« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2018, 06:40:28 am »
0
"อยู่สบาย" แล้วทำไม.? "ต้องตายลำบาก" บทความน่าคิด จาก พระไพศาล วิสาโลความจริงอย่างหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ คนสมัยนี้มีชีวิตที่สุขสบายกว่าสมัยก่อนมาก มาอ่าน บทความน่าคิด จากพระไพศาล วิสาโล กันค่ะ
นอกจากอาหารการกินอุดมสมบูรณ์และหลากหลายแล้ว ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย จะไปไหนก็ไม่ต้องเดิน จะกินหรือซื้ออะไร ก็แค่โทรศัพท์หรือกดปุ่ม งานการก็ไม่ต้องใช้เรี่ยวแรงหรืออาบเหงื่อต่างน้ำ ยังไม่ต้องพูดถึงความบันเทิงเริงรมย์ ซึ่งมีให้เสพได้ทุกเวลา
แต่หากพูดถึงความตายแล้ว กลับกลายเป็นเรื่องยุ่งยากลำบากมากขึ้นสำหรับคนสมัยนี้ คือ ยิ่งร่ำรวยมากเท่าไรก็ยิ่งตายลำบากมากเท่านั้น นิตยสาร The Economist ฉบับเดือนพฤษภาคม รายงานว่า ในประเทศร่ำรวย ผู้คน 2 ใน 3 ไม่เพียงตายในโรงพยาบาลหรือบ้านพักคนชราเท่านั้น แต่ยังได้รับการรักษาที่ไร้ประโยชน์และก้าวร้าวรุนแรง หลายคนตายคนเดียวด้วยความสับสนและเจ็บปวด จำเพาะประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่าระหว่างปี พ.ศ. 2541 - 2553 คนอเมริกันที่มีความสับสน เป็นโรคซึมเศร้า และเจ็บปวดในปีท้าย ๆของชีวิตเพิ่มมากขึ้น
@@@@@@
ประเทศร่ำรวยเหล่านี้ แม้มีเทคโนโลยีล้ำหน้ามากมายแต่บ่อยครั้งกระบวนการรักษาที่กระทำแก่ผู้ป่วยระยะสุดท้ายนั้น นอกจากก่อให้เกิดความเจ็บปวดอย่างมากมายแล้ว ยังไม่ช่วยให้มีชีวิตยืนยาวขึ้นเลย ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นกับผู้ป่วยแม้กระทั่งในช่วงท้ายของชีวิต ประมาณ 1 ใน 8 ของชาวอเมริกันที่ป่วยด้วยมะเร็งระยะสุดท้ายได้รับเคมีบำบัดกระทั่ง 2 สัปดาห์สุดท้ายของชีวิต ทั้ง ๆ ที่วิธีดังกล่าวไม่เกิดประโยชน์อันใดสำหรับผู้ป่วยระยะนี้เลย ยิ่งเป็นผู้สูงอายุด้วยแล้ว เกือบ 1 ใน 3 ได้รับการผ่าตัดในช่วงปีสุดท้าย ร้อยละ 8 ได้รับการผ่าตัดกระทั่งสัปดาห์สุดท้าย
เคยมีการสอบถามญาติมิตรของผู้ป่วยที่เสียชีวิต เกือบร้อยละ 40 ระบุว่า เพื่อนหรือญาติของตนได้รับความเจ็บปวดโดยไม่จำเป็น เมื่อถามถึงคุณภาพการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย ส่วนใหญ่ให้คะแนน “ปานกลาง” หรือ “แย่”
@@@@@@
มองในแง่นี้ คนสมัยก่อนแม้มีชีวิตที่ลำบาก แต่ถึงเวลาตายกลับสบายกว่า เพราะนอกจากมีญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านมาช่วยดูแล สร้างความอบอุ่นใจ และช่วยน้อมใจให้ไปสงบแล้วมักประสบความเจ็บปวดน้อยกว่าหรือไม่นานเท่าคนสมัยนี้เพราะส่วนใหญ่เป็นโรคติดเชื้อที่ทำให้ตายในเวลาไม่นา นอีกทั้งไม่ต้องเจอกระบวนการยื้อชีวิต ซึ่งแม้จะทำให้มีลมหายใจยืนยาวขึ้น แต่กลับสร้างความทุกข์ทรมานอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าเกิดมาเป็นคนสมัยนี้แล้วจะต้องตายลำบากเสมอไป ระยะหลังมีการให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายอย่างครอบคลุมทั้งกายและใจ ไม่เน้นการยื้อชีวิต แต่ช่วยลดความทุกข์ทรมาน และทำให้สุขสบายมากที่สุด การดูแลแบบนี้เรียกว่า การรักษาแบบประคับประคอง (Palliative Care)
@@@@@@
จากการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยมะเร็งที่ตายในโรงพยาบาลส่วนใหญ่เจ็บปวด เครียด และซึมเศร้ามากกว่าผู้ป่วยประเภทเดียวกันที่ตายในสถานดูแลผู้ป่วยระยะท้ายหรือที่บ้าน ซึ่งได้รับการดูแลแบบประคับประคอง ที่เป็นเช่นนี้สาเหตุสำคัญเป็นเพราะผู้ป่วยกลุ่มหลังไม่ต้องได้รับการรักษาที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดโดยไม่จำเป็น ซึ่งเพียงแต่ยื้อชีวิต แต่ไม่ได้ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น
สาเหตุที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การรักษาแบบประคับประคองจะให้ความสำคัญกับมิติด้านจิตใจ รวมทั้งความรู้สึกและความต้องการของคนไข้ ก่อนให้การรักษาจะมีการพูดคุยระหว่างหมอกับคนไข้เกี่ยวกับสถานการณ์ของผู้ป่วย สิ่งที่ผู้ป่วยอยากทำในระยะท้าย สิ่งที่หวาดกลัวไม่อยากให้เกิด รวมทั้งจะยอมทนแค่ไหนเพื่อมีเวลาทำสิ่งที่ต้องการได้
@@@@@@
การทำตามความต้องการของคนไข้หรือช่วยให้คนไข้ได้ทำสิ่งสำคัญสุดท้ายของชีวิต ช่วยให้คนไข้ยอมรับความตายได้มากขึ้น ไม่ต่อสู้ขัดขืนความตาย แต่จะทำเช่นนั้นได้การสนทนาพูดคุยระหว่างหมอกับคนไข้เป็นสิ่งสำคัญ “การสนทนาอาจมีอานุภาพยิ่งกว่าเทคโนโลยีเสียอีก” แพทย์ชาวอังกฤษกล่าวจากประสบการณ์ที่ทำงานด้านนี้มายาวนาน
ที่น่าสนใจก็คือ แม้การรักษาแบบประคับประคองมิได้มุ่งยื้อชีวิตผู้ป่วย แต่ผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลแบบนี้จำนวนมากกลับมีชีวิตยืนยาวกว่าผู้ป่วยที่ถูกยื้อชีวิตด้วยเทคโนโลยีนานาชนิด งานวิจัยของโรงพยาบาลกลางแมสซาชูเซตส์เมื่อปี พ.ศ. 2553 พบว่า ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งปอดระยะ 4 ที่ได้รับการรักษาและประคับประคองอยู่ได้นานขึ้นร้อยละ 25
@@@@@@
“อยู่สบาย ตายลำบาก” กับ “อยู่ลำบาก ตายสบาย” เราไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ เพราะเราสามารถอยู่สบาย ตายไม่ลำบากได้ หากวางแผนเสียแต่เดี๋ยวนี้ว่า ในวาระสุดท้ายเราจะเลือกรับการดูแลรักษาแบบใด เรื่อง พระไพศาล วิสาโล
ข้อมูล คอลัมน์ Joyful Life peaceful Death นิตยสาร Secret
http://www.goodlifeupdate.com/79432/healthy-mind/live-prapaisarn/