ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ตามรอย..อิคคิวซัง ที่วัดคินคะคุจิ  (อ่าน 1048 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ตามรอย..อิคคิวซัง ที่วัดคินคะคุจิ
« เมื่อ: มีนาคม 16, 2016, 10:34:38 pm »
0


ตามรอย..อิคคิวซัง ที่วัดคินคะคุจิ
นุ บางบ่อ...เรื่อง / ภาพ

ชาวไทยส่วนใหญ่มักจะมีความคุ้นเคยกับวัดคินคะคุจิและท่านโชกุน จากภาพยนต์การ์ตูนอมตะเรื่องเณรน้อยเจ้าปัญญา หรือ อิคคิวซัง แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าสถานที่ล้ำค่าแห่งนี้มีความเป็นมาอย่างไร

เมืองเคียวโตะ หรือที่ทั่วไปมักจะออกเสียงเรียกกันว่า เมืองเกียวโต นั้นเป็นอดีตเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางความเจริญของเกาะฮนชู  จากสถิติถือเป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับที่ 11 ของโลกในปี พ.ศ. 2555

ความเป็นมาของเมืองเคียวโตะนั้นเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 8 นับเป็นช่วงเวลาที่นักบวชในพุทธศาสนามีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมาก  ช่วงเวลาดังกล่าวนักบวชได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการในราชสำนักของสมเด็จพระจักรพรรดิคัมมุ ทำให้จักรพรรดิตัดสินพระทัยที่จะย้ายนครหลวงไปยังภูมิภาคที่ห่างไกลจากอิทธิพลของพุทธศาสนา โดยทรงเลือกชัยภูมิแห่งใหม่ที่หมู่บ้านอุดะ นครหลวงแห่งใหม่นี้ได้รับนามว่า เฮอังเกียว หรือเมืองเคียวโตะในปัจจุบัน ซึ่งมีความหมายว่า นครหลวงแห่งสันติและสงบสุข  โดยได้แนวคิดมาจากนครหลวงฉางอานแห่งราชวงศ์ถัง เพียงแต่ปรับขนาดให้เล็กลง และต่อมาในปี ค.ศ. 794 เฮอังเกียวก็ได้กลายเป็นนครที่ตั้งของราชสำนัก ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุคเฮอัง นับเป็นยุคทองของประเทศญี่ปุ่น ที่ทั้งศิลปะและวัฒนธรรมรุ่งเรืองถึงขีดสุด มีการพัฒนาปรับปรุงวัฒนธรรมต่างๆ ที่หยิบยืมมาจากประเทศจีนและลัทธิขงจื้อ จนกลายเป็นวัฒนธรรมแบบเฉพาะตัวของญี่ปุ่น


 :49: :49: :49: :49:

รูปแบบสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นในยุคนี้คือ สถาปัตยกรรมแบบชินเด็ง (Shinden )  อันจะประกอบด้วยเรือนหลัก และเรือนต่อขยายออกไปทางด้านตะวันตกและตะวันออก เชื่อมกับเรือนหลักด้วยทางเดินที่มีหลังคาคลุม เรือนหลักนั้นจะหันหน้าไปทางทิศใต้ซึ่งเป็นทิศมงคลตามคติความเชื่อแบบจีน  ส่วนเรือนทางทิศเหนือนั้นจะจัดให้เป็นที่พำนักของภรรยาหลวง  ด้านหน้าทำเป็นสวนที่ประกอบไปด้วยสระน้ำ เนินเขาจำลอง เกาะ และสะพาน  โดยมีกำแพงดินล้อมรอบหมู่คฤหาสน์ทั้งหมด ส่วนที่เป็นหลังคานิยมมุงด้วยเปลือกสนซ้อนกันเป็นชั้นหนามากกว่าการใช้กระเบื้อง เพราะกระเบื้องแบบจีนนั้นไม่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศของญี่ปุ่น  พื้นจะเป็นพื้นไม้กระดาน เรือนด้านตะวันออกส่วนใหญ่จะมีทางเดินยาวเชื่อมสู่เรือนตกปลาที่สร้างไว้เหนือลำธารหรือสระน้ำ

เรือนแบบชินเด็งแต่ละหลัง สามารถแบ่งห้องได้ตั้งแต่ 4 ห้องถึง 9 ห้อง โดยใช้ฉาก หรือ ราวผ้าม่านเป็นเครื่องกั้นห้องตามขนาดความต้องการใช้งาน สถาปัตยกรรมแบบชินเด็งนี้จะเย็นสบายในฤดูร้อน

นักท่องเที่ยวจึงมักพบเห็นสถาปัตยกรรมแบบชินเด็งแบบดั้งเดิมได้จากสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ในเมืองเคียวโตะ ซึ่งเป็นเมืองที่ได้รับการอนุรักษ์ทางวัฒนธรรมไว้ได้เป็นอย่างดี อย่างเช่นสถานที่สำคัญที่น่าเดินทางไปท่องเที่ยวกันเมื่อเดินทางมาถึงเมืองแห่งวัฒนธรรมนี้คือ



วัดคินคะคุจิ  โดยมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า วัดโรคุออนจิ แต่นักท่องเที่ยวชาวไทยมักจะเรียกกันว่า วัดทอง ซึ่งมีศาลาทองเป็นจุดเด่นตั้งตระหง่านอยู่ริมสระนำอันเงียบสงบ เริ่มแรกนั้นศาลาทองหลังนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1940 เพื่อเป็นที่พักของโชกุนอาชิคางะ โยชิมิตสึ และผู้ติดตาม มีจุดเด่นอยู่ที่ตัวศาลานั้นเป็นสีทองจากทองคำเปลวและบนยอดสุดนั้นมีรูปหล่อนกฟีนิกซ์ยืนตระหง่านเป็นสง่าอยู่ ตัวเรือนประกอบไปด้วย 3 ชั้น ชั้นที่ 1 เป็นสถาปัตยกรรมสไตล์ชินเด็ง ในรูปลักษณ์แบบพระราชวัง ชั้นที่ 2 สไตล์แบบบ้านซามุไร และชั้นที่ 3 มีสไตล์แบบวัดพุทธนิกายเซน  ต่อมาผู้เป็นบุตรชายของท่านโชกุนได้เปลี่ยนแปลงให้สถานที่แห่งนี้เป็นวัดนิกายเซน 


แต่เป็นที่น่าเสียดายเมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนคือในปี พ.ศ. 2493 ศาลาทองล้ำค่าหลังนี้ได้ถูกเผาทำลายโดยพระวิกลจริตไปจนหมดสิ้น ศาลาหลังที่เห็นในปัจจุบันนี้ได้มีการสร้างขึ้นใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2498 โดยมีการก่อสร้างให้เหมือนกับสภาพเดิมทุกส่วน นับว่าเป็นการแกะรอยสถาปัตยกรรมกันอย่างละเอียดอ่อน จนศาลาทองหลังใหม่นี้เสร็จสมบูรณ์มีความงดงามเสมอเหมือนกับศาลาทองหลังเดิมเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์  ในปี พ.ศ. 2537 วัดโรคุออนจิ รวมทั้งศาลาทอง ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกร่วมกับสถานที่สำคัญอื่นๆ ในเมืองเคียวโตะ



อีกหนึ่งความคุ้นเคยของชาวไทยส่วนใหญ่มักจะรู้จักวัดคินคะคุจิและท่านโชกุน จากภาพยนต์การ์ตูนอมตะเรื่อง เณรน้อยเจ้าปัญญาอิคคิวซัง จนนักท่องเที่ยวบางคนถึงกับเปลี่ยนชื่อวัดนี้ให้เสียใหม่ว่า วัดอิคคิวซัง ซึ่งก็เป็นอันเข้าใจตรงกันว่าเป็นสถานที่เดียวกัน  หากคุณผู้อ่านมีโอกาสเดินทางไปเที่ยวชม ผมอยากให้ลองไปยืนอยู่บริเวณริมสระน้ำหน้าศาลาทองคำหลังนี้ แล้วลองหลับตาพลันจิตนาการถึงความน่ารักเฉลียวฉลาดของเณรน้อยเจ้าปัญญาอิคคิวซัง ที่ได้ผ่านตาพบพานผ่านจอโทรทัศน์ในบ้านเรา คุณอาจจะยืนยิ้มหรือหัวเราะอย่างมีความสุขเหมือนผมในวันนั้นก็เป็นได้


ทุกวันนี้เศรษฐกิจที่สำคัญในเคียวโตะนั้นมาจากอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากเมืองเคียวโตะนั้นเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของบริษัทชั้นนำมากมาย  แต่ทั้งนี้การท่องเที่ยวยังเป็นรากฐานทางเศรษฐกิจที่สำคัญของเคียวโตะ จากการที่เป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม ทำให้ในแต่ละวัน มีนักท่องเที่ยว นักเรียนนักศึกษาจากทั่วประเทศ เดินทางมาเยือนกันจำนวนมาก และจากการสำรวจและจัดอันดับระดับภูมิภาคในปี 2007 นครเคียวโตะได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่สองของเมืองที่น่าสนใจที่สุดในประเทศญี่ปุ่นรองจากเมืองซัปโปะโระ

นอกจากนี้งานฝีมือแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นยังคงเป็นงานที่สร้างรายได้สำคัญให้กับเมืองเคียวโตะ ซึ่งส่วนใหญ่จะดำเนินการโดยช่างฝีมือในโรงงานขนาดเล็ก  เช่นการผลิตชุดกิโมโนของเคียวโตะนั้นมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก  ถือเป็นศูนย์กลางของการผลิตชุดกิโมโนชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น  แต่อย่างไรก็ดีธุรกิจนี้ก็ได้รับความนิยมน้อยลงในปัจจุบัน เนื่องจากการขาดแคลนทรัพยากรบุคคลด้านช่างฝีมือที่มีคุณภาพ ซึ่งก็คงประสบปัญหาเช่นเดียวกับงานฝีมือหลายๆ อย่างของประเทศไทย ที่น่าจะหาผู้สืบทอดไว้ก่อนที่สมบัติล้ำค้าจะสูญหายไปในอนาคตอันใกล้นี้


ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบ จาก นุ บางบ่อ
http://travel.sanook.com/1398009/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ