ศีลบารมี ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ก็มาปรารภกันถึงบารมีที่ ๒ คือ ศีลบารมี วันก่อนได้พูดถึง ทานบารมี มาแล้ว
แต่ทว่าขอบรรดาท่านพุทธบริษัทจงอย่าลืม คำว่าบารมี บารมี นี่แปลว่า กำลังใจ ที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า “ท่านที่มีบารมีเต็มแล้วย่อมเป็นพระอรหันต์ได้ และเข้าถึงพระนิพพาน” ก็จงเข้าใจว่า คำนี้พระพุทธเจ้าหมายถึงว่า ท่านทั้งหลายมีกำลังใจเต็มที่จะทรงศีลบารมีให้ครบถ้วน
คำว่า ศีล แปลว่า ปกติ, บารมี แปลว่า เต็ม ฉะนั้นขอบรรดาท่านพุทธบริษัทจงรักษาความปกติให้เต็มครบถ้วนบริบูรณ์ อาตมาจะไม่พูดถึงลักษณะของศีลทั้งหมดจะพูดเฉพาะศีล ๕ ประการ
แต่ว่าทั้งนี้ขอบรรดาท่านพระโยคาวจรทั้งหลายที่ปฏิบัติพระกรรมฐาน หรือหวังดีตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จงเข้าใจว่า คำว่า ศีล นี่แปลว่า ปกติ แล้วก็ปกติท่านปฏิบัติอยู่ในศีลประเภทไหน เป็นศีล ๕ ก็ตาม ศีล ๑๐ ก็ตาม ศีล ๘ ก็ตาม ศีล ๒๒๗ ก็ตาม จงรักษาความปกติของศีลประเภทนั้นไว้ให้ครบถ้วน อย่าให้ขาดตกบกพร่อง
และอีกประการหนึ่ง คำว่าศีลแปลว่าปกตินี้ เพราะปกติคนก็ดี สัตว์ก็ดี มีความพอใจตามนั้น นี่ขอให้สร้างความเข้าใจตามนี้เข้าไว้ จะขอพูดเรื่องคำว่าปกติของศีลให้ฟังจะได้ง่ายต่อการปฏิบัติ เอาเฉพาะ ศีล ๕ จัดว่าเป็นศีล ที่มีอันดับต่ำที่สุด ศีล ๕ นี้ ปกติของบุคคลที่เป็นปุถุชนคนธรรมดามีความต้องการกัน แม้แต่สัตว์เดียรัจฉานก็ต้องการศีล ท่านอาจจะแปลกใจว่าทำไมอาตมาจึงพูดอย่างนั้น อาจจะบอกว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยเทศน์อย่างนี้
ปกติของคนก็ดี สัตว์ก็ดี ไม่ต้องการให้ใครมาทำร้ายร่างกาย และก็ไม่ต้องการให้ใครมาทำลายร่างกายถึงกับสิ้นชีวิต นี่ขอให้ท่านทั้งหลายถือความรู้สึกของท่านเป็นสำคัญว่า ตัวท่านเองน่ะมีความรู้สึกอย่างนี้บ้างหรือเปล่า…? ถ้าหากว่าท่านต้องการให้ใครเขามาฆ่าให้ท่านตายละก็โปรดแจ้งให้ทราบด้วย จะได้ช่วยสงเคราะห์ให้เร็วเข้า และถ้าท่านต้องการให้ใครเขาทรมานบีบคั้นร่างกายท่านให้เจ็บปวด มีทุกขเวทนาอย่างหนักก็โปรดแจ้งให้ทราบด้วย
ประการที่สอง ท่านมีทรัพย์สมบัติอยู่แล้ว ท่านต้องการให้ใครมายื้อแย่งทรัพย์สมบัติท่านหรือเปล่า….? เอาตัวของท่าน เอาใจของท่านเป็นประกัน เป็นเครื่องยอมรับ หมายความว่าเอาตัวของท่านนี่แหละเป็นตัวยืน เอาจิตใจของท่านเป็นจิตใจยืน ท่านมีทรัพย์สมบัติทั้งหลาย ท่านต้องการให้ใครเขามาลักเขามาขโมย มายื้อมาแย่ง มีบ้างไหม …? เคยคิดบ้างหรือเปล่า…? ไม่มี ถ้าคนไม่ไร้สติเขาตอบว่าไม่มี ฉันหามาลำบาก
และคนที่เรารัก เราต้องการให้ใครเขามายื้อแย่งความรักของเราไหม…?
นี่ยามปกติถ้าเราจะพูดกันอย่างเป็นการเป็นงาน เราต้องการให้ใครเขามาโกหกมดเท็จเราบ้างหรือเปล่า…?
ยามปกติเราต้องการให้ชาวบ้านเขาเห็นว่าเราเป็นคนบ้าไหม….?
ไม่มี อาตมาพูดเองตอบเอง ตอบได้ ตอบแทนท่าน นี่ส่วนใหญ่กำลังใจของเรา นอกจากว่าเราจะมีประสาทหรือว่าจิตวิปริตจึงจะคิดฝืนอารมณ์ทั้ง ๕ ประการนี้
อารมณ์ทั้ง ๕ ประการนี้ทั้งคนและสัตว์มีความปรารถนาเสมอกัน ที่คนเรามีความรู้สึกว่าสัตว์เกิดมาเพื่อเป็นอาหารของตนนี่คิดด้วยความโง่เท่านั้น ไม่ใช่ความฉลาด อาตมาขอพูดตรงไปตรงมา ถ้าสัตว์มันเกิดมาเพื่อเป็นอาหารของเรา เวลาที่เราเดินเข้าไปหามัน มันก็ต้องรับเดินเข้ามาหาเรา เต็มใจให้เรากินมันเป็นอาหาร หรือฆ่ามันมาเพื่อเป็นอาหารของเรา แต่ทว่าสัตว์ทั้งหลายไม่ได้มีความคิดอย่างนั้น ในเมื่อเราจะไปจับมันก็วิ่งหนี ปลาก็ว่ายน้ำหนี นกก็บินหนี สัตว์เดินดินก็เดินหนี สัตว์เลื้อยคลานก็เลื้อยหนี อาการที่หนีนี่แสดงว่าเขารักชีวิตของเขา เขาไม่ต้องการให้เราไปทำลายชีวิตของเขา ความรู้สึกของคนและสัตว์มีความรู้สึกเสมอกัน มีความต้องการแบบนี้เท่ากัน
รวมความว่า ปกติคนและสัตว์มีความประสงค์ในกฎ ๕ ประการเท่านั้น พระพุทธเจ้าจึงเรียกกฎ ๕ ประการ ว่า ศีล แปลว่า ปกติ คือว่าเป็นปกติที่คนและสัตว์ทั้งหมดต้องการ คือไม่ต้องการให้ใครมาทำอันตรายกับเราแบบนั้น
ไม่ต้องการให้ใครเขามาฆ่า ไม่ต้องการให้ใครเขามาทำร้าย
ไม่ต้องการให้ใครเขามาลักของขโมยของ ยื้อแย่งของและทรัพย์สิน
ไม่ต้องการให้ใครมายื้อแย่งความรัก
ไม่ต้องการให้ใครโกหก
ไม่ต้องการให้ใครเขาเห็นว่าเราเป็นคนบ้า
คำว่า คนบ้า ในที่นี้ก็ได้แก่ การดื่มสุราเมรัย ของมึนเมา อาการที่มึนเมาเข้าไปแล้ว บรรดาท่านทั้งหลายมันก็ไม่ต่างอะไรกับคนบ้า ดีไม่ดีคล้ายสัตว์สี่เท้าเสียอีก นอนเหมือนสัตว์ที่เท้า มีอาการเหมือนสัตว์สี่เท้าก็ยังทำได้
นี่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันไม่ใช่ปกติ ปกติของมนุษย์แปลว่าใจสูง ไม่ต้องการอย่างนั้น นี่พูดถึง ศีลบารมี ถ้าเป็นพระ เป็นเณร หรือผู้รักษาอุโบสถ ก็ทรงอาการอย่างนั้นให้ครบถ้วนบริบูรณ์ให้มันเป็นปกติ
ทีนี้การรักษาศีลให้เป็นปกติทำยังไง…? ใน อุทิมพริกสูตร องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงตรัสกับนิโครธะปริพาชกว่า
“สาวกของเราจะไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง ไม่แนะนำให้บุคคลอื่นทำลายศีล และก็ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว” อาการอย่างนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ใจของท่านทรงได้แล้วหรือยัง…?
ถ้าจะถามว่าปฏิบัติศีลแบบไหนเป็น ปรมัตถศีล จึงจะ เข้าถึงพระนิพพานได้ ถ้าเราตอบกันไปแบบเล่นสำนวนก็ตอบกันได้แบบสบาย ๆ เมื่อไรมันก็ไม่จบ
ถ้าเรามาสรุปตามแบบฉบับขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ตรัสกับนิโครธะปริพาชกว่า
“เราแนะนำบรรดาลูกศิษย์ลูกหาของเรา (ในนั้นท่านเรียกกันว่า ยามสี่ คือ ไม่มีสุรา และเวลานี้เรามาเทียบกันได้กับศีล ๕) เราแนะนำแบบนี้ว่า
1. เธอจงอย่าเป็นผู้ทำลายศีลด้วยตนเอง
2. เธออย่ายุยงส่งเสริมให้บุคคลอื่นทำลายศีล และก็
3. ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว เราสอนแบบนี้ สาวกของเรารับฟังแล้วปฏิบัติตามเรา จึงประกาศผล และสาวกของเราจึงยอมรับผลว่าได้มรรคได้ผลสมความปรารถนา”
นี่ว่ากันโดยใจความเป็นภาษาไทย ถ้าหากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายถามว่า จะรักษาศีลอย่างไหนจึงจะเข้าถึงพระนิพพานได้…? ก็ขอให้บรรดาท่านพุทธบริษัทยึดศีลข้อนี้เข้าไว้ แบบนี้นี่แหละ ๓ ประการ
ถ้าจะถามว่า ถ้าเราปฏิบัติอยู่ในศีลบารมี ถ้ามีกำลังใจครบถ้วน เรามีทานบารมีควบด้วยหรือเปล่า…? อาตมาก็ต้องตอบว่ามี ที่มีก็คือ อภัยทาน เพราะคนที่จะมีศีลได้ต้องมี เมตตา และมี กรุณา ทั้ง ๒ ประการ เราก็มีทาน การให้คืออภัยทาน ให้อภัยแก่บุคคลผู้ผิด เขารู้เท่าไม่ถึงการณ์
เว้นไว้แต่ว่าบุคคลผู้มีเจตนาปฏิบัติผิดพระวินัย หรือ ระเบียบกฎข้อบังคับ อย่างที่เป็นกฎข้อบังคับที่องค์สมเด็จพระสัมมาสุมพุทธเจ้าทรงวางไว้ พระองค์ก็ยังทรงลงโทษ ถ้าผิดแบบนี้เราไม่ให้อภัย เพราะเรามีความรักในเขา เรามีความสงสารในท่านผู้นั้น ถ้าไม่ลงโทษตามระเบียบวินัยก็จะปล่อยให้เขาเลวเกินไป เป็นอันว่าเราไม่รัก
ตามคติโบราณท่านบอกว่า รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี ท่านว่าอย่างนั้น ถ้าวัวควายของเราถ้าไม่ผูกไว้มันก็จะอดหญ้าตาย ดีไม่ดีผู้ร้ายก็ขโมยเอาไปฆ่าหรือเอาไปทรมาน ก็จัดว่าเป็นการไม่รักวัวรักควาย ถ้ามีลูกหญิงลูกชายเราปล่อยให้เหลิงกันไปตั้งแต่เด็ก พอโตแล้วเอาไม่ไหว ก็แสดงว่าเราไม่รักลูก ลูกเลวเราจะมาร้อนใจอะไร
นี่ถ้าหากว่า รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี ท่านว่าอย่างนั้น ถ้าเขาผิดระเบียบวินัย เราก็ต้องลงโทษ ถ้าหากว่าถ้าเป็นความผิดอย่างอื่นที่ไม่เสียหาย เราก็ให้อภัย จัดเป็นอภัยทาน นี่รักษาศีลเราก็มีทานด้วย
ในด้าน เนกขัมมะ เนกขัมมะ นี่เขาเรียกว่า ไม่มีการพยาบาท ไม่โกรธไม่พยาบาท ในเมื่อเรามีเมตตาเสียแล้ว ไอ้ตัวโกรธตัวพยาบาทที่มันเนื่องไปด้วยกิเลสมันจะมีขึ้นมาได้ยังไง นี่เรารักษาศีลเราก็มีเนกขัมมะ บารมีมันรวมตัวกัน
ถ้าจะถามว่ารักษาศีลมี ปัญญาบารมี ควบด้วยไหม…? ก็ตอบได้ง่าย ๆ ว่า คนโง่น่ะไม่มีใครเขารักษาศีล คนที่ทำลายศีลน่ะไม่ใช่คนฉลาด เพราะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตน นี่คนที่รักษาศีลได้ครบถ้วนบริบูรณ์ก็เป็นคนมีปัญญาบารมีอยู่แล้ว ไม่ยาก ไม่เห็นอะไรจะยาก
ถ้าจะถามว่ารักษาศีลแล้ว วิริยบารมี ตามมาด้วยหรือ เปล่า…? ก็ต้องตอบว่ามี เพราะนิสัยเดิมของเราเป็นคนใจโหดร้าย ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต คิดว่าสัตว์เป็นอาหารของเรา แต่เรางดเว้นเสีย ต้องหักห้ามอารมณ์แบบนี้เป็นต้น เราเคยยิงเนื้อยิงสัตว์ ทำลายชีวิตสัตว์ ทำลายร่างกายบุคคลอื่น เรางดไม่ทำ แทนที่จะใช้ความโหดร้ายเข้ามาประจำใจ เรากลับมีเมตตา กรุณา คือความรัก ความสงสารเข้ามาประจำ ฝืนอารมณ์เดิม หักห้ามอารมณ์เดิมเข้าไว้ กว่าจะทำได้มันต้องใช้เวลา นี่ต้องใช้ วิริยะ ความเพียร
ถามว่า ขันติบารมี ล่ะมีไหม…? อ๋อ… ก็การอดกลั้นยังไวล่ะ… สมมุติว่าท่านทั้งหลายที่อยากจะกินเหล้าเมาสุราเคยกินเหล้าเมาสุรามาแล้ว รักษาศีลอยากจะให้ศีลบริสุทธิ์มันมีความอยากเข้ามาก็ต้องอดเข้าไว้ กลั้นเข้าไว้คิดว่าเราจะเอาดี หรือว่าคนที่ชอบเจ้าชู้ ลูกเขาเมียใคร ผัวเขาผัวใครไม่เลือก ชอบใจสัมผัสดะ เราก็ต้องใช้ขันติบารมีว่าเวลานี้เรารักษาศีล เราไม่ทำ ใช้ขันติเข้าควบ ใช้วิริยะ ใช้ปัญญา
ทีนี้ถามว่า ถ้าเราปฏิบัติแต่ศีลบารมีอย่างเดียว สัจจบารมี จะมีด้วยหรือเปล่า…? สัจจะนี่แปลว่า ความจริง ตั้งใจไว้โดยเฉพาะ เราเป็นคนจริง เราไม่ใช่คนหลอก เราจะรักษาศีลจริง ๆ เราไม่ได้รักษาศีลหลอก ๆ เราก็ต้องมีความจริงว่าเราจะไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดมุสาวาท ไม่ดื่มสุราเมรัย เราต้องมีความจริงใจว่า เราจะไม่ทำเองด้วย เราจะไม่ยุให้คนอื่นเขาทำ และจะไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นเขาทำแล้ว ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัส สัจจะคือความจริงตัวนี้ ต้องทรงอยู่เป็นปกติ ถ้าขาดสัจจะเมื่อไรศีลพังเมื่อนั้น เห็นหรือยังว่า สัจจบารมีก็มี
ทีนี้ถ้าจะถามว่าถ้าเจริญศีลบารมีแล้ว อธิษฐานบารมี มีไหม…? อธิษฐานนี่มันตัวตั้งใจไว้แต่เดิมนี่บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าความตั้งใจไม่ทรงอยู่ เปลี่ยนแปลงเมื่อไร ศีลพังเมื่อนั้น ถ้าคิดว่าไม่เป็นไร จะกินเหล้าสักประเดี๋ยว ลาศีลนิดหนึ่ง เห็นไหม เวลานี้เราต้องการประโยชน์ ขอโกหกสักนิดเถอะ ลาศีลก่อน นี่ถ้าไร้อธิษฐานบารมีมันเป็นอย่างนั้น อธิษฐานบารมีตัวตั้งใจเดิม ต้องทรงไว้ว่าเราจะเป็นคนที่มีศีลบริสุทธิ์ มันต้องมี อธิษฐาน
สำหรับ เมตตาบารมี ไม่ต้องพูดกัน เพราะการทรงศีลต้องมีเมตตาอยู่แล้ว ถ้าไม่มีเมตตาศีลไม่มี
เวลาที่เราจะรักษาศีล อุเบกขาบารมี ต้องมีไหมล่ะ…? ก็ขอตอบได้ว่า อุเบกขาบารมีมันต้องมีซิ…อย่างชนิดที่เรียกว่าเราไม่ทำร้ายเขา แต่เขากลั่นแกล้งเรา เราก็อดไว้ ใจมัยอยากจะสู้ ใจมันอยากจะสู้เขา ใจมันอยากจะทำร้ายเขาต้องใช้ ขันติ ความอดทน วิริยะ คุมเข้าไว้ ปัญญา คอยห้ามปราม สัจจะ ทรงตัวเข้าไว้ บอกไม่ได้ เราตั้งใจไว้แล้ว อธิษฐาน ทรงจิตเข้าไว้ว่าปักหลักนิ่งเข้าไว้แล้วจะทำเขาไม่ได้ อุเบกขา เลยต้องพยายามทรงตัว ยืนเฉยเข้าไว้ อะไรมันจะมาที่มันจะเป็นอันตรายเป็นเครื่องทำลายศีล เรายืนเฉยเข้าไว้
เฉยทำไม…? เพราะเราต้องการ พระนิพพาน เราไม่ต้องการความเกิดอีก เราจะปิดกั้นความเกิด เราต้องมีอุเบกขา อุเบกขาตัวนี้ความจริงในด้านบารมีนี่เป็นตัวสูงมาก แต่เราจะเอาไว้พูดกันในคราวหลัง บารมีนี่จะพูดกันมากก็คงไม่มีกี่บารมีนัก
นี่เราจะเห็นได้ว่าการบำเพ็ญบารมีอย่างใดอย่างหนึ่งก็ต้องมีบารมีอีก ๙ อย่าง มาประกอบเข้าเป็นเครื่องประดับหรือเป็นเครื่องประคับประคองหมดทั้ง ๙ อย่าง รวมเป็น ๑๐ อย่างด้วยกัน
นี่เป็นอันว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายที่มีความเข้าใจว่า บารมีของเรายังไม่ครบถ้วน ยังบกพร่อง หรือว่า เราเป็นคนไม่มีบารมีเลย ก็จงทราบว่า บารมีน่ะมีอยู่ องค์สมเด็จพระบรมครูไม่ได้กีดไม่ได้กันเรื่องบารมี ทุกคนมีบารมีได้ พระพุทธเจ้าก็ทรงแจกบารมีให้แก่บรรดาท่านพุทธบริษัท คำว่า แจก ก็หมายถึงว่า การแนะนำ ไม่ใช่ยกบารมีส่วนตัวมาแจกแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท นี่มันแจกกันไม่ได้ เพราะอะไร เพราะมันเป็นกำลังใจของแต่ละคน
มีหลายท่านด้วยกันเคยมาหาอาตมา บอกว่าอยากจะขอบารมีให้ช่วยสงเคราะห์ให้ตัวของท่านดีขึ้น แต่เพื่อความสุขของท่านผู้นั้น อาตมาก็บอกว่า “สาธุ ดีแล้วอาตมาจะสงเคราะห์ในการแบ่งปันบารมีให้” ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ว่าทำได้หรอกบรรดาท่านพุทธบริษัท เพื่อเป็นการรักษากำลังใจของท่านผู้พูด ความจริงบารมีมันอยู่ที่ตัวท่านแล้ว แต่ทว่าถ้าเราขาดกำลังใจเสียอย่างเดียว ทุกอย่างมันก็ทำไม่ได้ ถ้าท่านทั้งหลายพวกนั้นยังมีความรู้สึกอยู่ว่า ตัวท่านเองเป็นผู้ไม่มีบารมี ท่านก็จะขาดกำลังใจ
ในเมื่อท่านมาขอบารมีก็บอกว่า เอ้า! ให้ สงเคราะห์ให้ เต็มใจให้ รับก็แล้วกัน อาตมาพร้อมที่จะมอบให้เสมอ เมื่อเวลามอบให้ท่านก็คือมอบกำลังใจ เพราะว่าถ้าเราไม่ให้กำลังใจท่านผู้นั้น ท่านผู้นั้นก็จะไม่ทรงความรู้สึกว่าท่านมีกำลัง
ทีนี้เมื่อรับฟังอย่างนี้แล้วท่านอาจจะคิดว่าอาตมาน่ะช่วยได้ สามารถจะสงเคราะห์ให้ท่านเป็นผู้มีบารมีสูงสุดได้ ก็จะเกิดกำลังใจขึ้นมาว่าเราได้พระช่วยแล้ว นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านทั้งหลายถ้าเคยฟังมาก็อาจจะคิดว่าอาตมานี่เป็นผู้แจกบารมีได้เก่ง แต่คงจะไม่เป็นเช่นนั้น
มีหลายท่านด้วยกันมากัน บางทีหลาย ๆ ท่านมักจะมา พอถามว่า “มาทำไม” บอกว่า
“มาชมบารมี” คำนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ฟังแล้วก็ไม่สะดุดใจอะไร แต่ทว่าท่านทั้งหลายเราคิดกันใหม่ดีกว่า บารมีของใครไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่บารมีของเรา เราตั้งใจจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่นิพพาน แล้วก็สร้างบารมีของเราให้ครบถ้วน คือกำลังใจ ตั้งใจไว้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้พูดเฉพาะ ศีลบารมี เราพยายามทรงศีลของเราให้บริสุทธิ์ ระมัดระวังทุกสิกขาบท อย่าลืมว่า ท่านเป็นปุถุชนคนธรรมดา มีศีล ๕ ต้องบริสุทธิ์ ถ้าท่านยังบอกว่าจำเป็นจะต้องละเมิดอย่างโน้นข้ามอย่างนี้ ก็ถือว่าท่านไม่พร้อมที่จะแสวงหาความดี
ท่านที่รักษาอุโบสถ เป็นสามเณร เป็นภิกษุ จงถือสิกขาบททุกสิกขาบทยิ่งกว่าชีวิต จงคิดว่าถ้าเราบกพร่องในสิกขาบทหนึ่ง นั้นคือศีลของเราพังไปเสียแล้ว เราเองก็ถือว่าไม่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็นยังไงล่ะบรรดาท่านพุทธบริษัทก็เราฝ่าฝืนพระพุทธบัญญัติที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ ให้ปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศีลนี่เป็นกฎข้อบังคับว่าเราจะต้องทำ ถ้าไม่ทำแล้วเราจะทรงตัวเป็นพุทธสาวกไม่ได้
ถ้าสรุปรวมความแล้ว หากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายทรงกำลังใจ 3 ประการครบถ้วน คือ
๑. เราจะไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง
๒. เราจะไม่ยุยงส่งเสริมให้บุคคลใดทำลายศีล
๓. เราจะไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว เท่านี้เป็นที่พอใจขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ชื่อว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายเป็นผู้มีศีลบารมีครบถ้วนเต็มจำนวนที่พระพุทธเจ้าต้องการ
ถ้าท่านมีศีลครบถ้วน บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านก็ชื่อว่าท่านเป็นผู้เข้าถึง สรณคมน์ ตามนิยมของพระพุทธศาสนา คนประเภทนี้จะลงอบายภูมิไม่ได้ อย่างเลวก็เกิดเป็นมนุษย์ แต่ว่าเป็นมนุษย์ชั้นดี มีรูปร่างหน้าตาสวย มีความเฉลียวฉลาด มีทรัพย์สมบัติเยือกเย็น มีคนใต้บังคับบัญชาก็ตั้งอยู่ในโอวาท บริวารตั้งอยู่ในโอวาท มีวาจาเป็นสัจจะ มีวาจาเป็นทิพย์ พูดอะไรใครก็ชอบ ไม่ขาดสติสัมปชัญญะ
เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท ว่ากันมาถึงเรื่องศีล และการประกอบของบารมีอื่นกับศีล ก็พอสมควรแก่เวลา สำหรับวันนี้ก็ขอยุติเรื่องศีลไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแต่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน สวัสดี
ที่มา
www.praratanatrai.com(เป็นการเทศน์ของ ลพ.ฤาษีลิงดำ)