ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ปรับโฉม"พุทธมณฑล" สู่ศูนย์กลางพุทธศาสนาโลก  (อ่าน 988 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


ปรับโฉม"พุทธมณฑล" สู่ศูนย์กลางพุทธศาสนาโลก

คณะสงฆ์เริ่มดำเนินการไปบ้างแล้ว เพราะ “พุทธมณฑล” เปรียบเสมือน “ศูนย์กลางของคณะสงฆ์ไทย” ต้องยอมรับว่าหากเป็นไปตามแนวคิดนี้ ถือว่าเป็น “โฉมใหม่” จริงๆ มีการแบ่งโซนเขตพุทธาวาส เขตสังฆาวาส เขตท่องเที่ยวชัดเจน

ผมทราบข่าวจากศิษย์รุ่นพี่ อาจารย์ประดับ โพธิกาญจนวัตร ผู้อำนวยการสำนักงานพุทธมณฑลว่า ตอนนี้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กำลังปรับโฉมพัฒนา “พุทธมณฑล” ให้เป็น “ศูนย์กลางพุทธศาสนาโลก” ด้วยเงินก้อนโตประมาณ3,000 ล้านบาท เรื่องนี้หากเป็นจริงก็เป็นสิ่งที่น่ายินดี แต่เท่าที่มีข้อมูลตอนนี้ แนวคิดนี้รัฐบาล “ยังไม่รับลูก”

แต่คณะสงฆ์เริ่มดำเนินการไปบ้างแล้ว ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องเพราะ “พุทธมณฑล” เปรียบเสมือน “ศูนย์กลางของคณะสงฆ์ไทย” และอ่านข้อมูลที่ท่านส่งมาแล้ว ต้องยอมรับว่าหากเป็นไปตามแนวคิดนี้ ถือว่าเป็น “โฉมใหม่” จริงๆ มีการแบ่งโซนเขตพุทธาวาส เขตสังฆาวาส เขตท่องเที่ยว ชัดเจน

มีลานจอดรถ มีหอประชุมขนาดใหญ่บรรจุได้หลายพันคน มีศูนย์ปฎิบัติธรรมนานาชาติ มีโรงแรมระดับ 5 ดาว มีกุฎิรองรับสำหรับพระภิกษุสามเณรทั้งที่เป็นพระภิกษุชาวไทย และต่างชาติที่มาพักค้างแรม


 :96: :96: :96: :96:

สมัยหนึ่งมีคนเคยเสนอให้คณะสงฆ์พัฒนา “พุทธมณฑล” ให้เป็นศูนย์กลางการบริหารจัดการคณะสงฆ์ คือ รวมไว้ทุกอย่างไว้ที่นี้เหมือน “นครวาติกัน” และที่สำคัญใครก็ตามที่ดำรงตำแหน่ง “สังฆราช” ไม่ว่าจะมาจากคณะสงฆ์มหานิกาย หรือคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายต้องมาจำพรรษาต้องมาพำนักที่พระตำหนัก “สมเด็จพระสังฆราช” เท่านั้น เพื่อละลายความเป็นตัวตน เพื่อละลายความเป็นวัด ความเป็นนิกายออกไป

เมื่อ “สังฆราช” ตั้งอยู่ใน “สกลมหาสังฆปริณายก” คือ เป็นใหญ่ในคณะสงฆ์ทั้งมวล ต้องไม่มีนิกาย ไม่มีวัดติดตัว และทั้งพุทธมณฑลก็มีสถานที่กว้างใหญ่ เป็นสถานที่รองรับผู้คนได้มาก เหมาะเป็นสถานที่รับแขกบ้านแขกเมือง และทั้งสมพระเกียรติกับตำแหน่ง “สังฆราช” แห่งคณะสงฆ์ไทย

สมัยผมเป็นสามเณรไปรับประโยค 3 ที่นั้น หรือแม้กระทั้งตอนจบจาก มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ก็ไปรับปริญญากันที่นั้น ตอนหลังๆ “พุทธมณฑล” ถูก “ลดบทบาท” ลงมาก คณะสงฆ์เองก็ไม่ค่อยได้ไปใช้สถานที่เท่าไร ยิ่งตอนที่หอประชุมใหญ่มีปัญหาการซ่อมแซมกับบริษัทที่สำนักงานพุทธจ้างมา ยิ่งถูกละเลยแทบร้าง ตอนนี้ดีหน่อยว่าหลวงพ่อเณรแห่งวัดศรีสุดาราม ท่านเมตตาซ่อมแซมให้แล้ว

 :25: :25: :25:

เมื่อต้นเดือนขับรถเข้าไปชมด้านหลังที่ติดกับที่ชาวบ้านแถวนั้น มีสถานที่รกร้างจำนวนมาก อาคาร สิ่งก่อสร้างเริ่มทรุดโทรม สวนต่างๆ ที่มีป้ายเหล่าทัพ กระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจ ร่วมทั้งบริษัทเอกชนต่างๆ ที่รับเป็นเจ้าภาพตอนสร้าง ตอนนี้ทั้งป้ายและสวนมีหญ้ารกร้างๆ เต็มไปหมด

ไม่ทราบว่าสร้างเสร็จแล้วได้เคยไปดูแลบ้างหรือเปล่า ขับรถผ่านดงไม้รวก ที่เหล่าพระนิสิตทราบกันดี ถึงเรื่องเล่าลือถึงความเฮี้ยนของ “ผีสาว” ก็ยังมีบรรยากาศอาถรรพ์อยู่ไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนถนนหน้า “พุทธมณฑล” มีร้านเฟอร์นิเจอร์ขายไม้ยังวางของเต็มไปหมดเหมือนเดิม

การที่จะพัฒนา “พุทธมณฑล” ให้เป็น “ศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลก” ให้เป็นศูนย์กลางการบริหารคณะสงฆ์ไทย ผมคิดว่าถึงเวลาเสียทีที่จะเริ่มต้น ยิ่งทราบว่าเรื่องนี้เป็นความดำริของ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ยิ่งน่าปลาบปลื้มปิติ


 st12 st12 st12 st12

และล่าสุด พระธรรมโพธิมงคล เจ้าอาวาสวัดนิมมานรดี เจ้าคณะภาค 14 ซึ่งได้รับมอบหมายจาก สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ ให้เป็นผู้ดูแลการก่อสร้างอาคารปฏิบัติธรรมขนาดใหญ่ใน “พุทธมณฑล” โดยกำหนดจะสร้างเป็นอาคาร 2 ชั้น สามารถรองรับผู้ปฏิบัติธรรมได้ 5,000 คน กำหนดระเวลาในการก่อสร้างหลังจากเริ่มดำเนินการแล้วประมาณ 7 เดือน ก็คงเห็นภาพการที่จะก้าวสู่ความเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาที่เป็นรูปธรรมชัดขึ้น

และอนาคตเมื่อพัฒนาเรียบร้อย งานกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับคณะสงฆ์ทั้งมวลต้องมาอยู่ที่นี้ ไม่ว่าจะเป็นงานอบรมเจ้าอาวาส งานรับตราตั้งเจ้าอาวาส อบรมพระอุปัชฌาย์ ตรวจสอบบาลี งานรับเปรียญธรรม 3 ประโยค งานพัฒนาอบรมพระสังฆาธิการ งานประชุมเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค หรือแม้กระทั้งงานรับปริญญาของมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง 2 แห่ง

การพัฒนา “พุทธมณฑล” ให้เป็น “ศูนย์กลางพุทธศาสนาโลก” จริงๆ คงทำได้ไม่ยาก หากคณะสงฆ์ร่วมมือร่วมใจกัน และเรื่องนี้คณะสงฆ์ก็อย่าไปหวังพึ่งรัฐบาลมากเดี๋ยวผิดหวังแล้วไม่มีกำลังใจทำงาน

แต่ผมก็หวังลึกๆ ว่า รัฐบาลจะเอาด้วย ยังน้อยจะได้ลบคำซุบซิบที่ว่า “รัฐบาลกับคณะสงฆ์ตอนนี้ไปคนละทาง”



คอลัมน์ : ริ้วผ้าเหลือง
โดย “เปรียญ10” : riwpaalueng@gmail.com
ที่มา : http://www.dailynews.co.th/article/538037
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ