คำขวัญบึงกาฬ : ภูทอกแหล่งพระธรรม ค่าล้ำยางพารา งามตาแก่งอาฮง บึงโขงหลงเพลินใจ น้ำตกใสเจ็ดสี
ประเพณีแข่งเรือ เหนือสุดแดนอีสาน นมัสการหลวงพ่อใหญ่ ศูนย์รวมใจศาลสองนาง
บึงกาฬ สแปลช.!
โดย...กาญจน์ อายุ
ก่อนปี 2554 ใครคิดมาบึงกาฬถือว่าแปลก เพราะมันเป็นแค่อำเภอใน จ.หนองคาย ทั้งอยู่ห่างไกลและไม่รู้ว่าจะมาทำอะไร แต่ตอนนี้บึงกาฬถูกยกให้เป็นจังหวัดที่ 77 ทำให้กลายเป็นที่รู้จักและไม่รู้สึกว่าเป็นชนบทเพราะมันได้กลายเป็นเมืองเสียเอง
บึงกาฬเป็นจังหวัดยาวๆ เลียบแม่น้ำโขง อยู่ทางตอนเหนือสุดของภาคอีสาน ฝั่งตรงข้ามเป็นเมืองปากซัน ประเทศลาว ที่อีกไม่นานจะมีสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 เชื่อมถึงกัน อันเป็นสัญญาณการพัฒนาเศรษฐกิจที่จะช่วยส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศที่ไม่เฉพาะลาวเท่านั้น ถนนจากลาวยังเชื่อมถึงตอนบนของประเทศเวียดนามจวบจนตอนใต้ของประเทศจีน กลายเป็นเส้นทางการค้าและเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมถึง 4 ประเทศ
นอกจากนี้ ทางจังหวัดยังมีแผนสร้างสนามบิน โดยเตรียมพื้นที่ไว้แล้ว 4,000 กว่าไร่ ห่างจากตัวเมืองประมาณ 10 กม. ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของบประมาณ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง บึงกาฬก็ไม่จำเป็นต้องง้อสนามบินใกล้เคียงอย่างอุดรธานี สกลนคร และนครราชสีมา ที่ต้องเสียเวลาเดินทางด้วยรถยนต์อีกไม่ต่ำกว่า 180 กม.
คำพูดหนึ่งจากท่านเทวัญ สรรค์นิกร รอง ผวจ.บึงกาฬ กล่าวว่า “บึงกาฬเป็นจังหวัดที่ถ้าไม่ตั้งใจมาคงมาไม่ถึง” จึงมีคำถามต่อว่า แล้วนักท่องเที่ยวจะดั้นด้นมาเพื่ออะไร
เด็กๆ เล่นสไลเดอร์บนลานหิน
ไหว้พระบนภูทอก
คำตอบสามารถแยกเป็นหลายหัวข้อ เริ่มจากไหว้พระแน่นอนว่าถ้านึกถึงบึงกาฬต้องคิดถึงภูทอก ทางเดินริมผาน่าหวาดเสียวดึงดูดนักท่องเที่ยวมากมาย แม้ทางวัดจะประกาศชัดเจนว่า ภูทอก หรือวัดเจติยาคีรีวิหารไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว แต่คือสถานที่ปฏิบัติธรรม แต่ก็ยังไม่ปฏิเสธคนทั่วไป ทว่านักท่องเที่ยวเองต้องตระหนักถึงการสำรวมกาย วาจา ใจ และพึงระลึกไว้เสมอว่า กำลังเดินอยู่ในวัด ไม่ใช่เส้นทางท่องเที่ยว
ขอกล่าวถึงประวัติสักเล็กน้อย วัดเจติยาคีรีวิหารมีเนื้อที่ประมาณ 7,000 ไร่ เริ่มสร้างสะพานรอบภูทอกเมื่อปี 2513-2514 โดยพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐที่ตอนนี้มรณภาพไปแล้ว ทางเดินมี 7 ชั้นชั้นที่ 6 เป็นที่ตั้งพุทธวิหาร ลักษณะเป็นเชิงผายื่นออกไป และมีก้อนหินขนาดใหญ่ที่อดเปรียบไม่ได้ว่าคล้ายกับพระธาตุอินแขวนที่ประเทศเมียนมา สะพานไม้ถูกสร้างวนรอบภูเขาไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆโดยเสาะหินเข้าไปเพื่อฝังคานไม้และทำเป็นทางเดิน ระหว่างทางจะพบกุฏิพระ รูปปั้นเหมือนพระอาจารย์จวน ผ่านจุดชมวิวลังกาที่มองเห็นภูลังกาอยู่ลิบๆ เห็นอาณาบริเวณวัดเบื้องล่าง และสวนยางพารากว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งเฉพาะในบึงกาฬมีพื้นที่ปลูกมากถึง 1 ล้านไร่ จนได้รับการขนานนามว่าเป็นดินแดนแห่งต้นยางพารา
กระโดดน้ำเล่นที่น้ำตกถ้ำพระ
เส้นทางนักปั่น
นักปั่นจากทั่วสารทิศเพิ่งไปรวมตัวกันอยู่ที่บึงกาฬเพื่อร่วมการแข่งขันรายการทัวร์ ออฟ อีสาน บึงกาฬคลาสสิก อัศจรรย์ธรรมชาติที่ท้าทาย จัดโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมกับหน่วยงานในจังหวัด โดยแบ่งเป็น 2 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางเรียบพิชิตภูทอก100 กม. และเส้นทางวิบากพิชิตภูสิงห์ 50 กม. เป็นสิ่งพิสูจน์ว่าบึงกาฬก็มีเส้นทางปั่นจักรยานที่น่าสนใจทั้งปั่นชิลและปั่นมันส์ ท่ามกลางธรรมชาติและภูเขาหินทรายอันเป็นเอกลักษณ์

บึงกาฬ สแปลช
และอีกคำตอบสำหรับคนชอบน้ำโดยเฉพาะ ขอตั้งชื่อเส้นทางนี้ว่า บึงกาฬ สแปลช (ลากเสียง ช.ให้ยาวๆ) ไม่ได้จะกล่าวถึงสวนน้ำทันสมัยอย่างที่หลายจังหวัดสร้างให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว เพราะบึงกาฬมีสระว่ายน้ำและสไลเดอร์สารพัดรูปแบบตามที่ธรรมชาติให้มา
หลากน้ำตกตระการตาอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว กินอาณาเขต 3 อำเภอ ได้แก่ เซกา บุ่งคล้าและบึงโขงหลง ในฤดูน้ำหลากเทือกเขาจะกำเนิดสายน้ำไหลลงสู่เบื้องล่างผ่านชั้นหินลดหลั่นที่เราเรียกว่า น้ำตก ในเขตภูวัวมีน้ำตกขนาดใหญ่ 5 แห่ง ถ้ากล่าวถึงน้ำตกที่ใหญ่และอลังการกว่าใครต้องยกให้ น้ำตกภูถ้ำพระหรือน้ำตกถ้ำพระ อยู่ห่างจาก อ.เซกา 34 กม. ต้องขับรถไปตามทางหลวงหมายเลข 212 จนถึงห้วยบางบาตร จากนั้นลงรถแล้วต่อเรือล่องเข้าไปในคลองอีก 15 นาทีจึงถึงน้ำตก (ค่าบริการไป-กลับคนละ 20 บาท)
พ่อลูกเล่นน้ำที่น้ำตกถ้ำฝุ่น
น้ำตกถ้ำพระแบ่งเป็น 2 โซน โซนแรกเป็นลานหินกว้าง สายน้ำจะโค้งตวัดซ้ายขวาไปตามแนวร่องหินแล้วไปเทรวมกันในแอ่งน้ำก่อนจะไหลไล่ระดับไปด้านล่างอีกไม่รู้กี่จบ โซนนี้นักท่องเที่ยวมักเล่นสไลเดอร์โดยหย่อนตัวเข้าไปในร่องน้ำขนาดกำลังพอดีแล้วปล่อยไหลไปตามกระแส จึงไม่ต้องแปลกใจที่จะเห็นคนใส่กางเกงก้นขาด พวกเขารู้ตัวดีว่ากำลังเล่นกับอะไร
จุดที่เรียกว่าน้ำตกภูถ้ำพระก็อยู่บริเวณนี้ ด้านข้างธารน้ำตกมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ในชะง่อนผาหินทราย มีแท่นหินให้จุดธูปสักการะ คนที่จะไหว้ต้องเดินข้ามลานหินกว้าง 200 ม. ซึ่งไม่ใช่ลานแห้งๆแต่ต้องฝ่ากระแสน้ำแรงอันเป็นเครื่องพิสูจน์แรงศรัทธาก่อนถึงองค์พระ
จากนั้นขึ้นบันไดต่อไปยังโซน 2 เป็นชั้นที่สูงกว่าและกระแสน้ำเชี่ยวกรากกว่ามาก รางวัลสำหรับผู้พิชิตคือ ม่านน้ำตกสุดอลังการ ให้นึกภาพตามว่ามวลน้ำมหาศาลไหลตามแรงโน้มถ่วงตกกระทบพื้นหินอย่างรุนแรง ทำให้น้ำฟุ้งกระจายเป็นละอองกลางอากาศ เวลาแสงส่องผ่านจะเห็นเป็นประกายระยับปานคริสตัล ตัดภาพไปที่ผาหินทรายสีแดงเป็นฉากหลังและทุกทิศทางโอบล้อมด้วยป่าสมบูรณ์ ถ้าเทียบกับตัวคนจะยิ่งเห็นชัดว่าธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหนและสวยงามปานใด สมกับเป็นนัมเบอร์วันของบึงกาฬ
เก็บภาพน้ำตกเจ็ดสี
สำหรับนัมเบอร์ทูขอจัดลำดับด้วยตัวเอง โดยยกให้ น้ำตกเจ็ดสี แม้ว่าวันที่ไปน้ำจะหลากเกินกว่าจะเข้าไปสู่ใจกลางน้ำตก แต่เห็นแค่ปลายน้ำก็ตื่นตา น้ำตกเจ็ดสีมีจุดเด่นตรงลานหินทรงประหลาดอันเกิดจากการกัดเซาะของกระแสน้ำที่ทำให้หินทรายเลี้ยวลดคดเคี้ยวได้ปานนั้น สายน้ำจึงต้องเคี้ยวคดตาม ซึ่งเมื่อถ่ายภาพด้วยสปีดชัตเตอร์ต่ำๆ จะเห็นเป็นริ้วน้ำพลิ้วไหวผิดกับความจริงที่ดุดาดสาดกระเซ็น
ต้องออกตัวก่อนว่า ยังไม่มีโอกาสไปน้ำตกชะแนนและน้ำตกตาดกินรี จึงต้องยกอันดับ 3 ให้ น้ำตกถ้ำฝุ่น ที่ได้ไปสัมผัสมาแล้ว น้ำตกถ้ำฝุ่นแบ่งเป็น 2 น้ำตกย่อย ด้านหนึ่งเป็นลานหินลดหลั่นทำให้น้ำไหลไม่แรงแต่จะแลดูยิ่งใหญ่เวลาน้ำมาก ส่วนอีกด้านเป็นน้ำตกสายเดียวไหลลงมาจากภูเขา ตกมาเป็นแอ่งน้ำซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ชอบเล่นน้ำอยู่ฝั่งนี้ และใกล้ๆ กันยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปอยู่ในถ้ำฝุ่นที่ทุกคนต้องไปสักการะ
ทั้ง 3 น้ำตกที่กล่าวไป ถ้าไปตอนนี้ยังจะได้เห็นแบบเดียวกับในภาพจนถึงประมาณเดือน พ.ย. แต่เมื่อหมดฝนเมื่อไหร่น้ำก็จะน้อยลงและคนก็จะไม่ไปเที่ยวน้ำตกไปโดยปริยายตามอากาศที่หนาวเย็นแต่บึงกาฬก็ยังสแปลชต่อได้ เพราะในตัวจังหวัดยังมีพื้นที่ชุ่มน้ำหลายแห่งให้ชุ่มใจ อย่างบึงโขงหลง
ถ้ำพระบนชะง่อนเขา
บึงโขงหลง เป็นแหล่งน้ำจืดขนาด 6,840 ไร่ อยู่ใน อ.เซกา และ อ.บึงโขงหลง ถูกขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญระดับนานาชาติเมื่อ 14 ปีที่แล้ว และได้รับการประกาศให้เป็นเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทำให้เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวไม่ได้บึงโขงหลงจึงอยู่ในฐานะแหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติโดยเฉพาะความหลากหลายทางชีวภาพทั้งพืชและสัตว์ มีการพบนกประมาณ 167 ชนิด เป็นนกอพยพ 81 ชนิดเช่น เป็ดแดงนกอีแจว เหยี่ยวดำ เหยี่ยวพันธุ์ทุ่งเอเชียและพันธุ์ยูเรเซียซึ่งจะบินมาหากินในช่วงฤดูหนาว รวมถึงนกประจำถิ่นอีก 86 ชนิด เช่น นกอีโก้ง นกเป็ดคับแค และนกอัญชันอกสีเทา นอกจากนี้ยังพบปลาเฉพาะถิ่นที่อยู่ในสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ อย่างปลาบู่กุดทิงและปลาซิวแคระสามจุดผู้ที่สนใจสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อรับทราบข้อมูลและนั่งเรือชมทัศนียภาพบึงโขงหลง ซึ่งสามารถชมได้ทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและตก

ในตัวเมืองบึงกาฬมีพื้นที่ชุ่มน้ำอีกแห่งชื่อ หนองกุดทิง มีพื้นที่ประมาณ 2.2 หมื่นไร่ ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำแรมซาร์แห่งที่ 11 ของประเทศไทย มีสัตว์น้ำอาศัยมากกว่า 250 สายพันธุ์และชาวบ้านยังทำประมงแบบท้องถิ่น ที่หนองกุดทิงไม่มีเรือนำเที่ยวอย่างเป็นทางการ แต่สามารถว่าจ้างเรือชาวบ้านแถวนั้นได้ ซึ่งเวลาที่ดีที่สุดคือช่วงพระอาทิตย์ขึ้น เพราะทิศตะวันออกอยู่หลังหนองน้ำน้ำในหนองจะถูกอาบด้วยแสงสีทองและนกน้ำจะบินว่อนออกหากิน
ใครที่คิดว่าอีสานแห้งแล้งต้องมาปรับทัศนคติกันใหม่ที่บึงกาฬ เพราะนอกจากจะมีแหล่งน้ำมาก น้ำตกมาก ยังมีพื้นที่ป่าจำนวนมาก บึงกาฬจึง “สวยมาก” ช่วงหน้าฝนสวนกระแสการท่องเที่ยวในภาคอื่นที่เห็นฝนเป็นอุปสรรค ซึ่งในขณะนี้เหลือเวลาอีกไม่มากก่อนที่ฝนจะหายไป สำหรับใครที่คิดว่าเคยสัมผัสความรู้สึกสแปลชมาแล้วต้องคิดใหม่ จนกว่าจะได้สัมผัสสายน้ำธรรมชาติที่ให้ความชุ่มฉ่ำอย่างแท้จริง
ยอดภูทอกเมื่อมองจากพุทธวิหาร
การแข่งขันปั่นจักรยานรายการบึงกาฬ คลาสสิก
บึงโขงหลงก่อนพระอาทิตย์จะอัสดง
พุทธวิหารบนชั้นที่ 6
ฟ้าสีแดงหลังพระอาทิตย์ตกที่หนองกุดทิง
ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.posttoday.com/travel/thailand/395729