ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พระร้องเรียน...!! ถูกบุกรุกพื้นที่วัด  (อ่าน 1134 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
พระร้องเรียน...!! ถูกบุกรุกพื้นที่วัด
« เมื่อ: สิงหาคม 24, 2016, 07:09:11 pm »
0



พระร้องเรียน...!! ถูกบุกรุกพื้นที่วัด

มีพระคุณเจ้า 2 รูป ส่งจดหมายผ่านอีเมล์มา เพื่อให้ช่วยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตักเตือน “ผู้นำท้องถิ่น” และทั้งช่วยประสานให้ ปปท. ตรวจสอบพฤติกรรม!!

ตั้งแต่เริ่มเขียน “คอลัมน์ริ้วผ้าเหลือง” ผมมีปณิธานอันแน่วแน่ว่า...

“ขอเป็นส่วนหนึ่งในการเป็นสื่อกลางอันดีระหว่างสถาบันสงฆ์และพุทธศาสนิกชนในสังคมไทย ในขณะเดียวกันในฐานะชาวพุทธ คิดว่าถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะต้องร่วมกันปกป้องพระพุทธศาสนา ปกป้องศาสนสมบัติและรวมทั้งพระภิกษุสุปฎิปันโนมิให้บุคคลใด บุคคลหนึ่งหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จาก “พระพุทธศาสนา” หรือแม้กระทั้งจาก “วัด” ซึ่งบุคคลนั่นไม่ว่าจะเป็น “พระภิกษุหรือฆราวาส” ล้วนจะต้องถูกตรวจสอบแบบถึงลูกถึงคน มิให้มีที่ยืนในเขตแดนแห่งนาบุญอีกต่อไป...”

การเขียนบทความผ่านมาแล้ว 2-3 เดือน มีพระและประชาชนส่งจดหมายผ่านอีเมล์ riwpaalueng@gmail.com บ้างพอสมควร หรือบางทีเพื่อนๆ ที่รู้จักกัน ก็เล่าขบวนการหากินแปลกๆ ในวงการคณะสงฆ์ให้ฟัง บางรายก็เสนอแนวทางปฎิรูปคณะสงฆ์ บางเจ้าก็เล่าพฤติกรรมพระในวัดและเหตุแห่งความเสื่อมปนเปกันไป

บางรายก็ชี้วัดและกลุ่มบุคคลที่เป็นมารศาสนา “หากินกับวัด” ซึ่งส่วนใหญ่ก็จำพวก “กินอิฐกินปูน” จำพวกรับสร้าง “วัตถุมงคล” แล้วถวายให้พระเกจิแจกบางส่วน บางส่วนตัวเองก็ไปทำการตลาด หากดังขึ้นมาก็ “ปล่อยบูชา” ในราคาแพงๆ หรือบางคนให้ข้อมูลมาว่า...มีกลุ่มฆราวาสบางกลุ่มรับ “สัมปทานจัดงานวัด” เช่น งานประจำปี งานปิดทองฝังลูกนิมิต หรืองานในเทศกาลสำคัญๆ วิธีการของคนกลุ่มนี้ คือ ถวายเงินก้อนหนึ่งให้วัด ส่วนเงินรายได้จากการจัดงานไม่ว่าขาดทุนหรือได้กำไรทางผู้รับสัมปทานยอม “รับภาระเสี่ยง” เอง...

จริงไม่จริงเรื่องพวกนี้ ชาวพุทธต้องร่วมกันตรวจสอบนะครับ ไม่อย่างนั้นนานๆ เข้าจะกลายเป็นช่องทางหากินของพวก “เหลือบศาสนา” ส่วนพระคุณเจ้า หากท่านเมตตามากก็จะกลายเป็นการส่งเสริมให้คนไม่ดีหากินกับวงการสงฆ์และสุดท้ายกลับมาทำลายวงการคณะสงฆ์เองโดยไม่รู้ตัว



มีพระคุณเจ้า 2 รูป ส่งจดหมายผ่านอีเมล์มาเพื่อให้ช่วยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตักเตือน “ผู้นำท้องถิ่น” และทั้งช่วยประสานให้ ปปท. ตรวจสอบพฤติกรรม!!

รูปแรก “ครูกิตติธรรมสุนทร” เจ้าอาวาส วัดหน้าพระลาน ต.แม่น้ำ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี อายุ 59 พรรษา 45 ตอนนี้ไปรักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดภูเขาทอง ซึ่งอยู่บนเกาะสมุยเหมือนกัน ปัญหาวัดแห่งนี้ถูกกลุ่มบุคคลนำโดยผู้นำท้องถิ่น เข้าไปบุกรุกที่ธรณีสงฆ์ มีการขุดดินทราย และตั้งร้านค้า โดยที่วัดไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย และไม่รู้ด้วยว่าในวัดระหว่างท่านกับฆราวาสใครมีอำนาจกว่ากัน

วัดมีเนื้อที่ประมาณ 18 ไร่ มูลค่าที่ดินของวัดแห่งนี้มีมูลค่านับร้อยล้านบาท ปัจจุบันมีสิ่งปลูกสร้างที่ไร้ระเบียบ เป็นแหล่งส่องสุม มีการบุกรุกที่ธรณีสงฆ์ ตอนอยู่วัดหน้าพระลานกว่าจะได้ที่ดินเป็นของวัดก็ลำบากแล้ว ทีนี้หนักเก่า เพราะถูกด่าทอถูกข่มขู่ เจ้าหน้าที่รัฐก็ไม่ค่อยบังคับใช้กฎหมายไปแจ้งความร้องทุกข์ไว้ก็ไม่ได้รับความสนใจจากพนักงานสอบสวน

“รู้สึกว่าบ้านเมืองเกาะสมุยแห่งนี้มีความวุ่นวายมากกว่าในอดีตนัก และไม่แน่ใจ ว่าอาตมาจะรักษาพื้นที่วัด หรือธรณีสงฆ์ไว้ได้นานสักเพียงใด อำนาจหน้าที่ของวัดยังอยู่กับพระหรือฆราวาสหรือไม่ อาตมาไม่มั่นใจกับสภาพปัจจุบัน หนึ่งสมองกับหนึ่งจีวรของอาตมาจะรักษาที่ดินวัดให้ลูกหลานคนไทยในอนาคตไว้ได้หรือไม่ก็ต้องตามกันต่อไป”

รูปที่สอง “พระครูกาญจนกิจธำรง” เจ้าอาวาสวัดพุพง ต.ท่าเสา อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี เป็นเรื่องขัดแย้งการบริหารจัดการการเงินและการบริหารจัดการภายในวัด อันเนื่องมาจากมี “ผู้นำท้องถิ่น” คนหนึ่งเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวัด ถึงขนาดล็อกกุญแจโบสถ์ ล็อกกุญแจกุฎิเจ้าอาวาส ในเขตปกครองของท่าน เพราะอ้างกว่ากลัวของหาย ซ้ำ “ผู้นำท้องถิ่น” คนนี้ท่านอ้างว่า...ใช้อำนาจโดยมิชอบ ใช้วาจาหยาบคายต่อท่าน



“อาตมาเห็นว่าการบริหารจัดการภายในวัด เป็นหน้าที่ของเจ้าอาวาส ส่วนกรรมการควรที่จะเป็นผู้ช่วยท่านเจ้าอาวาส และสุดท้ายมีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่มากันผู้นำท้องถิ่นคนนี้บอกว่าไม่เอาเจ้าอาวาส ต้องเปลี่ยนเจ้าอาวาส ...สุดท้ายตอนนี้วัดแห่งนี้ก็ยังไม่มีเจ้าอาวาส ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา”

ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 35 ที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ และที่ศาสนสมบัติกลาง เป็นทรัพย์สิน ซึ่งไม่อยู่ในความรับผิดชอบแห่งการบังคับคดี และมาตรา 34 วรรคสอง ห้ามมิให้บุคคลใด ยกอายุความขึ้นต่อสู่กับวัดหรือกรมการศาสนา แล้วแต่กรณี ในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ หรือที่ศาสนสมบัติกลาง และที่ธรณีสงฆ์ ห้ามโอนกรรมสิทธิ์โดยเด็ดขาด เว้นตรากฎหมายเป็นพระราชบัญญัติเวนคืน

หลังจากรับหนังสือร้องเรียนของพระคุณเจ้าแล้ว ผมหดหู่มิใช่น้อย สงสาร “พระพุทธเจ้า” สงสารพระพุทธศาสนา ทำไมช่วงนี้พุทธศาสนาเจอมรสุมกระหน่ำเยอะหรือเกิน แต่อย่างไรเสีย กระผมได้ส่งหนังสือร้องเรียนให้กับหน่วยงานที่รับผิดชอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะหากเป็นจริงดังที่พระคุณเจ้าเล่ามา ฆราวาสกลุ่มนี้ “ล้วนใช้อำนาจโดยมิชอบ” ลองดูสิว่า นโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพลของรัฐบาล ของ คสช. ยังศักดิ์สิทธิ์อยู่ไหม?

หากศักดิ์สิทธิจริง...ไม่นานความสุขของ “พระคุณเจ้า” ก็จะกลับคืนมา!!



คอลัมน์ : ริ้วผ้าเหลืองโดย “เปรียญ10” : riwpaalueng@gmail.com
ที่มา : http://www.dailynews.co.th/article/518900
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ