกรรมร่วมกัน ขณะนี้กำลังทำประชาพิจารณ์ คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้

       อย่างไรก็ตาม ตามแผนคร่าวๆ ชุมชนจะจัดทำเป็นปฎิทินตลอดทั้งปีว่าวันไหนมีเทศกาลอะไรบ้าง เวลาจัดงานเราจะให้ทั้ง 6 ชุมชนนำสินค้ามาจำหน่าย คือจะให้ตัวแทนพูดคุยกันเอง เป็นการรักษารากฐานวัฒนธรรมชุมชน เราจะไม่มองเรื่องเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว เราจะคงความวัฒนธรรมช่วยเหลือกัน


        st11 st11 st11 st11

       พระพรหมบัณฑิต เล่าให้ฟังว่า ต้องการให้ชุมชนแห่งนี้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง อาจจัดท่องเที่ยวทางเรือชมแม่น้ำเจ้าพระยา ชมสถานที่สำคัญสองฝั่งแม่น้ำ นักท่องเที่ยวจะได้วัดอรุณ วัดพระแก้ว วัดโพธิ์ ไล่เริ่อยไปจนถึงเกาะเกร็ด แต่ละแห่งจะมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นต่างกันออกไป วิถีชีวิต อาหาร ของแต่ละชุมชนก็ต่างกันด้วย
       
       อยากให้ทัวร์ กระทรวงการท่องเที่ยว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทริปทางเรือชมสถานที่สำคัญ ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระ อยากให้มีการโปรโมทอย่างต่อเนื่อง เพราะสองฝั่งเจ้าพระยา ทิวทัศน์สวยงาม เย็นสบาย ต่างจากนั่งรถยนต์

       
ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9580000050506
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 05, 2015, 07:15:04 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ