ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: "เราไม่สามารถเด็ดดอกไม้ โดยไม่ให้สะเทือนถึงดวงดาวได้"  (อ่าน 3470 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


กฎแห่งกรรม โดย โสต สุตานันท์

คําว่า "กรรม" แปลว่า การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา ได้แก่ กระทำทางกาย เรียกกายกรรม ทางวาจา เรียกวจีกรรม และทางใจ เรียกมโนกรรม ในทางพระพุทธศาสนาเชื่อว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม (กัมมุนา วัตตติโลโก) เชื่อว่ากรรมเป็นเครื่องกำหนดชะตาชีวิตของมนุษย์เรา ตัวอย่างคำสอนที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อดังกล่าว เช่น

    "เธอจงระวังความคิดของเธอ เพราะความคิดของเธอจะกลายเป็นความประพฤติของเธอ
     เธอจงระวังความประพฤติของเธอ เพราะความประพฤติของเธอจะกลายเป็นความเคยชินของเธอ
     เธอจงระวังความเคยชินของเธอ เพราะความเคยชินของเธอจะกลายเป็นอุปนิสัยของเธอ
     เธอจงระวังอุปนิสัยของเธอ เพราะอุปนิสัยของเธอจะกำหนดชะตากรรมของเธอชั่วชีวิต"


เมื่อพูดถึงคำว่า "กรรม" หลายท่านคงนึกถึงคำว่า "ชาติก่อน/ชาติหน้า" และรู้สึกสงสัยว่าชาติก่อน/ชาติหน้ามีจริงหรือไม่ เกี่ยวกับเรื่องนี้ พระพุทธองค์ไม่แนะนำให้คิด โดยถือว่าเป็น "อจินไตย" คือ สิ่งที่ไม่ควรคิด เพราะไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญของปุถุชน เป็นเรื่องทางจิตที่รู้ได้ด้วยการบรรลุธรรมชั้นสูงเท่านั้น หากใครคิดมากจริงจังหรือคิดเดาเอาด้วยตรรกะเองก็อาจกลายเป็นคนได้

อย่างไรก็ตาม ก็มีผู้อุปมาเปรียบเทียบไว้อย่างน่าสนใจว่า ถามว่าเมื่อวานมีหรือไม่ ถ้าตอบว่ามี ก็น่าเชื่อว่าชาติที่แล้วมีจริง ถามว่าพรุ่งนี้มีหรือไม่ ถ้าตอบว่ามี ก็น่าเชื่อว่าชาติหน้าคงมีจริง แต่ผู้เขียนก็ขอถามต่อว่า ถ้าเมื่อวานมีจริง ช่วยพาไปดูหน่อยสิว่าเมื่อวานมันอยู่ตรงไหน รูปร่างหน้าตามันเป็นอย่างไร และที่บอกว่าพรุ่งนี้มีจริงนั้น สุดท้ายก็คงไม่มีมนุษย์คนไหนได้มีโอกาสพบเจอกับมัน เพราะตื่นเช้าขึ้นมาทีไรก็เป็นวันนี้ทุกทีไป และเราจะมั่นใจได้ 100 เปอร์เซ็นต์หรือว่าพรุ่งนี้จะมีจริงๆ เพราะโลกเราย่อมอยู่ภายใต้กฎอนิจจัง สุดท้ายก็คงต้องดับสูญไปสักวันหนึ่งอย่างแน่นอน


ท่านติช นัท ฮันห์ ปราชญ์แห่งเซนคนหนึ่งของโลกยุคนี้ เขียนไว้ในหนังสือ "กลัว: หัวใจของปัญญาญาณเพื่อผ่านพ้นพายุ" ว่ามิติแห่งความจริงมี 2 ประการ คือ สภาวะแห่งความเป็นจริงทางโลก (สมมติสัจจะ) และสภาวะแห่งเป็นจริงอันสูงสุด (ปรมัตถสัจจะ)

     ธรรมชาติที่แท้จริง คือ ธรรมชาติของการไร้การเกิดและไร้การตาย ในความจริงทางโลกเราเห็นการเกิด การแก่ และการตาย แต่ในความจริงในระดับสูงสุดสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ธรรมชาติที่จริงแท้
     ธรรมชาติที่จริงแท้นั้นเป็นอิสระจากการเกิดและการตาย การเกิดมีขึ้นของทุกสรรพสิ่งเป็นเพียงการสืบเนื่องเท่านั้น

ตัวอย่างเช่น ก้อนเมฆบนท้องฟ้า ก่อนที่จะรวมตัวกันเป็นก้อนเมฆ มันเคยเป็นไอน้ำที่สร้างมาจากน้ำในมหาสมุทรและความร้อนจากแสงอาทิตย์ เมฆไม่สามารถเกิดขึ้นจากความไม่มีอะไร และเมฆที่เกิดขึ้นอาจกลายเป็นฝน หิมะหรือลูกเห็บ แต่เป็นไปไม่ได้ที่เมฆจะกลายเป็นความว่างเปล่าหรือแผ่นกระดาษ ก่อนที่มันจะปรากฏรูปร่างเช่นนี้ กระดาษเคยเป็นสิ่งอื่นมาก่อน มันไม่ได้มาจากความไม่เป็นอะไรเลย เมื่อมองกระดาษแผ่นนี้อย่างลึกซึ้ง เราจะเห็นต้นไม้ ผืนดิน ดวงอาทิตย์ สายฝน ก้อนเมฆ ซึ่งบำรุงหล่อเลี้ยงต้นไม้เหล่านี้ เห็นช่างตัดไม้และโรงงานทำกระดาษ เราสามารถมองเห็นอดีตชาติของกระดาษแผ่นนี้ว่ามาจากไหน และเป็นไปไม่ได้ที่กระดาษแผ่นนี้จะตาย เมื่อเราเผากระดาษแผ่นนี้ เราจะเห็นกระดาษแปรเปลี่ยนเป็นควันไฟ ไอน้ำ ขี้เถ้า และความร้อน

การกล่าวว่า เมื่อสิ่งหนึ่งแตกสลายก็จะดับสูญไป ไม่มีอะไรเหลืออยู่จึงเป็นความคิดเห็นที่ผิด



ท่านพุทธทาสภิกขุกล่าวไว้ในหนังสือ "เรื่องกรรมในมุมมองของพุทธทาส" ว่า ในการพูดเรื่องกรรมนั้น พระพุทธองค์ท่านพูด 2 ภาษา คือ "ภาษาธรรม" เป็นภาษาที่ใช้พูดกับผู้มีปัญญาถึงขั้นที่จะหลุดพ้นได้ คือ พูดอย่างผู้รู้พูดกับผู้รู้ หรือพูดสอนคนไม่รู้ให้กลายเป็นผู้รู้ ซึ่งเป็นการอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ ตามหลักธรรมชาติโดยแท้กับ "ภาษาศีลธรรมหรือภาษาคน" ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้พูดกับปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปที่ยังมีตัวกูของกูอยู่

เหตุที่ต้องใช้ภาษาศีลธรรมในการเทศนาสั่งสอนก็เพราะคนในโลกกว่า 99 เปอร์เซ็นต์ ยังไม่อยู่ในสภาวะที่พร้อมจะหลุดพ้นหรือสิ้นกรรมได้ จึงต้องมีระบบสำหรับคนส่วนใหญ่เหล่านี้ เพื่อว่ามนุษย์จะได้อยู่ร่วมกันอย่างผาสุกตามแบบของชาวโลก คำสอนในลักษณะเช่นนี้ไม่ใช่การเรียนรู้เรื่องกรรมตามหลักวิทยาศาสตร์ แต่เป็นกรรมตามความเชื่อของบุคคลที่ยังยึดมั่นถือมั่นในเรื่องของตัวตนอยู่

หลักพระพุทธศาสนาที่แท้จริงนั้นสามารถสรุปได้เพียงคำเดียวเท่านั้น คือ "การไม่มีตัวตน" ทุกสรรพสิ่งรวมทั้งมนุษย์เรา ล้วนอยู่ภายใต้กฎแห่ง "อิทัปจจยตา/ปฏิจจสมุปบาท" เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับสิ่งนี้ก็ดับ เปรียบเสมือนเราเห็นรถยนต์คันหนึ่งเป็นส่วนๆ ไป แล้วการปรุงแต่งของมันทำให้รถยนต์วิ่งไปได้ ส่วนประกอบทุกส่วนเมื่อมันทำการปรุงแต่งกันได้มันก็เป็นรถยนต์ที่วิ่งไปได้โดยไม่ต้องมีรถยนต์ รถยนต์วิ่งไปแต่ไม่ต้องมีรถยนต์ การที่จะทำให้กรรมสิ้นไปนั้นต้องจัดการกับสิ่งที่เรียกว่า "ตัวตน" ให้ได้ หากไม่เกิดความรู้สึกที่เรียกว่า "ตัวกู ของกู" เมื่อใด จิตนั้นก็จะอยู่เหนือวิสัยที่จะมีกรรมได้และเมื่อนั้นก็จะสิ้นกรรม บรรลุสู่นิพพานเป็นพระอรหันต์ ไม่มีดี ไม่มีชั่ว ไม่มีบาป ไม่มีบุญ ไม่มีดำ ไม่มีขาว ฯลฯ



จากที่กล่าวมาคงสรุปได้ว่า หากพิจารณาในแง่ "สมมติสัจจะ" ก็ต้องฟังข้อเท็จจริงว่าชาติก่อน/ชาติหน้ามีจริง แต่หากมองในแง่ "ปรมัตถสัจจะ"ก็คงต้องตอบว่าไม่มีจริง เพราะเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีตัวตนเสียแล้ว จะมีบุคคล มีการเกิดการตาย มีชาติก่อนชาติหน้าได้อย่างไร

เนื่องจากเราเป็นชาวโลกที่ยังไม่หลุดพ้น ก็คงต้องพูดคุยแลกเปลี่ยนกันในแง่สมมติสัจจะเป็นสำคัญ สมมุติว่าวันนี้ผู้เขียนพบกับผู้อ่านท่านใดท่านหนึ่งและรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าอย่างแรง เลยตรงเข้าไปชกท่านจนปากแตกเลือดไหล แน่นอนที่สุดว่าผู้เขียนย่อมได้รับกรรมทันตาเห็น เพราะท่านคงชกต่อยต่อสู้โต้ตอบ หรือไม่ก็ต้องไปแจ้งความตำรวจให้มาจับผู้เขียนไปดำเนินคดี ท่านคงไม่กล่าวขอบคุณหรือพาผู้เขียนไปเลี้ยงข้าวอย่างแน่นอน อันนี้เป็นกรรมชั้นเดียวตรงไปตรงมาไม่สลับซับซ้อนอะไร

 :96: :96: :96: :96: :96:

ขอยกตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่ง สมมุติว่ามีคู่ความคนหนึ่งชื่อนาย ก. ไปติดต่อราชการที่ศาลแห่งหนึ่ง แล้วถูกนาย ข. ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ศาลตำหนิด่าว่าหรือให้บริการช้ามาก ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจอย่างมาก เพราะก่อนออกจากบ้านก็ถูกภรรยาด่ามาครั้งหนึ่งแล้ว ระหว่างนั่งรออยู่ที่ศาล ภรรยาก็โทรตามให้รีบกลับบ้านอีกหลายครั้ง นาย ก. ยิ่งโมโหหนักเข้าไปใหญ่ หลังเสร็จภารกิจเลยขับรถออกจากศาลอย่างรวดเร็ว โดยไม่ระมัดระวังให้ดี ประจวบเหมาะพอดี นาย ค. ซึ่งมีอาการเมาสุราอย่างหนักขับรถผ่านถนนหน้าศาลมาด้วยความเร็วสูง รถทั้งสองคันเลยชนกันโครมใหญ่ นาย ก. เสียชีวิตคาที่ ถามว่าใครมีส่วนสร้างกรรมทำให้นาย ก. เสียชีวิตบ้าง

ที่เห็นชัดเจนก็มีนาย ค. นาย ข. และภรรยานาย ก. นอกจากนั้นก็อาจจะมีคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง เพราะถ้าไม่มีเหตุพิพาทขัดแย้งกัน นาย ก. ก็คงไม่ไปศาลในวันนั้น หากไล่สายลงไปอีก ก็อาจจะมีภรรยาของนาย ก. ที่บ่นด่าสามีก่อนออกจากบ้านไปทำงาน ทำให้เขาหงุดหงิดอารมณ์ค้าง ไประบายเอากับนาย ข. ภรรยานาย ก. ก็อาจจะหงุดหงิดกับลูก จึงไปพาลหาเรื่องด่าสามี ขณะที่นาย ค. ก็อาจจะอกหักรักคุด ถูกนางสาว ง. หลอกลวงเอาทรัพย์สินเงินทอง เลยดื่มเหล้าจนเมามายไร้สติ นางสาว ง. ก็อาจจะมีความจำเป็นต้องรีบหาเงินไปใช้หนี้ให้สามีซึ่งติดการพนัน ฯลฯ


จากตัวอย่างนี้ จะเห็นได้ว่าการทำงานของกรรมเริ่มสลับซับซ้อน มีตัวละครเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วการตายของนาย ก. มันจะส่งผลอะไรต่อผู้คนที่เกี่ยวข้องกับความตายของเขา



ผู้เขียนนึกถึงการเล่นสนุกเกอร์ เวลาเราใช้ไม้คิวแทงลูกขาวออกไปจากจุดที่ตั้งอยู่ ลูกขาวจะวิ่งไปกระทบกับลูกใดลูกหนึ่งบนโต๊ะที่เราเล็งไป จากนั้นมันก็จะวิ่งไปกระทบกับลูกอื่นๆ ต่ออีกหลายๆ ลูก ขณะเดียวกันลูกอื่นๆ ที่ถูกกระทบก็จะไปกระทบชิ่งกับลูกอื่นๆ บนโต๊ะต่อๆ ไปอีกเช่นกัน สุดท้ายคงต้องมีลูกใดลูกหนึ่งหรือหลายลูกที่ต้องวิ่งผ่านจุดที่ลูกขาวตั้งอยู่ตั้งแต่แรกอย่างแน่นอน เว้นแต่ว่าเราจะแทงเบาๆ

โดยนัยยะแห่งการเปรียบเทียบเช่นนี้ สุดท้ายคนที่มีส่วนสร้างกรรมทำให้นาย ก.ตาย ก็คงต้องรับกรรมตอบสนองไม่รูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่ง ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม ไม่หนักก็เบา ไม่ช้าก็เร็ว แน่นอนว่านาย ค. คงต้องถูกดำเนินคดีอาญาฐานขับรถขณะเมาสุราและกระทำโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย รวมทั้งอาจถูกทายาทนาย ก. ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเป็นคดีแพ่งอีกส่วนหนึ่ง


ส่วนคนอื่นๆ อย่างน้อยที่สุดก็คงรู้สึกเศร้าสะเทือนใจเมื่อทราบว่านาย ก. ถูกรถชนตาย และความเศร้าสะเทือนใจนั้นก็คงจะส่งผลอะไรต่อมิอะไรตามมาอีกไม่มากก็น้อยตามเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง อย่างเช่น เย็นวันเกิดเหตุขณะนาย ข. กำลังเดินขึ้นบันไดบ้าน พอดีฉุกคิดถึงสภาพศพนาย ก. ที่ถูกรถชนคอหักตายอย่างน่าอนาถ เลยใจลอยเสียสมาธิสะดุดตกบันไดขาหัก หรือการที่นาย ค. ถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ย่อมเป็นการสร้างภาระงานให้กับนาย ข. รวมทั้งทำให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ เดือดร้อนตามไปด้วย เป็นต้น



ด้วยเหตุและผลเช่นนี้ คำกล่าวที่ว่า "เราไม่สามารถเด็ดดอกไม้ โดยไม่ให้สะเทือนถึงดวงดาวได้" จึงไม่ใช่เรื่องเกินความจริง และหากการทำงานของกรรมจะดำเนินไปจนข้ามภพข้ามชาติ ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร เพราะชั่วชีวิตของคนเราได้สร้างกรรมไว้มากมายมหาศาลเหลือคณานับ


พูดถึงเรื่องกรรมในแง่ปัจเจกบุคคลไปแล้ว มาพิจารณาเรื่องกรรมในระดับชาติบ้านเมืองกันบ้าง ผู้เขียนเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งนานมาแล้ว เขียนโดยอาจารย์มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง เป็นนักเรียนนอกจบจากอเมริกา เขาวิเคราะห์ไว้ว่า
    สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้สังคมไทยไม่พัฒนาก้าวหน้าดั่งเช่นอารยประเทศเขา ก็เพราะความเชื่อเรื่องกรรมในศาสนาพุทธนี่แหละ เกิดมายากจนข้นแค้น พิกลพิการ ก็ยอมก้มหน้ารับชะตากรรมกันไป
    เวลาประสบกับวิกฤตปัญหาใหญ่น้อยในชีวิต ก็คิดว่าเป็นกรรมที่เคยทำมาแต่ชาติปางก่อน ก็ก้มหน้ารับกรรมกันไป
    เวลาเห็นคนอื่นมีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย มีตำแหน่งใหญ่โต ร่ำรวยเงินทอง ก็มองว่าเขามีบุญวาสนา ชาติก่อนทำกรรมดีมาเยอะ
    เวลาถูกเอารัดเอาเปรียบถูกกลั่นแกล้งรังแกก็จะไม่ลุกขึ้นสู้ เพราะถือว่าเป็นการชดใช้วิบากกรรมในอดีต
    การพยายามปกป้องต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิเสรีภาพจึงไม่เกิดขึ้น
    การพยายามพัฒนายกระดับฐานะของตนเองจึงไม่เกิดขึ้น
    สังคมไทยจึงเป็นสังคมที่อ่อนด้อยล้าหลังกว่าชาวบ้านเขา



เชื่อว่า 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา สังคมไทยถูกครอบงำจากอิทธิพลแนวคิดของโลกตะวันตกอย่างมาก คนไทยถูกหล่อหลอม ถูกล้างสมองจากหลักสูตรการศึกษาของรัฐที่เดินตามก้นฝรั่งให้เชื่อในสิ่งที่สามารถพิสูจน์ทดลองในทางวิทยาศาสตร์ได้เท่านั้น มีการพยายามแนะนำ สั่งสอน เผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ ด้วยรูปแบบ ด้วยวิธีการต่างๆ มากมาย ทั้งโดยตรงโดยอ้อม เพื่อเปลี่ยนค่านิยมแนวคิดของผู้คนในสังคมให้เลิกคิดเลิกเชื่อเรื่องเวรเรื่องกรรม เรื่องบาปบุญคุณโทษ

หากพิจารณาดูให้ดีก็จะเห็นได้ว่า แม้แต่ในรัฐธรรมนูญก็มีการพยายามให้คนไทยลืมเรื่องกรรม โดยใช้ถ้อยคำภาษาที่เรียกขานกันว่า สิทธิ/เสรีภาพ/ความเสมอภาค/ความเท่าเทียม เป็นสัญลักษณ์อันสำคัญ แต่ดูเหมือนจะเป็นการนำไปเขียนไว้ในลักษณะขัดๆ เขินๆ กล้าๆ กลัวๆ หลบๆ ซ่อนๆ ไม่ค่อยมั่นอกมั่นใจนัก หน้าตารัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 และ 2550 รวมทั้งที่กำลังร่างกันอยู่ขณะนี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพจึงออกมาแปลกๆ ขาดๆ เกินๆ และส่งผลทำให้สังคมไทยมีอาการแปลกๆ ขาดๆ เกินๆ จนถึงขั้นบ้าๆ บอๆ เหมือนเช่นเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา เอะอะอะไรก็อ้างสิทธิเสรีภาพปิดทำเนียบ ปิดถนน ปิดสนามบิน ปิดกรุงเทพฯ ปิดศาลากลาง ฯลฯ สามารถทำได้ทุกอย่าง ทำอะไรก็ได้ เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตัวเองต้องการ โดยไม่คำนึงถึงผลเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับชาติบ้านเมืองหรือความทุกข์เดือดร้อนของบุคคลอื่น

เมื่อเปิดดูรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 และ 2550 ก็จะพบว่าในหมวดที่เกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพและหน้าที่ของปวงชนชาวไทย จะมีการบัญญัติถึงเรื่องสิทธิเสรีภาพไว้มากมายหลายสิบมาตรา ขณะที่ในส่วนของหน้าที่จะมีอยู่เพียงแค่ 4-5 มาตราเท่านั้น เพราะฉะนั้นท่านอย่าได้แปลกใจว่าเหตุใดที่ผ่านมาสังคมไทยจึงมีวิกฤตปัญหามากมาย สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะว่าเราสนับสนุนส่งเสริมให้คนไทยคิดถึงแต่เรื่องสิทธิมากกว่าหน้าที่นั่นเอง



ท่านพุทธทาสภิกขุกล่าวว่า "ธรรมะ" คือหน้าที่ที่จักต้องประพฤติกระทำให้อยู่กันเป็นผาสุก ทั้งโดยส่วนตัวและส่วนรวม และนัยยะความหมายของคำว่า "นิพพาน" อย่างหนึ่ง คือ การมีอิสรเสรีภาพที่สมบูรณ์ อันหมายถึงการมีอิสรเสรีภาพจากการยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตน ในตัวกูของกู เป็นอิสรภาพจากกิเลสตัณหาอวิชชา มิจฉาทิฐิทั้งปวง ซึ่งมีความหมายตรงข้ามกันกับแนวคิดของฝรั่งอย่างสิ้นเชิง เพราะหากพิจารณาดูให้ดีก็จะเห็นได้ว่า คำว่า "สิทธิเสรีภาพ" ตามแนวคิดของฝรั่งถือเป็นการสร้างอัตตาตัวตน สร้างตัวกูของกูให้ใหญ่โตยิ่งขึ้น อันนี้ก็เป็นสิทธิของกู เรื่องนั้นก็เป็นเสรีภาพของกู มึงอย่ามายุ่งกับสิทธิเสรีภาพของกูนะโว้ย พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นสิทธิเสรีภาพในการเห็นแก่ตัว/การอยากได้/อยากมี/อยากเป็นนั่นเอง

ขณะที่หลักการแนวคิดในศาสนาพุทธจะมุ่งสอนให้ลดอัตตาตัวตน ลดตัวกูของกูให้เล็กลง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อเป็นการก้าวเดินไปสู่อิสรภาพที่สมบูรณ์อย่างแท้จริงนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการให้ทาน การเสียสละ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การแบ่งปัน การเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ฯลฯ ล้วนเป็นการกระทำที่มุ่งคิดถึงประโยชน์สุขของคนอื่น ลดการให้ความสำคัญแก่ตัวเองให้น้อยลงทั้งสิ้น

 :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

เคยได้ยินกูรูด้านศาสนาพุทธท่านหนึ่งตั้งข้อสังเกตไว้ว่า ในทางพระพุทธศาสนาจะส่งเสริมให้มีวิธีคิดแบบพระโพธิสัตว์ คือ ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักสำคัญอย่างหนึ่งในการเดินตามหนทางแห่งมรรคแปด ขณะที่วิธีคิดของฝรั่งจะเป็นวิธีคิดแบบเปรต คือ เน้นทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง อย่างไรก็ตาม แม้ฝรั่งจะคิดแบบเปรต แต่ก็เป็นเปรตที่ฉลาด มองการณ์ไกล คือ ขณะที่เขาคิดถึงสิทธิประโยชน์ของตัวเอง เขาก็คำนึงถึงหน้าที่ความรับผิดชอบควบคู่กันไปด้วย เพราะเขารู้ดีว่าสิทธิกับหน้าที่เป็นของคู่กัน ถ้าเอาแต่สิทธิ ไม่รู้หน้าที่ สุดท้ายทุกคนในสังคมรวมทั้งตัวเขาก็จะเดือดร้อนเสียหาย ได้ไม่คุ้มเสีย

ต้นเหตุแห่งวิกฤตปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา ณ ขณะนี้ เชื่อว่าส่วนหนึ่งมีผลสืบเนื่องมาจากเราละทิ้งความคิดแบบพระโพธิสัตว์ แล้วหันไปลอกเลียนวิธีคิดแบบเปรตอย่างฝรั่ง ซ้ำร้ายยังไปเอาอย่างเขามาครึ่งเดียว คือ เอามาแต่สิทธิ แต่หน้าที่ความรับผิดชอบไม่ยอมเอามาด้วยนั่นเอง



ท้ายที่สุดนี้ ขอยกตัวอย่างประโยชน์สุขที่เกิดจากความเชื่อเรื่องกรรมมาฝากเป็นแง่คิด มีเรื่องเล่ากันว่า ครั้งหนึ่งมีพระในวัดระฆังโฆสิตาราม ซึ่งมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เป็นผู้ดูแล ทะเลาะวิวาทกัน โดยพระรูปหนึ่งตีพระอีกรูปหนึ่งจนหัวแตก ปรากฏว่าท่านชำระความด้วยการบอกพระที่เป็นเจ้าทุกข์ว่าเป็นฝ่ายผิด เพราะเป็นผู้ทำเขาก่อน เมื่อเป็นที่พิศวงสงสัยในการตัดสิน ท่านจึงอธิบายว่าพระรูปที่ถูกตีหัวแตกในชาตินี้ ต้องได้เคยตีพระอีกรูปหนึ่งมาก่อนไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่ง ถ้าจะให้พระที่ตีหัวเขารับโทษที่ทำในชาตินี้ก็จะไม่สิ้นสุดเวรกรรม ถ้าไม่ถือโทษความผิดในชาตินี้ก็จะเป็นอันเลิกแล้วต่อกัน จากนั้นท่านได้ถามความสมัครใจของพระรูปที่ถูกตีหัวแตกว่าต้องการอย่างไร พระรูปนั้นก็ยินดียกโทษไม่เอาความ เรื่องราวความขัดแย้งจึงยุติลงด้วยดี

จากตัวอย่างปัญหาเรื่องดังกล่าว หากมีการตัดสินความโดยอาศัยหลักการแนวคิดในเรื่องสิทธิเสรีภาพหรือหลักนิติรัฐแบบฝรั่งแล้ว เรื่องราวความขัดแย้งคงไม่จบลงโดยง่ายและแบบ happy ending เช่นนี้ ท้ายที่สุดก็อาจไปจบลงที่ศาล ซึ่งมีต้นทุนและผลกระทบข้างเคียงต่างๆ มากมาย และทั้งสองฝ่ายก็อาจจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันไปตลอดชีวิต


มติชนรายวัน 14 พ.ค.2558
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1431604125
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1076
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
st12 st12 st12 st12

 st11 st11 st11 st11

เป็นประโยชน์และมีคุณค่ามากครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 21, 2015, 03:53:17 pm โดย Admax »
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ