ขณะทำสมาธิหรือฟังธรรม แล้วมีผู้มารบกวน เขาเหล่านั้นจะมีบาปหรือไม่.?
ปุจฉา-วิสัชนากับ พระไพศาล วิสาโล
วันดี รัตชรักษ์ ปุจฉา : ดิฉันอยากทราบว่าเวลาที่นั่งสมาธิหรือฟังธรรมอยู่ แล้วมีคนมาแกล้ง หรือลูกกับแฟนมากอดมาหอม ไม่ทราบว่าเขาเหล่านั้นจะบาป หรือมีกรรมหรือไม่คะ กราบขอบคุณสำหรับคำตอบค่ะ
วิสัชนา : สมมุติว่าคุณกำลังทำกับข้าวให้ลูก แล้วลูกกับแฟนมากอดมาหอม คุณคิดว่าคนเหล่านั้นจะบาปหรือมีกรรมหรือไม่ ถ้าคุณคิดว่าไม่บาป คุณก็ได้คำตอบแล้วสำหรับคำถามข้างต้นของคุณ
ควรมองว่าการนั่งสมาธิหรือฟังธรรม แม้จะเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ไม่ได้มีความพิเศษมากไปกว่าการทำกิจอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน การกระทำใดๆ จะเป็นบาปหรือไม่อยู่ที่เจตนา หากเขาไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งคุณก็ไม่เป็นบาป ไม่ว่าตอนนั้นคุณกำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม
อันที่จริงหากคุณมองว่าการที่ลูกกับแฟนมากอด หรือมีคนมาแกล้ง คือแบบฝึกหัดที่ช่วยให้คุณมีสติและขันติมากขึ้น มันก็เป็นสิ่งดีมิใช่หรือ
ศีล เปรียบเสมือนอะไร.?ปุจฉา : การสมาทานศีล ๕ ศีล ๘ เปรียบดังมีทหารองค์รักษ์ผู้คอยระวังสร้างปัญหาชีวิตจากความคิดผิด นอกจากนี้ยังช่วยสนับสนุนให้เข้าถึงฌานปัญญาอีกด้วย ถ้าจะอธิบายให้เห็นจริงโดยการยกตัวอย่างประกอบข้อความข้างต้น ท่านมีความคิดอย่างไรเจ้าคะ ขอบพระคุณนะเจ้าคะ
วิสัชนา : อาตมาอยากเปรียบศีล ๕ ศีล ๘ หรือการทำความดีว่าเป็นเสมือนกำแพงที่คอยป้องกันไม่ให้ความทุกข์ทั้งหลายเข้ามาทำร้ายเรา เพราะเมื่อทำดีรักษาศีล ไม่เบียดเบียนใคร ก็ยากที่จะมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจตามมา แค่ศีล ๕ ข้อเดียว ก็ป้องกันโรคร้ายนานาชนิด ป้องกันอุบัติเหตุและความพิการอันเกิดจากความประมาท ป้องกันมิให้เกิดการทะเลาะวิวาทกัน หรือหนี้สินอันเป็นผลจากความเมามาย ฯลฯ
อย่างไรก็ตามกำแพงแห่งศีลหรือความดีไม่สามารถป้องกันความทุกข์ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะถึงจะทำความดีแค่ไหน รักษาศีลเคร่งครัดเพียงใด ความเจ็บป่วย ความพลัดพรากสูญเสีย และความตาย ก็ยังสามารถข้ามกำแพงนี้มาถึงตัวเราได้
แต่ถ้าเราฝึกฝนจิตใจให้เกิดปัญญา กำแพงแห่งปัญญานี้แหละที่จะป้องกันมิให้ความทุกข์ทั้งหลายล่วงล้ำมาถึงใจเราได้ กล่าวคือ ถึงแม้จะเจ็บป่วย พลัดพราก และตาย ใจก็ไม่ทุกข์ เพราะเห็นว่ามันเป็นธรรมดาโลก อีกทั้งสามารถปล่อยวางสิ่งทั้งปวง ไม่ยึดติดถือมั่นว่าเป็นตัวเราของเราอีกต่อไป จึงเป็นอิสระจากทุกข์ทั้งปวงที่มา
http://www.komchadluek.net/detail/20151118/217096.html