ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ข้อคิดดีๆ.. จากชายชราที่จากไป  (อ่าน 2591 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

หมวยจ้า

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +40/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1336
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ข้อคิดดีๆ.. จากชายชราที่จากไป
« เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:11:43 am »
0

    ข้อคิดดี ๆ จากชายที่จากไป

    แง่คิดดีๆ จากชายชราผู้จากไป
    โดย พิษณุ นิลกลัด

    สัปดาห์สุดท้ายของปี 2548
    ผมไปงานสวดและงานเผาศพผู้ชายวัย 81 ปีที่ผมรู้จักเขามายาวนาน 30 ปี
    ไม่ใช่ญาติ แต่ สนิทกันรักใคร่เสมือนญาติ

    ก่อนเสียชีวิตไม่กี่วันเขาสั่งลูกและภรรยาแบบคนไม่ครั่นคร้ามความตายว่า
    สวดสามวันแล้วเผา ไม่ต้องบอกใครให้วุ่นวาย
    อย่าเศร้า  อย่าร้องไห้  ทุกคนต้องมีวันนี้
    เพียงแต่เขาอยู่หัวแถวเลยต้องไปก่อน

    แล้วลูกเมียก็ทำตามคำสั่ง สวดสามวันเผา
    งานสวด 3 คืน มีคนฟังพระสวดคืนละ 14 คน
    คือเมีย ลูก หลาน เขย สะใภ้ และผม ซึ่งเป็นคนนอก

    เป็นงานศพที่มีคนไปร่วมงานน้อยที่สุดเท่าที่ผมเคยไปฟังสวด

    วันเผามีเพิ่มเป็น 17 คน
    สามคนที่เพิ่ม เป็นเพื่อนบ้านที่เคยคุยด้วยเกือบทุกเย็น
    คนหนึ่งเป็นแม่ค้าล็อตเตอรี่ที่เคยยืมเงินแล้วไม่มีสตังค์จ่าย
    เลยเอาล็อตเตอรี่ทยอยผ่อนใช้หนี้แทนเงิน งวดละสองใบคนหนึ่ง
    และคนสุดท้ายเป็นหญิงที่ผู้ตายเคยผูกปิ่นโตทุกมื้อเย็น
    ทั้งสามคนบอกว่า เกือบมาไม่ทันเผา
    เคราะห์ดีที่แวะไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่บอกว่าเสียชีวิตไปแล้ว 3 วัน

    หลังฌาปนกิจ พระกระซิบถามเจ้าหน้าที่วัด
    ว่าเจ้าของงานจ่ายเงินค่าศาลาสวดพระอภิธรรมแล้วหรือยัง
    พระท่านคงไม่เคยเห็นงานศพที่มีคนน้อยแบบที่ผมก็รู้สึกตั้งแต่สวดคืนแรก

    จริงๆ แล้วผู้ตายเป็นคนค่อนข้างมีสตังค์
    ทำงานธนาคารแห่งประเทศไทยจนเกษียณอายุที่ ตำแหน่งหัวหน้าหน่วย
    แต่ด้วยความที่รักและศรัทธาอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการแบงค์ชาติ
    จึงดำเนินชีวิตแบบไม่ปรารถนาให้ใครเดือนร้อน
    แม้กระทั่งวันตาย

    ผมสนิทกับเขาเพราะเขามีความฝันในวัยเด็กอยากเป็นนักประพันธ์แบบไม้เมืองเดิม
    ที่เขาเคยนั่งเหลาดินสอและวิ่งซื้อโอเลี้ยงให้
    เมื่อตัวเองเป็นนักเขียนไม่ได้ พอมาเจอะผมที่เป็นนักข่าวก็เลยถูกชะตา
    และให้ความเมตตา
    การมีโอกาสได้พูดได้คุยกับเขาตามวาระโอกาสตลอด 30 ปี
    ทำให้ได้แง่คิดดีๆ มาใช้ในการดำรงชีวิต

    วันหนึ่งเขารู้ว่า ขโมย ยกชุดกอล์ฟของผมไป สองชุดราคา 4 แสนกว่าบาท
    เขาปลอบใจผมว่า
    'ของที่หายเป็นของฟุ่มเฟือยของเรา
    แต่มันอาจเป็นของจำเป็นสำหรับลูกเมีย ครอบครัวเขา
    คิดซะว่าได้ทำบุญ จะได้ไม่ทุกข์'

    เขามีวิธีคิด 'เท่ๆ'
    แบบผมคิดไม่ได้มากมาย เป็นต้นว่า
    สุขและทุกข์อยู่รอบตัวเรา  อยู่ที่ว่าเราจะเลือกหยิบเลือกคว้าอะไร

    คงเป็นเพราะเขาเลือกคว้าแต่ความสุข
    ช่วงปีสุดท้ายของชีวิต เขาต่อสู้กับโรคชรา เบาหวาน  หัวใจ
    ความดัน เกาต์ และไตทำงานเพียง 5% โดยไม่ปริปากบ่น
    แถมยังสามารถให้ลูกชายขับรถพาเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์
    โดยที่ตัวเองต้อง หิ้วถุงปัสสาวะไปด้วยตลอดเวลา
    เนื่องจากไตไม่ทำงาน ปัสสาวะเองไม่ได้
    6 เดือน สุดท้ายของชีวิตต้องนอนโรงพยาบาลสามวัน นอนบ้านสี่วันสลับกันไป
    เวลาลูกหลาน หรือเพื่อนของลูกรวมทั้งผมด้วยไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล
    เขามีแรงพูดติดต่อกันไม่เกิน 10 นาที
    แต่ 10 นาที ที่พูด มีแต่เรื่องสนุกสนาน
    เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนไป เยี่ยมไข้
    ทุกคน พูดตรงกันว่า
    'คุณตาไม่เห็นเหมือนคนป่วยเลย
    ตลกเหมือนเดิม'

    พอแขกกลับ
    ลูกหลานถามว่าทำไมคุยแต่เรื่องตลก
    เขาตอบว่า

    'ถ้าคุยแต่เรื่องเจ็บป่วย
    วันหลังใครเขาจะอยากมาเยี่ยมอีก'

    เขาเป็นคนชอบคุยกับผู้คนไม่ว่าจะอยู่บนเตียงคนไข้หรืออยู่บนรถแท็กซี่
    บ่อยครั้งที่นั่งรถถึงหน้าบ้านแล้ว
    แต่สั่งให้โชเฟอร์ขับวนรอบหมู่บ้าน เพราะยังคุยไม่จบเรื่อง
    แล้วจ่ายเงินตามมิเตอร์!

    4 เดือน สุดท้ายของชีวิตแพทย์ที่รักษาโรคไตมาตั้งแต่สมัยเป็นแพทย์อินเทิร์น
    จนกระทั่งเป็นหัวหน้าแผนก แนะนำให้พักรักษาตัวในโรงพยาบาลให้แข็งแรง
    แล้วค่อยกลับบ้าน

    แต่ อยู่ได้ 4 วันเขาวิงวอนหมอว่า ขอกลับบ้าน
    หมอซึ่งรักษากันมา 16 ปีไม่ยอม
    เขาพูดกับหมอด้วยความสุภาพว่า

    'ขอให้ผมกลับบ้านเถอะ ผมอยากฟังเสียงนกร้อง'
    คุณหมอไม่รู้หรอก ว่าคนคิดถึงบ้านมันเป็นอย่างไร
    เพราะพอเสร็จงานหมอก็กลับบ้าน'
    หมอได้ฟังแล้วหมดทางสู้ ยอมให้คนไข้กลับบ้าน
    แต่กำชับให้มาตรวจตรงตามเวลานัดทุกครั้ง

    1 เดือน ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
    เขาสูญเสียการควบคุมอวัยวะของร่างกายเกือบทั้งหมด
    เคลื่อนไหวได้อย่างเดียวคือกะพริบตา
    แต่แพทย์บอกว่าสมองของเขายังดีมาก
    เวลา ลูก เมียพูดคุยด้วย ต้องบอกว่า
    'ถ้าได้ยินพ่อกะพริบตาสองที'

    เขา กะพริบตาสองทีทุกครั้ง!
    เห็นแล้วทั้งดีใจและใจหาย

    เขา ยังรับรู้
    แต่ พูดไม่ได้
    นี่กระมังที่เรียกว่าถูกขังในร่างของตนเอง

    สิบวันก่อนพลัดพราก  ภรรยากระซิบข้างหูว่า
    ' พ่อสู้นะ '
    เขา ไม่กะพริบตาซะแล้ว
    ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้สองเดือนเคยตอบว่า
    ' สู้ '

    เขาสู้กับสารพัดโรคด้วยความเข้าใจโรค
    สู้ ชนิดที่หมอออกปากว่า
    ' คุณลุงแกสู้จริงๆ '

    ตอนที่วางดอกไม้จันทน์
    ผมนึกถึงประโยคที่แกพูดกับลูกเมื่อสี่เดือนก่อนว่า
    'โรคภัย มันเอาร่างกายของพ่อไปแล้ว
    อย่าให้มันเอาใจของเราไปด้วย'

    'แง่คิดดีๆ จากชายชราที่จากไป '
    สอนให้เรารู้ว่า...
    เราเกิดมาพร้อมกับจิตใจบริสุทธิ์
    และมันสมองมหัศจรรย์  ที่จะสามารถเรียนรู้
    แยกแยะเรื่องดีๆ และสิ่งร้ายๆ ในชีวิต
    จงใช้โอกาสดีๆ ที่ร่างกายและจิตใจของเรา
    ยังทำอะไรๆ ได้อย่างที่สมองสั่ง

    จงเรียนรู้
    และสร้างประโยชน์สุข
    ให้กับตนเองและผู้อื่นอย่างพอเพียง
    และดำรงชีวิตอย่างพอเพียงทางเศรษฐกิจ

    หากทุกๆ ครั้งที่เรียนรู้
    เราล้ม เราพลาด
    อาจจะรู้สึกท้อบ้างในบางที
    แม้ไม่มีกำลังกายที่จะลุกในทันที..แต่ข้อให้มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป
    ถ้าเราเรียนรู้...ก็จะทำให้เราพบว่า

    การล้มหรือพลาดครั้งต่อไป
    เราจะไม่เจ็บเท่าเดิม
บันทึกการเข้า
ถึงเป็นผู้หญิง ตัวเล็ก แต่ก็ยังสู้ได้อยู่ด้วยตัวคนเดียว
พุทโธ พุทโธ พุทโธ ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกถึง