« เมื่อ: มีนาคม 14, 2017, 08:18:22 am »
0
(พระครูวิเศษธรรมคุณ)
ศาสนสัมพันธ์สร้างสันติสุข : ตามรอยพันธกิจพระธรรมทูตไทยฟื้นศรัทธาพระพุทธศาสนาแดนชวา“พระธรรมทูต” ภิกษุผู้ทำหน้าที่ประกาศและเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยการแสดงธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนาแก่พุทธศาสนิกชน และบุคคลโดยทั่วไป เพื่อน้อมนำไปสู่การปฏิบัติ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ในส่วนคณะสงฆ์ไทย มหาเถรสมาคม (มส.) ซึ่งเป็นองค์กรปกครองคณะสงฆ์สูงสุดในประเทศไทยได้แบ่งพระธรรมทูตออกเป็น 2 ประเภท ประกอบด้วย พระธรรมทูตสายในประเทศ และพระธรรมทูตสายต่างประเทศ
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงเป็นพระมหาเถระไทยรูปแรกที่ดำเนินงานพระธรรมทูตในต่างประเทศอย่างเป็นรูปธรรม พระองค์ทรงเป็นประธานกรรมการอำนวยการฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ และเสด็จไปดูงานพระศาสนาและการศึกษาในประเทศต่างๆอย่างต่อเนื่อง
และด้วยความตระหนักถึงการพัฒนาความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ของพระธรรมทูต สำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ มส. จึงจัดให้มีการฝึกอบรมถวายความรู้ทั้งภาควิชาการและภาคปฏิบัติแก่พระสงฆ์ ที่ทำหน้าที่เป็นพระธรรมทูตสายต่างประเทศก่อนเดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจรวมทั้งสนับสนุนกิจการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในหลายรูปแบบ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เพิ่มพูนความรู้ศาสตร์ใหม่ๆ ตลอดจนความเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งส่งผลดีให้แก่งานพระธรรมทูตต่างประเทศ
จวบจนปัจจุบันคณะสงฆ์ไทยได้ส่งพระธรรมทูตกระจายอยู่เกือบทั่วโลกประมาณ 2,000 รูป ทั้งในทวีปเอเชีย ยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย ซึ่งการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในทุกๆประเทศย่อมมีปัญหาและอุปสรรคทั้งสิ้น เนื่องจากแต่ละประเทศ มีแนวทางการดำเนินการในรูปแบบที่แตกต่างกันตามบริบทของประเทศนั้นๆ ทั้งด้านการเมือง ศาสนา ประเพณี ความเชื่อ สังคม วัฒนธรรม ดังนั้น แนวทางการดำรงตนของพระธรรมทูต จึงต้องทำความเข้าใจกับเจ้าของท้องถิ่นนั้นให้ถ่องแท้
จากการที่ ทีมข่าววัฒนธรรม ได้เดินทางไปศึกษาดูงาน ตาม หลักสูตรความรู้เรื่องการเป็นประชาคมอาเซียน รุ่นที่ 5 ซึ่งจัดโดย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ณ กรุงจาการ์ตาประเทศอินโดนีเซีย ทำให้มีโอกาสได้รับความรู้จาก พระครูวิเศษธรรมคุณ เจ้าอาวาสวัดพุทธเมตตากรุงจาการ์ตา ถึงบทบาทพระธรรมทูตไทย ในประเทศอินโดนีเซีย ดินแดนแห่งประเทศมุสลิม ที่มีศาสนาอิสลามเป็น 1 ใน 6 ศาสนา ซึ่งรัฐบาลให้การรับรอง และนั่นย่อมหมายถึงการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศนี้เป็นเรื่องที่ยากไม่ใช่น้อย
แม้ว่าตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ชาวอินโดนีเซียเลื่อมใสศรัทธาพระพุทธศาสนาและศาสนา ฮินดูจนมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงการปกครองของกษัตริย์ หลายยุคสมัย ส่งผลให้ชาวอินโดนีเซียส่วนใหญ่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม และทำให้พระพุทธศาสนาตกอยู่ในภาวะเสื่อมโทรมตลอดระยะเวลายาวนาน
“การดำเนินงานพระธรรมทูตไทยในอินโดนีเซียเริ่มต้นขึ้นหลังจาก พระชินรักขิต หัวหน้าชาวพุทธในประเทศอินโดนีเซียได้เดินทางเข้ามาประเทศไทย และเจรจาขอให้คณะสงฆ์ไทยออกไปช่วยฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกจึงได้ส่ง พระราชวราจารย์ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นพระธรรมทูตองค์แรกที่เดินทางเข้ามาฟื้นฟูและเผยแผ่พระพุทธศาสนาในอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2512 ซึ่งจะต้องประสบกับภาวะปัญหาและอุปสรรคต่างๆ โดย เฉพาะเรื่องภาษาที่สื่อสารกันยากลำบาก พระธรรมทูตจึงต้องหมั่นค้นคว้าใฝ่หาความรู้ด้วยตนเอง จนตกผลึกองค์ความรู้ในทุกๆด้าน” พระครูวิเศษธรรมคุณ ฉายให้เห็นภาพจุดเริ่มต้นของการเผยแผ่พุทธศาสนาในดินแดนชวา
พระครู-วิเศษธรรมคุณ เล่าต่อไปว่า ปัจจุบันพระธรรมทูตไทยในอินโดนีเซียมีอยู่ประมาณ 16 รูปและเป็นพระภิกษุสามเณรชาวอินโดนีเซียอีกจำนวน 11 รูป เริ่มเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยการสร้างความสัมพันธ์กับคนในพื้นที่ โดยการให้ทาน แจกข้าวของคนยากคนจน ทั้งอาหาร ข้าว น้ำ ยารักษาโรค จากนั้นก็เข้าหาผู้นำชุมชน สร้างความเข้าใจที่เราต้องการมอบให้ เพราะเราคิดว่าคนจะเริ่มรู้จักกัน ต้องทำให้เขามองเราเป็นคนดีในสายตาก่อน จนกระทั่งเมื่อเราใช้ใจมาสร้างความรู้จักกันก็เกิดความวางใจ เชื่อใจในผู้ให้ ทุกวันนี้ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธในอินโดนีเซียมีประมาณ 10 กว่าล้านคน จากประชากรทั่วประเทศ 251 ล้านคน แทบทุกเกาะในอินโดนีเซียมีการตั้งสมาคม มูลนิธิขึ้นมามีญาติโยมเป็นผู้นำ เป็นบัณฑิตทางพระพุทธศาสนา มีการติดต่อประสานงานอย่างต่อเนื่อง
“วันนี้เรามีโรงเรียนมุสลิมที่วัดพุทธเมตตาสร้างให้แก่ชาวอินโดนีเซียได้เรียนฟรี จนทำให้เกิดความสัมพันธ์อันเข้มแข็ง ตามหลักบวร ระหว่างบ้าน หรือชุมชน วัด และโรงเรียน มีกิจกรรมทำร่วมกันทั้งการสวดมนต์ ทำวัตร ปฏิบัติธรรม รวมทั้งมีการจัดการเรียนการสอนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ให้กับเยาวชน เพื่อสานสัมพันธ์ในครอบครัว ขณะเดียวกัน พระธรรมทูตยังเดินสายเทศน์ในโบสถ์คริสต์หรือเทศน์ให้ชาวมุสลิมฟังในมัสยิด ซึ่งยึดหลักใหญ่คือ ทำอย่างไรให้คนทุกศาสนารักกันด้วยการใช้เมตตา ไม่ยกตัวบุคคล ไม่พูดถึงความแตกต่างทางศาสนา เราก็ต้องพยายามสร้างพลังแห่งความศรัทธาให้เกิดขึ้นในใจคนให้ได้ จึงเกิดวิถีพุทธศาสนสัมพันธ์ขึ้นมา ทำให้คนในสังคม อยู่ด้วยกันอย่างผาสุก” เจ้าอาวาสวัดพุทธ-เมตตา กล่าว
พระครูวิเศษธรรมคุณ สรุปส่งท้ายด้วยว่า ชาวพุทธอินโดนีเซียเขารักเรา เราก็ต้องรักเขาให้มากๆทั้งชีวิตเขาก็ฝากไว้กับพระพุทธศาสนา ไว้กับกฎแห่งกรรม ตอนนี้มีโยมที่ศรัทธาธรรมอยากบวชเป็นพระภิกษุจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และที่น่าดีใจอีกคือ เขาต้องการให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองเหมือนก่อน ซึ่ง “ถ้าไม่รู้จักกันแล้ว ก็จะรักกันไม่ได้” เป็นหัวใจหลักของพระธรรมทูตอินโดนีเซีย ที่ยึดถือปฏิบัติสืบทอดกันมาสู่การสานสัมพันธ์ระหว่างศาสนาต่างๆ
ทีมข่าววัฒนธรรม เชื่อว่า แม้ว่าคนในประเทศอินโดนีเซียจะมีความแตกต่างในการนับถือทางศาสนาแต่สิ่งที่เป็นสัจธรรมคือในแต่ละศาสนานั้นล้วนมีคำสอนที่เป็นแนวทางเดียวกัน ที่ต้องการให้คนเป็นคนดีทำสิ่งที่ดีงาม
เพราะนั่นคือหนทางนำไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขที่มั่นคงและยั่งยืน สืบไป.
ทีมข่าววัฒนธรรม
ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.thairath.co.th/content/883120
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 14, 2017, 08:19:56 am โดย raponsan »

บันทึกการเข้า

ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ