ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พระวีระธุพระผู้นำพุทธในพม่ากับ...'กฎหมาย ๔ ฉบับ ที่เป็นกฎเหล็กคุ้มครองพุทธศาสนา  (อ่าน 1399 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29355
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

พระวีระธุพระผู้นำพุทธในพม่ากับ...'กฎหมาย ๔ ฉบับ ที่เป็นกฎเหล็กคุ้มครองพุทธศาสนา'
เรื่องและภาพ สำราญ สมพงษ์

นิตยสารไทม์ฉบับที่จะวางจำหน่ายในวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ได้ตีพิมพ์ภาพ “พระวีระธุ” ผู้นำพระสงฆ์และชาวพุทธในพม่า ที่ตั้งกลุ่มก่อต้านชาวโรฮิงญา และชาวมุสลิมในพม่า จนเกิดเหตุจลาจลระหว่างชุมชน ที่รัฐอาระกันของพม่า และได้ลุกลามไปยังพื้นที่อื่นในพม่า โดยโปรยตัวอักษรที่หน้าปกว่า “โฉมหน้าชาวพุทธผู้สร้างความหวาดกลัว: กองกำลังพระสงฆ์เติมเชื้อความรุนแรงต่อต้านมุสลิมในเอเชียได้อย่างไร”

นอกจากนี้ในเล่ม ยังมีเรื่องจากปกพาดหัวว่า “เมื่อชาวพุทธคลั่ง” หรือ “When Buddhists Go Bad” โดยโปรยว่า “ศาสนาพุทธมีชื่อเสียงในเรื่องความรักสงบและอดทนอดกลั้น แต่ในหลายประเทศของเอเชีย พระสงฆ์กำลังเป็นผู้กระตุ้นให้เกิดความดื้อรั้นและความรุนแรง โดยส่วนใหญ่เป็นไปเพื่อต่อต้านมุสลิม”

สำหรับนิตยสารไทม์ ที่ตีพิมพ์ภาพปก “พระวีระธุ” เป็นนิตยสารไทม์ฉบับที่วางจำหน่ายในภูมิภาคยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา และเอเชีย และแปซิฟิกใต้ ส่วนภาพปกฉบับที่วางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาเป็นเรื่องทหารผ่านศึกสหรัฐอเมริกา และการทำงานบริการสาธารณะ

 :49: :49: :49: :49:

อย่างไรก็ตามเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๘ ได้เห็นชาวเมียนมาร์ทั้งพระและฆราวาสมากกว่า 3 หมื่นรูป/คน ต่างมุ่งตรงไปยังสนามกีฬาแห่งชาติย่างกุ้ง เพื่อร่วมงานเฉลิมฉลองภายใต้ชื่อว่า “งานเฉลิมฉลองการบังเกิดขึ้นแห่งพระราชบัญญัติ เพื่อความสามัคคี กลมเกลียว และความสงบสุขแห่งชาติ” หลังจากรัฐสภาได้ผ่านกฎหมายคุ้มครองพระพุทธศาสนาจำนวน ๔ ฉบับ คือ
     ๑.กฎหมายว่าด้วยการควบคุมประชากร
     ๒.กฎหมายการเปลี่ยนศาสนาโดยต้องขออนุญาตจากทางการ
     ๓.กฎหมายการมีคู่สมรสเพียงคนเดียวรักเดียวใจเดียว และ
     ๔.กฎหมายที่ห้ามหญิงชาวพุทธแต่งงานกับชายชาวมุสลิม

ทั้งนี้ด้วยการผลักดันขององค์กรคณะสงฆ์ภายใต้ชื่อว่า “องค์กรสันติภาพมาบาธา” โดยมีพระมหาเถระภัททันตะติโลกะภิวังสา เป็นประธาน และมีพระวีระธุที่ได้รับการขนานามว่าเป็นพระหัวรุนแรงร่วมด้วย

 :41: :41: :41: :41: :41:

เมื่อเสร็จงานพระวีระธุถึงได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวทั่วไปโดยเฉพาะผู้สื่อข่าวจากประเทศไทยและถือเป็นครั้งที่ ๒ ที่ผู้สื่อข่าวไทยได้มีโอกาสได้สัมภาษณ์ โดยกล่าวว่า รู้สึกปลื้มมากที่กฎหมายทั้ง ๔ ฉบับนี้ออกมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายที่เป็นการยกฐานะสตรีให้สูงขึ้นเท่าเทียมกับเพศชาย ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการลิดรอนสิทธิแต่อย่างใดแต่เป็นการให้เกียรติสตรีซึ่งเป็นเพศแม่มากกว่า

พระวีระธุ เชื่อว่า กฎหมายเหล่านี้จะทำให้สังคมเมียนมาร์อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เพราะเท่ากับเป็นการจัดระเบียบสังคมใหม่ เพราะว่าประเทศเมียนมาร์ประกอบด้วยประชาชนที่หลากหลายศาสนาและเชื่อชาติ เพราะหากไม่มีกฎหมายที่จัดโครงสร้างทางสังคมให้ดีแล้วก็จะทำให้มีปัญหาอย่างเช่นที่ผ่านมา เท่ากับกฎหมายเหล่านี้เป็นหลักการพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข และหลักการพื้นฐานของสันติภาพด้วย

 :96: :96: :96: :96:

“อาตมานั้นรักมนุษย์ทุกคนในโลกร่วมถึงรักสัตว์ด้วย อาตมาเป็นลูกพระพุทธเจ้าก็จะต่อสู้เพื่อพระพุทธศาสนาตลอดไปให้ดีที่สุด ใครจะเอาจีวรของอาตมาไปไม่ได้ แม้ว่าจะได้รับผลกระทบอย่างไรก็ตามก็จะไม่หวั่นไหว” พระวีระธุ กล่าว

พร้อมกันนี้พระวีระธุกล่าวด้วยว่า อาตมาต้องเดินทางไปประเทศไทยพูดคุยกับพระสงฆ์และชาวพุทธไทย เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวทางในการแก้ปัญหาทางภาคใต้ เพื่อให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข





หลากชาติพันธุ์ยอมรับและร่วมฉลอง

งานฉลองเริ่มขึ้นด้วยการแสดงศิลปวัฒนธรรมที่มีชื่อเสียงของชนเผ่าต่างๆ ต่อจากนั้นเป็นพิธีเปิดอย่างเป็นทางการโดยพระมหาเถระภัททันตะติโลกะภิวังสา ได้กล่าวถึงความเป็นมาของกฎหมายทั้ง ๔ ฉบับว่า วันนี้เป็นวันสำคัญวันประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกไว้ในยุคปัจจุบันของประเทศเมียนมาร์และองค์กรสันติภาพมาบาธา เนื่องจากในสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าก็ทรงบัญญัติพระวินัยเพื่อป้องกันอันตรายต่างๆ โดยเฉพาะคนพาล แต่เพื่อให้ความยุติธรรม ความงาม ความดี เป็นที่เคารพน่าเลื่อมใสของคนในสังคม

เนื่องจากที่ผ่านมาสังคมเมียนมาร์มีความขัดแย้ง ความอยุติธรรม ความไม่สงบ สถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีกฎหมายเหล่านี้ขึ้นมา ซึ่งไม่ใช่มีไว้เพื่อข่มขู่ แต่มีไว้เพื่อสร้างความกลมเกลียว สงบสุข ยุติธรรม และความสามัคคี เป็นการสถาปนาสันติสุขให้เกิดขึ้นให้กับทุกเชื้อชาติและศาสนาในประเทศเมียนมาร์ และที่ผ่านมาก็ต้องขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งเกี่ยวกับสถานการณ์ขัดแย้งระหว่าง ๒ ศาสนา โดยเฉพาะในรัฐยะไข่ และมะริด และอีกหลายๆ แห่ง

 :25: :25: :25: :25:

การที่ชาวพุทธเดินทางมาร่วมงานเป็นจำนวนมาในครั้งนี้ ดร.พระญาณิสสระมหาเถระ บอกว่า เหมือนกับเป็นการฉลองชัยชนะเช่นตอนที่พระพุทธเจ้าชนะพญามาร และหลังจากพระพุทธเจ้าชนะพญามารแล้วพระองค์ก็ต้องการที่จะอยู่เงียบๆ ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับพญามารอีกแต่พญาการก็ติดตามพระองค์ตลอด ดังนั้นก็ขอให้ชาวพุทธอย่าให้นิ่งนอนใจว่าได้รับชัยชนะแล้วและอย่าได้ชื่นชมตัวเองมากนัก ซึ่งจะต้องระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา เพราะว่ามารไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอน

“ก่อนหน้านี้ก็มีกฎหมายคุ้มครองพระพุทธศาสนาเช่นกันแต่นานไปก็หายไป ดังนั้นจะต้องนำกลับคืนมา และขอให้มีความเท่าเทียมกันกับทุกศาสนา เกี่ยวข้องกันด้วยความรักความเคารพซึ่งกันและกัน อย่าได้เอาเปรียบกัน อยู่ร่วมกันด้วยความอดทน” ดร.พระญาณิสสระมหาเถระ


 ask1 ans1 ask1 ans1 ask1 ans1


บริบทแห่ง“องค์กรสันติภาพมาบาธา”

พระมหาเถระภัททันตะติโลกะภิวังสา ในฐานะประธาน “องค์กรสันติภาพมาบาธา” บอกว่า อาตมาแม้ว่าจะอายุมาก ๗๗ ปีแล้ว แต่เมื่อได้รับการแต่งตั้งจากพระมหาเถระซิทตากู่และพระมหาเถระอื่นๆ ให้เป็นผู้นำองค์กร ก็ตั้งปณิธานที่จะทำงานเพื่อความผาสุกของคนในชาติ เริ่มแรกที่ตั้งองค์กรนี้ขึ้นมาต้องต่อสู้กับข้อกล่าวหาต่างๆ ทุกสารทิศ ถูกคณะสงฆ์มหาเถรสมาคมแห่งชาติและรัฐบาลเข้าใจผิด คิดว่าอาตมาต้องการเป็นคู่แข่งกับมหาเถรสมาคมแห่งชาติ จึงต้องใช้เวลามากพอสมควรที่อธิบายทำความเข้าใจ

การดำเนินการร่างและผลักดันกฎหมายเหล่านี้ทำด้วยความตั้งใจบริสุทธิ์ที่จะนำเสนอกฎหมายที่โปร่งใส บนพื้นฐานของความจริงสากลและธรรมเนียมปฏิบัตินานาชาติ เสร็จแล้วก็ได้นำมาทดสอบจนได้รับการยอมรับของประชาชนเพราะต้องการให้กฎหมายเป็นประชาธิปไตยโดยประชาชนเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง จึงได้รวบรวมรายชื่อพร้อมลายเซ็นได้กว่า ๕ ล้านคน นำเสนอต่อนายเต็ง เส่ง ประธานาธิบดี

 st12 st12 st12 st12

เมื่อประธานาธิบดีได้อ่านร่างกฎหมายนี้ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายของประเทศและคณะที่ปรึกษา และในที่สุดก็ลงความเห็นร่วมกันว่ากฎหมายเหล่านี้ไม่ได้มีเป้าหมายที่จะทำร้ายศาสนาเชื้อชาติบุคคลหรือพรรคการเมืองใดๆ เลย และเป็นสิ่งที่จะช่วยรักษาสันติภาพความกลมเกลียวของสังคมเอเชียซึ่งมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและศาสนาอย่างมาก ดังนั้นประธานาธิบดีได้สรุปว่าจริงๆ แล้วกฎหมายนี้จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับประเทศเมียนมาร์ และจะสนับสนุนอย่างเต็มที่ แต่อย่างไรก็ตามการตัดสินใจขั้นสุดท้ายก็ต้องผ่านกระบวนการทางรัฐสภาและในที่สุดก็ได้รับการรับรองจากรัฐสภาและประกาศใช้

หลังจากนั้นได้สรุปเนื้อหาของกฎหมายเหล่านี้เผยแพร่ให้แก่ประชาชนได้เข้าใจ ดังนั้นจึงขอรับรองได้ว่ากฎหมายเหล่านี้ไม่มีเป้าประสงค์ที่ใครองค์กรไหน ศาสนาไหนในทางไม่ดี หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้โดยตรงจะพยายามตอบคำถามให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ แต่ตอบไม่หมดก็จะได้เผยแพร่ประชาสัมพันธ์กระจายเสียงหรือทางโทรทัศน์ต่อไป

 ans1 ans1 ans1 ans1

“ขอย้ำว่ากระบวนการออกกฎหมายครั้งนี้มีผลต่อทั้ง ๔ ศาสนาหลัก เราไม่ได้ทำเพื่อใคร เพื่อสมาคมหรือพรรคการเมืองใด มีเป้าประสงค์ที่จะสร้างความกลมเกลียวความเท่าเทียมกัน ความสงบสุขบนพื้นฐานหลากหลายวัฒนธรรมของเมียนมาร์เป็นสำคัญ และได้โปรดอนุญาตให้อาตมาได้แบ่งปันวิสัยทัศน์ที่จะทำให้ประเทศเหมือนสวรรค์ที่มีแต่ความสุขและความกลมเกลียวของประชาชนพร้อมร่วมแบ่งปันความบริบูรณ์และความสุขสุดท้ายจริงๆ ข้าพเจ้ากระตุ้นทุกคนให้กลับบ้านพร้อมสารแห่งสันติภาพ” ประธานองค์กรสันติภาพมาบาธากล่าว


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20151113/216817.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

bajang

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 325
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
การตรากฏ นั้น ก้เพียงแค่การโต้ ตอบ เท่านั้น เพราะ ตอนนี้ มุสลิม ในเอเชีย ครองไปแล้ว 85 เปอร์เซ้นต์ นะคะ

  :s_hi:
บันทึกการเข้า