ถาม จะถึงคุณธรรม ที่สุด ต้องทำอย่างไร ครับ
ตอบ ก็ต้องรู้จักใช้กรรมฐาน
ทาน + ศีล เป็นลำดับที่ ๑
สมาทาน กรรมฐาน เป็นลำดับที่ ๒
อธิษฐาน กรรมฐาน เป็นลำดับที่ ๓
ทบทวน กรรมฐาน เป็นลำดับที่ ๔
หมั่นพิจารณา ธรรมเนือง ๆ เป็นลำดับที่ ๕
ธรรม ๕ ประการนี้เป็น ธรรมอุปการะ แก่ การภาวนา
ลำดับที่ ๑ ทาน + ศีล
อันนี้ไม่ต้องอธิบายกันมาก เพราะทุกคนน่าจะพอเข้าใจกันอยู่บ้างแล้ว การสร้างทาน มุ่งเน้นที่ ทานวัตถุ เพื่อ สละ มัจฉริยะ ( ความขี้เหนียว ความตระหนี่ )
การให้วัตถุทาน พิจารณา ที่ผู้ให้
พ่อแม่ ให้ วัตถุทาน กับ บุตร ย่อมแตกต่าง
บุคคล ให้ วัตถุทาน กับ พระอริยะ
สองประการนี้ ถึงดูการให้เหมือนกัน แต่ ผลที่ได้รับทางจิตปัจจุบัน ไม่เหมือนกันเลย และผลที่จะได้รับในอนาคตก็ต่างกันมาก ราวฟ้ากับดิน
ศีล เป็นข้อห้าม มุ่งหมายที่ ศีล ๕ เป็นหลัก จริง ๆ แล้ว ศีลอาศัยธรรม ๒ อย่าง คือ สัจจะ ( ความจริงใจ ) + เมตตา ( ความรักปรารถนาดี กับเพื่อน ร่วมโลก )
ลำดับที่ ๒ สมาทานกรรมฐาน
กิจในพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า พรหมจรรย์ นั้น มุ่งหมาย ที่การรู้จักเหตุ ผล ตน ประมาณ กาล สังคม บรุษ บุคคล ดังนั้น สัตตบุรุษ ไม่ว่าหญิงหรือชาย ล้วนแล้วต้องรู้จักเลือกสมาทาน กรรมฐาน ที่เหมาะสมกับฐานะที่ตนเอง ควรกระทำ
ลำดับที่ ๓ การอธิษฐาน กรรมฐาน
การเจริญนึกหน่วง กรรมฐานใด กรรมฐานหนึ่งตลอดเวลา ที่นึกถึงได้ สามารถกระทำได้ นั่นคือการอธิษฐานกรรมฐาน การอธิษฐาน กรรมฐาน นั้นไม่ใช่การฝึกกรรมฐาน แต่เป็นการใช้กรรมฐาน เป็นสภาวะใช้งานจริง พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ให้สมาทานอย่างน้อย ๔ เวลา ตื่นสมาทาน ทำงานสมาทาน กลับบ้านสมาทาน ก่อนนอนสมาทาน อย่างน้อย ๔ เวลานี้ไม่ควรลืม หลง ควรนึกถึง
ตื่นสมาทาน นอบน้อม พุทโธ นโม สัก ๓ จบ คาถาพญาไก่แก้ว สักสามรอบ ก่อนไปล้างหน้า ชำระกาย
ทำงานสมาทาน ช่วงเวลายาวนาน จะกิน จะเดิน จะนั่ง จะยืน มีสติระลึกกรรมฐาน ใดกรรมฐานหนึ่ง กระทำให้เกิดเป็นวิถีจิตชำระจิตให้ผ่องใสได้ตลอดเวลา ก็เป็นการสมควร
กลับบ้านคือเลิกงาน สบาย ๆ ก็ควร สมาทาน ระลึกในกองกรรมฐานใด กรรมฐานหนึ่งให้เป็นภาวะวิสัย ไม่เปิดโอกาส ให้หมู่มาร แทรกแซงจิตใจให้หดหู่ ตกต่ำ หรือ เศร้าหมอง
ก่อนนอน สมาทาน เมื่อจะนอน จะหลับก็ควรระลึกถึงกรรมฐาน หลับไปกับกรรมฐาน นั่นแหละ นิมิตดี ๆ ก็จะมีเกิดขึ้นไม่ทำจิตให้เศร้าหมอง
ลำดับที่ ๔ ทบทวนกรรมฐาน
การฝึกกรรมฐาน ต้องแบ่งเวลาการฝึกไม่เหมือนการใช้ ดังนั้นการฝึก ย่อมมีข้อผิดพลาดได้ ย่อมฝึกได้ ฝีกไม่ได้ปนเปกันไป สำหรับคนอ่อน ก็ฝึกไม่ได้ แต่ก็ต้องฝึก สำหรับคนเก่งก็สามารถฝึกได้ ก็อนุโมทนา
ลำดับที่ ๕ หมั่นพิจารณาธรรม เนือ่ง ๆ
การพิจารณาธรรม ก็คือ ธัมมะวิจยะ สัมโพชฌงค์ จะหยิบ เหตเล็ก เหตุน้อย เหตใหญ่ ขึ้นมาพิจารณาได้ทั้งนั้น การพิจารณา ธรรม มีเพียง ๔ หมวด คือ พิจารณาไปในกาย พิจารณาไปในเวทนา พิจารณาไปในจิต พิจารณาไปในธรรม การเจริญธรรมเนือง ๆ อย่างนี้ย่อมไม่ทำให้หลงในวัฏฏะสงสาร ย่อมรู้แจ้ง เห็นจริง เห็นกิจควรทำ
ดังนั้นคุณธรรม ทั้ง ๕ ข้อนี้ นับเนื่องซึ่งกันและกัน เป็นคุณธรรมวิสัย ของ โยคาวจร ผู้ยังไม่บรรลุเป็น โสดาบัน ควรจะต้องกระทำไว้ตลอดเวลา นี่เรียกว่า กิจแห่งพรหมจรรย์ กิจอื่นยิ่งกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว สำหรับบรรพชิต ย่อมกระทำให้มีขึ้นมาก พอกพูนให้มากขึ้น มากขึ้นจนไปสู่การบรรลุธรรม ทีสมควร
เจริญธรรม / เจริญพร