ก็คิดไว้ว่าจะรับอยู่ และจะมอบเว็บทั้งหมด ตลอดถึงความรู้ ให้ทำงานต่อไป เพราะตัวฉันจะเลิกทำเรื่องนี้แล้ว ( เวลาจะหมดแล้ว ได้เวลากลับบ้านเก่า ) ตอนนี้เป็นห่วงเรื่งเดียว ลูกศิษย์ที่ถูกทดสอบมีกำลังไม่พอจะรับวิชา ทำฌานอัปปนาวิถีไม่ได้กันเลย ตอนนี้ นับว่าใช้เวลามากไป ที่ควรจะได้ก็ไปเป็นปัญญาวิมุตติ เสียแล้ว และที่ทำจะได้ก็หนักเป็นปัญญาวิมุตติ อีกเช่นกัน
ตราบใดที่ลูกศิษย์ที่จะรับธรรม ด้านเจโตวิมุตติ ทิ้งขว้างวัตถุอันครูอาจารย์ประสิทธิ์กำลังจิตให้ นั้น วินิจฉัยพึงทราบว่าหนักไปทาง ปัญญาวิมุตติ ถ้าฉันถามสิทธิ์สิ่งที่ทำให้เป็นพิเศษพกติดตัวหรือไม่ ถ้าตอบว่าไม่แสดงว่า เป็นปัญญาวิมุตติ เพราะไม่เชื่อในอิทธิของวัตถุที่สร้างให้ เพียงแต่เคารพและเก็บไว้ที่บ้านเท่านั้น เพราะในสถานการณ์จริง ๆ ถึงแม้มีอัปปนาจิต ฝ่ายขาว แต่อย่าลืมอัปนาจิต ฝ่ายดำ ก็มี ตั้งแต่ไหน แต่ไร ก็สู้รบกันมาตลอด มีพระอริยะถูกประหาร ด้วยฝ่ายดำก็มาก ดังนั้นศิษย์ที่มีปัญญา มักจะมองไม่เห็นความสำคัญแห่งอัตภาพ มักจะปล่อยให้ได้รับโทษ เสมอ ๆ เพราะจิตหนักฝ่ายปัญญา คิดว่า มันว่างจากเรา ว่างจากของเรา อย่างไรก็ได้ อะไรก็ไม่มีความสำคัญ นี่จึงไม่สามารถ สำเร็จ พระโสดาปัตติผล ได้
ดังนั้นตัวฉันเอง ทำงานด้านนี้ได้อีกไม่นาน เพราะว่า กำลังฉัน และอัตภาพ ใกล้ถึงที่สุดแห่งความเสื่อมแล้ว
ใครที่คิดว่า ตัวเองมีความรอบรู้หลักธรรม จะสามารถฟันฝ่า เป็นพระอริยะได้ก็เชิญมา รีบมาเรียน ไว้ เร็ว ๆ มาเข้ารับการทดสอบ ฉันไม่ชอบการพูดเล่น ต้องการคนเสียสละทำจริง เพื่อสืบต่อวิชาหลักธรรมไว้
อย่าคิดว่า พระไตรปิฏก ที่อยู่ในตู้ในวัด จะช่วยต่อหลักธรรม ความเป็นจริงในปัจจุบัน แม้พระสงฆ์ก็ไม่่อ่านพระไตรปิฏก คาดว่าประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ตู้พระไตรปิฏก และหนังสือ จึงเป็นเครื่องประดับของวัดสำนักสงฆ์ ธรรมสถานเท่านั้น เพราะตัวตู้ก็ล็อกกุญแจ
อักขระธรรมใดที่ ไม่ผ่านสายตา ของผู้ศึกษาธรรม อักขระธรรมนั้น ย่อมไม่ปรากฏ
คำว่า อักขระธรรม ไม่ใช่ ตัวอักษร ที่ใช้สายตา ไปอ่านแบบในหนังสือ แต่อักขระธรรม นั้นจะปรากฏ เหมือนดิจิตอล นี่แหละ คือไม่ทรงอยู่ ปรากฏ แล้วก็หายไป เหมือนจอที่ไม่มีภาพมีแสง ต้องใส่ค่าพลังงานบางอย่างลงไป อักขระธรรม เหล่านั้น จึงปรากฏ
