ถ้าไม่ผ่าน องค์ กรรมฐาน มันจะมีนิวรณ์ ความยินดี คือ กามฉันทะ ความยินร้าย คือ พยาปาทะ ความเป็นกลาง คือ วิจิกิจฉา ดังนั้น ในการเข้าไปรู้จักกิเลส ต้องผ่านกรรมฐาน ทำหลังจากผ่าน การดับนิวรณ์ นี่คือความจำเป็นว่า ต้องเจริญ หลัง สมถะ ดังนั้นท่านจึงจัด วิปัสสนา เกิดหลัง สมถะ เพราะเหตุนั้น
ถ้าหากจิต มีนิวรณ์ อยู่ ก็ไม่สามารถรู้จัก กิเลส ได้ แต่จะกลายเป็น ถูก กิเลส ครอบงำ
ยกตัวอย่าง คนดูภาพลามก เพื่อรู้จัก กิเลส
พระโยคาวจร ดูภาพลามก เพื่อรู้จัก กิเลส
พระอริยะ พิจารณาภาพลามก เพื่อรู้จัก กิเลส
ทั้งสามอาการนี้ไม่เหมือนกัน แต่ อยู่ ในบุคคลเดียวกัน ในสภาวะ ปุุถุชน ย่อมถูกครอบงำก่อน
พระโยคาวจร มีสติสัมปชัญญะ สยบอารมณ์ เพื่อรู้ตามความเป็นจริง แต่ก็ยังมีโอกาสภาพ เพียงแว่บเดียวที่จิต ถูกครอบงำ ก็จะถูกครอบงำทั้งหมด แต่โอกาสจะนานกว่า ปุถุชน ส่วนพระอริยะ ตั้งแต่พระโสดาบัน โอกาสที่จะถูกครอบงำ ไม่มีเลย เพราะจิตเห็นแจ้งตามความเป็นจริงแล้ว ดังนั้น ตั้งแต่พระโสดาบันไป จึงไม่ตกไปในอบายภูมิ 4 อีก มีชาติที่แน่นอน
ดังนั้น เป้าหมายกรรมฐาน เริ่มตั้งแต่ ระดับ พระโยคาวจร ขึ้นไป การเข้า อุปจาระฌาน เพื่อสยบนิวรณ์ 3 ตัว เป็นด่านแรก นั้่นก็คือ กามฉันทะ พยาบาท วิจิกิจฉา ส่วน ปฐมฌาน เพื่อละนิวรณ์ 5 คือ กามฉันทะ พยาบาท อุทธัทจจะกุกกุจจะ ถีนมิทธะ และ วิจิกิจฉา เพื่อทำ จิตเป็น เอกัคตา ในสมาบัติ
สรุป การเข้าไปรู้จักกิเลส ต้องพ้นจากวิสัย ของ ความยินดี ( นิฏฐารมณ์ ) และ ความไม่ยินดี ( อนิฏฐารมณ์ ) ตลอดถึงความไม่ใส่ใจ ( อุเปกขารมณ์ ) ด้วยจึงจะถูกต้อง ในการเรียนรู้ สมุทัยสัจจะ อันเป็นระดับของ ปุถุชน และ พระโยคาวจร
แต่หากเป็น พระโสดาบัน เข้าไปรู้จัก ตัวกิเลส ก็จะเรียกว่า สมุทัยอริยสัจจะ อันเป็นระดับของผู้ได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว นั่นเอง
เจริญธรรม / เจริญพร
