ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: "มนต์หมอกมุงเมือง" มนต์บังตาผ่านกาลเวลา ก็ยังคงอยู่  (อ่าน 3019 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


เปิดตำนานเมืองลับแลแห่งอยุธยา.!! แกะรอยจากสมุดข่อยโบราณ
"องค์หญิงจันทร์เจ้า" ร่ายคาถาปิดเรือนด้วยมนต์
วันดีคืนดีจะพายเรือออกมาให้เห็น


"มนต์หมอกมุงเมือง" มนต์บังตาผ่านกาลเวลาก็ยังคงอยู่
บทความพิเศษ  โดย "ทิพยจักร"

มีนวนิยายหลายเรื่องที่สร้างเค้าโครงว่าในสมัยอยุธยามีการสร้างมนต์บังเรือน ทำให้ข้าศึกศัตรูไม่เห็นพอเวลาผ่านไปหลายร้อยปี เรือนและผู้คนก็ยังอยู่กลายเป็นสภาพดุจดั่งเมืองลับแลเหมือนซ้อนซ่อนอยู่กับยุคปัจจุบัน เค้าเรื่องแบบนี้ที่เห็นก็มีเรือนมยุรากับอีกเรื่องก็ศรีอโยธยา นอกจากนี้ยังมีแบบทะลุมิติเช่น ทวิภพ และ บุพเพสันนิวาส

แต่ท่านผู้อ่านทราบไหมว่าจริงๆแล้วเรื่องแบบนี้มีอยู่จริงๆนะครับ ในอยุธยาเองมีตำนานเมืองลับแลที่ บ้านหัวรอ และเรื่องนครแลลับที่เมืองพระสมุทร ตัวผมเองนั้นประทับใจเรื่องนครแลลับที่เมืองพระสมุทร เรื่องนี้ที่มาน่าสนใจมาก ผู้ที่เล่าไว้คือ คุณ ท.เลียงพิบูลย์

ที่มานั้นเริ่มต้นท่านฟังมาจากคุณป้าท่านหนึ่งมีภูมิลำเนาย่านเมืองพระสมุทร ต่อมาจึงได้อ่านเรื่องราวจากสมุดข่อยดำของคุณลุงท่านหนึ่ง ซึ่งเนื้อหาดันมาพ้องกับเรื่องที่คุณป้าเคยเล่าพอดิบพอดี คุณลุงผู้เป็นเจ้าของสมุดข่อยเล่าว่า สมุดชุดนี้มีสามเล่ม
     - เล่มแรกเป็นเรื่องบรรยายยุคสมัยของพระเจ้าปราสาททอง
     - เล่มที่สองว่าด้วยวิชาฟันดาบ
     - เล่มที่สามว่าด้วยนครแลลับ


(ภาพประกอบจากละคร  - เรือนมยุรา)

นครแลลับย่านเมืองพระสมุทรนี้เล่าว่าองค์หญิงจันทร์เจ้า อันมีพระนามเต็มว่าพิณทิพย์มณฑาทอง หนีลงมากับพวกข้าทาสบริวาร โดยทางพระบิดาได้มอบยันต์สำหรับฝังสี่มุมเรือน และโองการคาถา "หมอกมุงเมือง" เมื่อสร้างเรือนกำหนดอาณาเขตชัดเจนแล้วอ่านโองการคาถาร่ายเวทย์ปิดเรือนด้วยมนต์หมอกมุงเมือง เรือนก็จะอันตรธานหายไปเหมือนซ่อนอยู่ในอีกมิติหนึ่ง

กาลเวลาภายในเรือนก็จะช้ากว่าข้างนอก เพราะสภาพมิติที่ซ่อนอยู่เทียบได้กับภูมิสวรรค์ชั้นต้นอย่างชั้นจาตุมหาราชิกา หนึ่งวันผ่านไปอาจเท่ากับ 50 ปีบนโลกปกติ

ดังนั้นคนที่อยู่ในเรือนจึงไม่แก่เฒ่าลงไป ที่น่าอัศจรรย์อีกประการคือ ผลหมากรากไม้ที่ปลูกภายในอาณาเขตจะให้ผลงอกงามเป็นอัศจรรย์ ข้าวและเกลือก็ไม่ค่อยพร่อง นานทีคนในเรือนจึงออกมาขอแลกข้าวและเกลือสักครั้งหนึ่ง

@@@@@@@

คนที่อยู่ในเรือนมีข้อห้ามสำคัญคือห้ามผิดศีล ๕ ใครผิดศีลโดยเฉพาะการพูดปด เมื่อได้ยินเสียงระฆังบนเรือนจะปวดหัวรวดร้าวดั่งว่าจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ต้องออกจากอาณาเขตแห่งมนต์ในที่สุด

นี่คือเรื่องราวที่ผู้เขียนประทับใจมานานและฝังใจว่ามีอยู่จริง อีกเรื่องคือเมืองลับแล ที่อำเภอหัอรอ จ.อยุธยา เรื่องราวดุจเดียวกันคือเป็นเมืองลับแล ด้วยเหตุการร่ายมนต์บังตาไว้ วันดีคืนดีจึงมีคนเห็นชาวบ้านเหมือนชาวสาวชาววังแต่งตัวสวยออกมาและข้าวแลกเกลือ แล้วพายเรือหายลับตาไปต่อหน้าต่อตา

นี่แหละครับเรื่องราวของนครแลลับลับแลจากมนต์บังตา ท่านผู้อ่านเคยได้ยินเรื่องทำนองนี้จากที่ไหนบ้างไหมครับ แล้วท่านเชื่อรึเปล่าว่ามีอยู่จริง


 
เรียบเรียงโดย ทิพยจักร จันทร์โพธิ์ศรี
http://entertain.tnews.co.th/index.php/contents/435748
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ