ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: อานิสงส์กวาดลานวัด  (อ่าน 4428 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29347
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
อานิสงส์กวาดลานวัด
« เมื่อ: มกราคม 20, 2016, 09:14:29 am »
0




เรื่องพระนางโรหิณี

    พระนางโรหิณีนั้นเป็นพระกนิษฐภคิรี(น้องสาว) ของพระอนุรุทธเถระ พระอนุรุทธะนั้น ท่านมีพี่น้อง ๓ คน คือ
     ๑. พระมหานามะ
     ๒. พระอนุรุทธะ
     ๓. พระนางโรหิณี

     บิดาของพระอนุรุทธะคือ พระเจ้าอมิโตทนะ ซึ่งเป็นพระกนิษฐภาดา(น้องชาย) ของพระเจ้าสุทโธทนะ เพราะฉะนั้น พระอนุรุทธะนั้นจึงเป็นลูกผู้พี่ผู้น้องของพระพุทธเจ้า

    วันหนึ่ง พระอนุรุทธะได้เดินทางไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ อันเป็นบ้านเดิมของท่าน เมื่อไปแล้ว พวกบรรดาพระญาติก็มาหาท่านเป็นจำนวนมาก แต่ยังขาดอยู่คนหนึ่งไม่ได้ไปพบ นั้นก็คือพระนางโรหิณี
    พระอรนุรุทธะจึงถามพวกพระญาติที่มาพบว่า น้องหญิงไปไหนเสียจึงไม่มา ก็ได้รับการบอกว่าอยู่ที่พระตำหนัก ท่านก็ถามว่า ทำไมจึงไม่มา ก็ได้รับคำตอบว่า พระนางเป็นโรคผิวหนังมีแผลพุพองคันไปทั่วทั้งตัวจึงไม่กล้ามา


     :96: :96: :96: :96:

    พระอนุรุทธะก็ให้คนไปตามมาพบให้ได้ พอพระนางมาแล้วไหว้พระเถระ ๆ ก็ถามว่าทำไมไม่มา พระนางก็เรียนว่าตนเป็นโรคผิวหนังอันไม่งามจึงไม่มา ก็เพราะความละอาย

    พระอนุรุทธะเถระก็กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นเธอจงสร้างศาลาขึ้น ๑ หลัง เป็นศาลาโรงฉันสำหรับภิกษุสงฆ์
    พระนางโรหิณีก็เรียนถามว่า กระหม่อมฉันจะเอาเงินที่ไหนมาสร้าง
    พระเถระก็พูดว่า เครื่องประดับของเธอไม่มีบ้างหรือ
    พระนางก็เรียนว่า มีเครื่องประดับอยู่
    พระเถระถามว่า ราคาประมาณเท่าไร
    พระนางเรียนว่า ประมาณหนึ่งหมื่นกหาปณะ
    พระเถระจึงบอกว่า เธอจงขายเครื่องประดับนี้เสียแล้วนำไปสร้างศาลาโรงฉัน

    พระนางก็ถามว่า แล้วใครจะช่วยสร้างให้ เพราะไม่มีคนสร้าง พระเถระก็มองดูพระญาติ ๆ ทั้งหลายซึ่งมานั่งอยู่เป็นจำนวนมากแล้วพูดขึ้นว่า ให้พระญาติทั้งหลายนั้นช่วยจัดการเรื่องนี้ ช่วยกันสร้างศาลานี้ บรรดาพระญาติทั้งหลายก็รับคำจัดการสร้างให้





    พอศาลาโรงฉันสร้างเสร็จ พระนางก็มีจิตผ่องแผ่วเกิดปีติโสมนัสยิ่ง เริ่มไปปัดกวาด ปูอาสนะ ตั้งน้ำใช้น้ำฉันไว้ แล้วพระนางก็เริ่มปฎิบัติถือศีลฟังธรรมตามกาล โรคเรื้อนหรือโรคผิวหนังที่พระนางเป็นอยู่ก็เริ่มแห้งราบลงไป ๆ เมื่อถึงวันฉลองศาลาโรงฉัน พระนางก็ได้ให้คนไปนิมนต์พระภิกษุสงฆ์จำนวนมาก มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ให้มาเสวยที่โรงฉันหลังนั้น พระพุทธเจ้าทรงรับแล้วได้เสด็จมาเสวยพระกระยาหารในที่นั้น

    พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสถามว่านี้เป็นทานของใคร
    พระอนุรุทธเถระก็ทูลตอบว่า นี้เป็นทานของพระนางโรหิณี ผู้เป็นพระน้องนาง
    พระพุทธองค์ทรงตรัสถามว่า พระนางโรหิณีไปอยู่ที่ไหนเสียเล่า
    พระอนุรุทธเถระทูลตอบว่า อยู่ที่พระตำหนักไม่กล้ามา เพราะละอายที่ตนเป็นโรคผิวหนังอันน่ารังเกลียด

    พระพุทธองค์จึงทรงตรัสรับสั่งให้ไปตามพระนางมา เมื่อพระนางมาแล้วก็ทำการถวายบังคม แล้วก้มหน้านิ่ง
    พระพุทธองค์ได้ตรัสถามพระนางว่า ทำไมไม่มา
    พระนางก็ทูลตอบว่า ตนเป็นโรคผิวหนังอันพุพองเป็นที่น่ากลัวน่ารังเกลียด จึงได้มีความละอาย เลยไม่กล้าที่จะมาเข้าเฝ้า
    พระพุทธองค์ทรงตรัสถามว่า เธอทราบไหมว่า ทำไมจึงเป็นโรคผิวหนัง
    พระนางทูลตอบว่า ไม่ทราบพระเจ้าข้า
    พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ที่เป็นโรคผิวหนังพุพองนั้นก็เพราะความโกรธที่เธอทำไว้ในชาติก่อน จึงทำให้เป็นโรคผิวหนังเป็นแผลพุพองอันน่าเกลียด และพระองค์ได้ยกอดีตนิทานของพระนางโหริณีในชาติก่อนมาตรัสเล่าว่า

    ในอดีตกาล ในกรุงพาราณสี พระนางนั้นได้เป็นอัครมเหสีของพระเจ้ากรุงพาราณสี พระนางมีความผูกจิตริษยาอาฆาตแค้นในหญิงนักฟ้อนรำของพระราชาองค์นั้น (อาจเป็นเพราะพระราชาโปรดปราณหญิงนักฟ้อนรำคนนั้นมากก็ได้ ทำให้พระนางริษยาแค้นเคืองหนักหนา ) พระนางทรงรับสั่งให้เรียกหญิงนักฟ้อนรำนั้นเข้ามาที่พระตำหนัก แล้วตรัสสั่งคนให้เอาผงเต่าร้างโปรยบนผ้าที่นอนของหญิงนักฟ้อนรำนั้น
    นอกจากจะโรยที่นอนแล้วก็ให้โปรยบนผ้าห่มด้วย เมื่อหญิงนักฟ้อนรำเข้ามาเฝ้า พระนางก็ทรงโปรยผงเต่าร้างลงไปที่ตัวของนางนักฟ้อนรำแล้วทำเป็นหัวเรอะเล่น หญิงนักฟ้อนรำนั้นเมื่อโดนผงเต่าร้างโรยมาที่ตัวก็ให้คันเหลือประมาณได้รับทุกขเวทนายิ่ง ตามตัวก็พุพองขึ้นเป็นเม็ดน้อยเม็ดใหญ่ เมื่อเม็ดพุพองขึ้นมาก็เกา เกาหาที่คันเม็ดตุ่มคันก็เเตกเป็นแผล เมื่อนางไปนอนบนที่นอนก็ถูกผงเต่าร้างกัดที่นอนนั้น นางได้รับทุกข์เวทนาอย่างแรงกล้า


     ans1 ans1 ans1 ans1

    พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า เพราะกรรมอันนี้เอง เธอจึงเป็นโรคเรื้อนเพราะความริษยา เพราะความโกรธนี้เองจึงเป็นเหตุให้เธอต้องรับทุกข์เวทนาเช่นนี้ ในที่สุด พระพุทธองค์จึงทรงตรัสแสดงธรรมกับพระนางขึ้นว่า

    “บุคคลไม่พึงโกรธ พึงสละความถือตัวเสีย ควรล่วงสังโยชน์เสียให้สิ้น ทุกข์ทั้งหลายย่อมไม่ตกแก่บุคคลเช่นนั้น ผู้ไม่ข้องอยู่ในนามรูป ผู้ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล”

    เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม พระนางก็พิจารณาตามกระแสแห่งพระสัทธรรมนั้น และในที่สุดพระนางก็ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลชั้นต้น เมื่อพระนางสำเร็จโสดาบันในครั้งนั้น พระนางก็มีผิวพรรณวรรณะดุจทองคำในขณะนั้นเอง นี่เป็นผลอานิสงส์จากการที่พระนางได้สร้างศาลาโรงฉันแล้วก็ได้ปฎิบัติธรรมปัดกวาดศาลาโรงฉัน ตั้งน้ำใช้น้ำฉันเป็นต้น




   
อานิสงส์กวาดลานวัด

    คนโบราณเขาเชื่อถือกันมาว่า ผู้ที่มีโรคผิวหนังพุพองหรือโรคเรื้อน ถ้าได้มาเก็บขยะเก็บใบไม้ที่ล่วงหล่นปัดกวาดลาดวัดให้สวยงามสอาดตาแล้วนั้น เชื่อกันว่าจะทำให้ผิวพรรณวรรณะงดงามและทำให้โรคร้ายหายไปได้ การกวาดวัดนี้มีอานิสงส์ถึง ๕ อย่างคือ
    ๑. บุคคลเห็นเข้าก็เลื่อมใส
    ๒. เทวดาเห็นเข้าก็เลื่อมใส
    ๓. จิตของผู้กวาดตั้งสมาธิได้เร็ว
    ๔. ผิวพรรณวรรณผ่องใส
    ๕. เมื่อตายดับสังขารจากโลกนี้ไปแล้วก็ไปบังเกิดในภพภูมิสวรรค์

    นี่คือผลอานิสงส์ของการเก็บปัดกวาดลานวัด ส่วนพระนางโรหิณีกวาดศาลาที่พระนางสร้างเองนั้น เมื่อพระนางสิ้นชีพแล้วก็ไปบังเกิดบนสวรรค์ดาวดึงส์ แต่สถานที่พระนางไปเกิดนั้นแปลกกว่าคนอื่น คือ ไม่ได้ไปเกิดในวิมานของใคร พระนางไปเกิดอยู่ในระหว่างพรหมเทพบุตรทั้ง ๔ จึงเกิดปัญหาขึ้น
    เทพบุตรทั้ง ๔ ต่างก็พูดว่า นางเทพธิดานี้เป็นสมบัติของตน ต้องการจะเอามาเป็นภรรยา เมื่อตกลงกันไม่ได้ ในที่สุดก็นำเรื่องไปกราบทูลท้าวสักกเทวราชเพื่อให้ทรงตัดสิน


     st12 st12 st12 st12

    ท้าวสักกเทวราชทรงเห็นพระนางแล้วก็เกิดความรักขึ้นจึงตรัสถามเทพบุตรทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายเห็นนางแล้วรู้สึกอย่างไร
    เทพบุตรองค์หนึ่งได้กราบทูลว่า เมื่อเห็นนางแล้ว จิตของข้าพระองค์เต้นแรงเหมือนกับกลองศึก ไม่อาจจะสงบนิ่งอยู่ได้
    เทพบุตรอีกองค์ที่สองก็กราบทูลว่า เมื่อเห็นนางแล้ว จิตของข้าพระองค์ถลนออกมาเหมือนตาปู
    เทพบุตรอีกองค์ที่สามกราบทูลว่า เมื่อข้าพระองค์เห็นนางแล้ว จิตของข้าพระองค์เป็นไปโดยรวดเร็ว เหมือนกับน้ำที่ตกจากภูขา
    เทพบุตรองค์ที่สี่กราบทูลว่า เมื่อข้าพระองค์เห็นนางแล้ว ใจเต้นเหมือนกับธงที่ปักไว้บนยอดเจดีย์ สะบัดอยู่ ไม่หยุดนิ่ง

    ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า ท่านทั้งสี่เห็นนางเทพธิดานี้แล้วยังพออยู่ได้ แต่ข้าพเจ้านี้ ถ้าหากไม่ได้นางเทพธิดาองค์นี้เป็นพระชายาแล้วจะต้องตาย
    เทพบุตรทั้งสี่นั้นก็กราบทูลว่า พวกข้าพระองค์ไม่ต้องการให้พระองค์ถึงสวรรคต ขอมอบนางเทพธิดาองค์ให้เป็นสิทธิ์ของพระองค์
    ดังนั้น พระนางโรหิณีที่ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็ได้เป็นที่โปรดปรานของท้าวสักกเทวราช


ขอบคุณบทความจาก
http://larnbuddhism.com/godgram/shadok/shadok16.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29347
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



เรื่อง : พระสัมมัชชนเถระ
     
     
ข้อความเบื้องต้น : พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระสัมมัชชนเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "โย จ ปุพฺเพ ปมชฺชิตฺวา" เป็นต้น.

      ans1 ans1 ans1 ans1

      ผู้ไม่ประมาทย่อมยังโลกให้สว่าง     
       
      ได้ยินว่า พระเถระนั้นไม่ทำเวลาให้เป็นประมาณว่า "เช้าหรือเย็น" ย่อมเที่ยวกวาดอยู่เนืองๆ.
      วันหนึ่ง พระเถระนั้นถือไม้กวาดไปสู่สำนักของพระเรวตเถระ ผู้นั่งในที่พักกลางวันแล้ว กล่าวว่า
      "พระเถระนี้เป็นผู้เกียจคร้านมาก บริโภคของที่ชนถวายด้วยศรัทธา แล้วมานั่งอยู่ การที่พระเถระนั่นถือเอาไม้กวาดแล้วกวาดที่แห่งหนึ่ง จะไม่ควรหรือ.?"
      พระเถระคิดว่า "เราจักให้โอวาทแก่เธอ" ดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า "มานี่แน่ะ คุณ."
      พระสัมมัชชนเถระ. อะไร.? ขอรับ.
      พระเรวตเถระ. ท่านจงไปอาบน้ำแล้วจงมา.

      พระสัมมัชชนเถระนั้นได้ทำอย่างนั้นแล้ว.
      ลำดับนั้น พระเถระให้เธอนั่ง ณ ส่วนสุดข้างหนึ่งแล้ว เมื่อจะกล่าวสอน จึงกล่าวว่า
      "คุณ ธรรมดาภิกษุเที่ยวกวาดอยู่ตลอดทุกเวลา ไม่ควร, ก็การที่ภิกษุกวาดแต่เช้าตรู่แล้ว เที่ยวบิณฑบาต กลับจากบิณฑบาตแล้ว มานั่งในที่พักกลางคืน หรือในที่พักกลางวัน สาธยายอาการ ๓๒ เริ่มตั้งความสิ้นความเสื่อมในอัตภาพแล้ว ลุกขึ้นกวาดในเวลาเย็น จึงควร, อันภิกษุไม่กวาดตลอดกาลเป็นนิตย์ แล้วพึงทำโอกาส ชื่อแม้แก่ตน."


       :25: :25: :25: :25:

       พระสัมมัชชนเถระบรรลุพระอรหัต

      พระสัมมัชชนเถระนั้นตั้งอยู่ในโอวาทของพระเถระแล้ว ไม่นานเท่าไรก็บรรลุพระอรหัต.
      ที่นั้นๆ ได้รกรุงรังแล้ว.
      ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายกล่าวกะพระสัมมัชชนเถระนั้นว่า
      "สัมมัชชนเถระผู้มีอายุที่นั้นๆ รกรุงรัง เพราะเหตุไร ท่านจึงไม่กวาด.?"
      พระสัมมัชชนเถระ. ท่านผู้เจริญ กระผมทำแล้วอย่างนั้นในเวลาประมาท บัดนี้ กระผมเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว.

      ภิกษุทั้งหลายกราบทูลแด่พระศาสดาว่า "พระเถระนี้พยากรณ์อรหัตผล."
      พระศาสดาตรัสว่า
      "อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย บุตรของเราเที่ยวกวาดอยู่ในเวลาประมาทในก่อน แต่บัดนี้ บุตรของเรายับยั้งอยู่ด้วยความสุขซึ่งเกิดแต่มรรคผล จึงไม่กวาด."


      ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
      โย จ ปุพฺเพ ปมชฺชิตฺวา  ปจฺฉา โส นปฺปมชฺชติ
      โส อิมํ โลกํ ปภาเสติ  อพฺภา มุตฺโตว จนฺทิมา.

      ก็ผู้ใดประมาทในก่อน ภายหลังไม่ประมาท,
      ผู้นั้นย่อมยังโลกนี้ให้สว่างได้ เหมือนดวงจันทร์พ้นแล้วจากหมอกฉะนั้น.





      แก้อรรถ 
             
      บัณฑิตพึงทราบเนื้อความแห่งพระคาถานั้นว่า :-
      บุคคลใด ประมาทแล้วในก่อน ด้วยการทำวัตรและวัตรตอบ หรือด้วยการสาธยายเป็นต้น ภายหลังยับยั้งอยู่ด้วยสุขซึ่งเกิดแต่มรรคผล ชื่อว่าย่อมไม่ประมาท,
      บุคคลนั้น ย่อมยังโลกมีขันธ์เป็นต้นนี้ให้สว่าง คือย่อมทำให้แสงสว่างเป็นอันเดียวกันได้ด้วยมรรคญาณ เหมือนดวงจันทร์พ้นแล้ว จากหมอกเป็นต้น ยังโอกาสโลกให้สว่างอยู่ ฉะนั้น."

      ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผล เป็นต้น ดังนี้แล.


      เรื่องพระสัมมัชชนเถระ จบ.     
         

อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท โลกวรรคที่ ๑๓
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25.0&i=23&p=5
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎกได้ที่
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=721&Z=747         
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: อานิสงส์กวาดลานวัด
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มกราคม 20, 2016, 09:05:27 pm »
0

           สาธุ สาธุ
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา