.......กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา อัพยากะตา ธัมมา ฯ
..........สุ ขายะ เวทะนายะ สัมปะยุตตา ธัมมา ทุกขายะ เวทะนายะ
สัมปะยุตตา ธัมมา อะทุกขะมะสุ ขายะ เวทะนายะ สัมปะยุ ตตา
ธัมมา ฯ
..........วิปากา ธัมมา วิปากะธัมมะธั มมา เนวะวิปากะนะวิปากะ-
ธัมมะธัมมา ฯ
..........อุปาทินนุปาทานิยา ธัมมา อะนุปาทินนุ ปาทานิ ยา ธั มมา
อะนุปาทินนานุปาทานิยา ธัมมา ฯ
..........สังกิลิฏฐะสังกิเลสิกา ธัมมา อะสังกิลิฏฐะสั งกิเลสิกา ธัมมา
อะสังกิลิฏฐาสังกิเลสิกา ธัมมา ฯ
..........สะวิตั กกะสะวิจารา ธัมมา อะวิตักกะวิจาระมัตตา ธั มมา
อะวิตักกาวิจารา ธัมมา ฯ
..........ปีติ สะหะคะตา ธั มมา สุขะสะหะคะตา ธั มมา อุ เปกขา-
สะหะคะตา ธัมมา ฯ
......ทัสสะเนนะ ปะหาตั พพา ธั มมา ภาวะนายะ ปะหาตัพพา
ธัมมา เนวะทัสสะเนนะ นะภาวะนายะ ปะหาตัพพา ธัมมา ฯ
..........ทัสสะเนนะ ปะหาตั พพะเหตุกา ธัมมา ภาวะนายะ-
ปะหาตัพพะเหตุ กา ธัมมา เนวะทัสสะเนนะ นะภาวะนายะ-
ปะหาตัพพะเหตุกา ธัมมา ฯ
..........อาจะยะคามิโน ธัมมา อะปะจะยะคามิโน ธัมมา
เนวาจะยะคามิโน นาปะจะยะคามิโน ธัมมา ฯ
..........เสกขา ธัมมา อะเสกขา ธัมมา เนวะเสกขานาเสกขา ธัมมา ฯ
..........ปะริตตา ธัมมา มะหัคคะตา ธัมมา อัปปะมาณา ธัมมา ฯ
..........ปะริ ตตารัมมะณา ธัมมา มะหั คคะตารัมมะณา ธัมมา
อัปปะมาณารัมมะณา ธัมมา ฯ
..........หีนา ธัมมา มัชฌิมา ธัมมา ปะณีตา ธัมมา ฯ
..........มิจฉัตตะนิยะตา ธัมมา สัมมัตตะนิยะตา ธัมมา อะนิยะตา
ธัมมา ฯ
..........มัคคารั มมะณา ธัมมา มัคคะเหตุกา ธัมมา มัคคาธิปะติ โน
ธัมมา ฯ
..........อุปปันนา ธัมมา อะนุปปันนา ธัมมา อุปปาทิโน ธัมมา ฯ
..........อะตีตา ธัมมา อะนาคะตา ธัมมา ปัจจุปปันนา ธัมมา ฯ
..........อะตี ตารัมมะณา ธัมมา อะนาคะตา รั มมะณา ธัมมา
ปัจจุปปันนารัมมะณา ธัมมา ฯ
..........อัชฌัตตา ธัมมา พะหิทธา ธัมมา อัชฌัตตะพะหิทธา ธัมมา ฯ
..........อัชฌัตตารั มมะณา ธั มมา พะหิทธารัมมะณา ธัมมา
อัชฌัตตะพะหิทธารัมมะณา ธัมมา ฯ
..........สะนิทัสสะนะสัปปะฏิฆา ธัมมา อะนิทั สสะนะสัปปะฏิฆา
ธัมมา อะนิทัสสะนาปปะฏิฆา ธัมมา ฯ
อาการ หูสดับ
หูสดับ เป็นอาการที่ปรากฏ ในสมาธิ และ หลังออกจากสมาธิ
เมื่อฉันออกจากสมาธิ หูฉันได้ยินเสียงพัดลม เป็นบท มาติกา เอง บทนั้นย้ำสวดไป สวดมา วนรอบเหมือน เทปเสียง ในนั้นฉันฟังจนไม่มีเสียง สดับ นั่นหมายถึง ฉันเป็นเวลา เสียงสดับ จึงเป็นระนาบเดียวกับเสียง อื่น ๆ
แต่ก่อนที่ อาการ หูสดับ จะเป็นเข้า ระนาบเดียว
ปัญญา ( ความรู้ ) ก็เกิดกับฉันว่า สภาวะธรรม ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกุศล หรือ อกุศล ล้วนแล้วก็คือ สภาวะธรรม ใน ธรรมทั้งสอง มองโดยรวมก็มีความขัดแย้ง ซึ่งกันและกัน หมายถึงว่า ธรรมดำเกิด ธรรมขาวก็ดับ ไม่ยอมอยู่ร่วมกัน แม้ธรรมที่เรียกว่า กลาง ๆ ก็กลายเป็นอีกหมู่หนึ่งของสภาวะ ธรรม แต่ในสภาวะ ธรรม มีความหยาบ กลาง และ ประณีต ตามสภาวะ
กุสะลา ธัมมา, ธรรมที่เป็นกุศล ก็มี
อะกุสะลา ธัมมา, ธรรมที่เป็นอกุศล ก็มี
อัพยากะตา ธัมมา, ธรรมไม่เป็นทั้งกุศลและอกุศลก็มี
สุขายะ เวทะนายะ สัมปะยุตตา ธัมมา, ธรรมที่ประกอบด้วยความรู้สึกเป็นสุขก็มี
ทุกขายะ เวทะนายะ สัมปะยุตตา ธัมมา, ธรรมที่ประ กอบด้วยความรู้สึกเป็นทุกข์ ก็มี
อะทุกขะมะสุขายะ เวทะนายะ สัมปะยุตตา ธัมมา, ธรรมที่ประกอบด้วยความ รู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์ ก็มี
วิปากา ธัมมา, ธรรมที่เป็นผล ก็มี
วิปากะธัมมะ ธัมมา, ธรรมที่เป็นเหตุแห่งผล ก็มี
เนวะวิปากะนะวิปากะ ธัมมะ ธัมมา, ธรรมที่ทั้งไม่เป็นผลและไม่เป็นเหตุแห่งผล ก็มี
อุปาทิน นุปาทานิยา ธัมมา, ธรรมที่ถูกยึดมั่น และเป็นที่แห่งความยึดมั่น ก็มี
อะนุปาทินนุปาทานิยา ธัมมา, ธรรมที่ไม่ถูกยึดมั่น แต่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น ก็มี
อะนุปาทินนานุปาทานิยาธัมมา, ธรรมที่ทั้งไม่ถูกยึดมั่นและไม่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น ก็มี
สังกิลิฏฐะสังกิเลสิกา ธัมมา, ธรรมที่เศร้าหมองและเป็นที่ตั้งแห่งความเศร้าหมองได้ ก็มี
อะสังกิลิฏฐะสังกิเลสิกา ธัมมา,ธรรมที่ไม่เศร้าหมองแต่เป็นที่ตั้งแห่งความเศร้าหมองได้ ก็มี,
อะสังกิลิฏฐาสังกิเลสิกา ธัมมา, ธรรมที่ทั้งไม่เศร้าหมองและไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเศร้าหมองได้ ก็มี
สะวิตักกะสะวิจารา ธัมมา, ธรรมที่มีวิตก คือความตรึกและมีวิจาร คือความตรอง ก็มี
อะวิตักกะวิจาระมัตตา ธัมมา, ธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกมีแต่วิจาร ก็มี
อวิตักกาวิจารา ธัมมา, ธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร ก็มี
ปีติสะหะคะตา ธัมมา, ธรรมที่เป็นไปพร้อมกับความเอิบอิ่มใจ ก็มี
สุขะสะหะคะตา ธัมมา, ธรรมที่เป็นไปพร้อมกับความสุขก็มี
อุเปกขาสะหะคะตา ธัมมา, ธรรมที่เป็นไปพร้อมกับความวางเฉยก็มี
ทัสสะเนนะปะหาตัพพา ธัมมา, ธรรมที่พึงละด้วยทัศนะก็มี
ภาวะนายะ ปะหาตัพพา ธัมมา, ธรรมที่พึงละด้วยภาวนาก็มี
เนวะ ทัสสะเนนะ นะ ภาวะนายะปะหาตัพพา ธัมมา, ธรรมที่ละไม่ได้ทั้งด้วยทัศนะ และด้วยภาวนา ก็มี
ทัสสะเนนะ ปะหาตัพพะเหตุกา ธัมมา, ธรรมมีสาเหตุที่พึงละด้วยทัศนะก็มี
ภาวะนายะ ปะหาตัพพะเหตุกา ธัมมา, ธรรมมีสาเหตุที่พึงละด้วยภาวนาก็มี
เนวะ ทัสสะเนนะ นะ ภาวะนายะ ปะหาตัพพะ เหตุกา ธัมมา, ธรรมมีสาเหตุที่ละมิได้ด้วยทัศนะและมิได้ด้วยภาวนาก็มี,
อาจะยะคามิโน ธัมมา, ธรรมที่นำไปสู่การสั่งสม ก็มี
อะปะจะยะคามิโน ธัมมา, ธรรมที่นำไปสู่ความปราศจากการสั่งสม ก็มี
เนวาจะยะคามิโน นาปะจะยะคามิโน ธัมมา, ธรรมที่ไม่นำไปทั้งสู่การสั่งสม และสู่ความปราศจากการสั่งสมก็มี,
เสกขา ธัมมา, ธรรมที่เป็นของอริยบุคคลผู้ยัง ต้องศึกษาอยู่ ก็มี
อะเสกขา ธัมมา, ธรรมที่เป็นของผู้บรรลุอรหัตผล ซึ่งไม่ต้องศึกษาแล้ว ก็มี,
เนวะเสกขา นาเสกขา ธัมมา, ธรรมที่ไม่เป็นทั้งของผู้ยังต้องศึกษาและผู้ไม่ต้องศึกษาก็มี
ปะริตตา ธัมมา, ธรรมที่ยังเล็กน้อย ก็มี
มะหัคคะตา ธัมมา, ธรรมที่ถึงภาวะใหญ่แล้วก็มี
อัปปะมาณา ธัมมา, ธรรมที่ประมาณมิได้ ก็มี
ปะริตตารัมมะณา ธัมมา, ธรรมที่มีสภาวะที่ยังเล็กน้อยเป็นอารมณ์ ก็มี
มะหัคคะตารัมมะณา ธัมมา, ธรรมที่มีสภาวะที่ถึงภาวะใหญ่แล้วเป็นอารมณ์ก็มี
อัปปะมาณารัมมะณา ธัมมา, ธรรมที่มีสภาวะอันประมาณมิได้เป็นอารมณ์ ก็มี
หีนา ธัมมา, ธรรมอย่างทราม ก็มี
มัชฌิมา ธัมมา, ธรรมอย่างกลาง ก็มี
ปะณีตา ธัมมา, ธรรมอย่างประณีต ก็มี
มิจฉัตตะนิยะตา ธัมมา, ธรรมที่แน่นอน ฝ่ายผิดก็มี
สัมมัตตะนิยะตา ธัมมา, ธรรมที่แน่นอนฝ่ายถูก ก็มี
อะนิยะตา ธัมมา, ธรรมที่ไม่แน่นอน ก็มี
มัคคารัมมะณา ธัมมา, ธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์ก็มี
มัคคะเหตุกา ธัมมา, ธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุ ก็มี
มัคคาธิปะติโน ธัมมา, ธรรมที่มีมรรคเป็นประธานก็มี
อุปปันนา ธัมมา, ธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ก็มี
อะนุปปันนา ธัมมา, ธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้น ก็มี
อุปปาทิโน ธัมมา, ธรรมที่จักเกิดขึ้น ก็มี
อะตีตา ธัมมา, ธรรมที่เป็นอดีต ก็มี
อะนาคะตา ธัมมา, ธรรมที่เป็นอนาคต ก็มี
ปัจจุปปันนา ธัมมา, ธรรมที่เป็นปัจจุบันก็มี
อะตีตา รัมมะณา ธัมมา, ธรรมที่มีอดีตเป็นอารมณ์ก็มี
อะนาคะตารัมมะณา ธัมมา,ธรรมที่มีอนาคตเป็นอารมณ์ก็มี
ปัจจุปปันนารัมมะณา ธัมมา, ธรรมที่มีปัจจุบันเป็นารมณ์ก็มี
อัชฌัตตา ธัมมา, ธรรมภายใน ก็มี
พะหิทธา ธัมมา, ธรรมภายนอก ก็มี
อัชฌัตตะพะหิทธา ธัมมา, ธรรมทั้งภายในและภายนอกก็มี
อัชฌัตตา รัมมะณา ธัมมา, ธรรมที่มีสภาวะภายในเป็นอารมณ์ ก็มี
พะหิทธา รัมมะณา ธัมมา, ธรรมที่มีสภาวะภายนอกเป็นอารมณ์ ก็มี
อัชฌัตตะพะหิทธา รัมมะณา ธัมมา, ธรรมที่มีสภาวะทั้งภายในและภายนอกเป็นอารมณ์ก็มี
สะนิทัสสะนะสัปปะฏิฆา ธัมมา, ธรรมที่เห็นได้และกระทบได้ ก็มี
อะนิทัสสะนะสัปปะฏิฆา ธัมมา, ธรรมที่เห็นไม่ได้ แต่กระทบได้ก็มี,
อะนิทัสสะนาป ปะฏิฆา ธัมมา, ธรรมทั้งที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ ก็มี.