ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: “วาสนา” มีจริงหรือไม่.? แล้วคืออะไรในทาง “พุทธ”.?  (อ่าน 3492 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29286
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0






“วาสนา” มีจริงหรือไม่.? แล้วคืออะไรในทาง “พุทธ”.?

ภาษาไทยของเรานั้น ส่วนมากได้รับอิทธิพลมาจากภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาบาลี-สันสกฤตมากกว่าภาษาอื่น สังเกตได้จากคำศัพท์ที่ใช้สื่อสารกันอยู่ในชีวิตประจำวัน จะมีภาษาบาลี หรือสันสกฤตมากเป็นพิเศษ บางคำเรานำมาใช้นานจนชินหูชินตา จนลืมว่าเป็นภาษาต่างชาติไปเลยก็มี

ชื่อและนามสกุลของคนไทย ส่วนมากมีรากมาจากภาษาสองภาษาดังกล่าวข้างต้นทั้งนั้น ขอประทานโทษ ขอยกคนดังมาเป็นตัวอย่าง บรรหาร ศิลปอาชา ไม่มีคำไทยสักคำเลย บรรหาร เป็นคำสันสกฤต ศิลป ก็สันสกฤต อาชา เป็นทั้งบาลีและสันสกฤต ทักษิณ ชินวัตร ชิน เป็นทั้งบาลีและสันสกฤต นอกนั้นเป็นคำสันสกฤต

จัตวา กลิ่นสุนทร ก็เช่นกัน มีคำว่า “กลิ่น” คำเดียวเท่านั้นที่เป็นไทยแท้ นอกนั้นเป็นสันสกฤตหมด ถ้าเป็น “จัตวา คันธสุนทร” ละก็ หาคำไทยไม่ได้เลยครับ

@@@@@@

ถามว่า ทำไมคำบาลีและสันสกฤตจึงมามีอยู่ในภาษาไทยมากมายปานนั้น
คำตอบ ก็คือ เพราะทั้งสองภาษานี้ติดมากับพระพุทธศาสนา ซึ่งแพร่มาสู่ภูมิภาคแถบนี้
เมื่อคนไทยรับเอาพระพุทธศาสนามาเป็นศาสนาประจำชาติ ภาษาทั้งสองนี้ก็เลยมาปะปนกับภาษาไทยด้วย

เมื่อศึกษาประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในประเทศไทยจะทราบว่า เดิมทีพระพุทธศาสนาฝ่ายหินยาน (เถรวาท) ซึ่งใช้ภาษาบาลีเป็นภาษาศาสนาแพร่เข้ามาก่อน ในราวพุทธศตวรรษที่ 3 ในยุคนั้นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาอยู่ที่จังหวัดนครปฐมในปัจจุบันนี้

ต่อมาพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานตามเข้ามา มหายานถือภาษาสันสกฤตเป็นภาษาศาสนา คนไทยก็เลยได้รับอิทธิพลจากภาษาสันสกฤตอีก กอปรกับศาสนาพราหมณ์ฮินดูซึ่งใช้ภาษาสันสกฤตก็แพร่เข้ามาสมทบอีกด้วย ภาษาสันสกฤตจึงหยั่งรากลึกยิ่งขึ้น

@@@@@@

แม้ว่าจากสมัยสุโขทัยเป็นต้นมา พระพุทธศาสนาที่ประชาชนคนไทยนับถือจะเป็นฝ่ายหินยาน (เถรวาท) และภาษาบาลีเองพระภิกษุสามเณรก็เล่าเรียนกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันก็ตาม ยังมีอิทธิพลต่อภาษาไทยน้อยกว่าภาษาสันสกฤตอยู่ดี พูดง่ายๆ ก็ว่า ภาษาสันสกฤตครองความเป็นแชมป์ว่าอย่างนั้นเถอะ

การนำภาษาบาลีและสันสกฤตมาใช้ในภาษาของตนของคนไทยมิได้เอามาทั้งดุ้น หากเปลี่ยนแปลงรูปและเสียง พร้อมทั้งเปลี่ยนความหมายด้วยในบางครั้ง


@@@@@@

ยกตัวอย่างเช่นข้างต้น

วาสนา เป็นทั้งบาลีและสันสกฤต อ่าน “วา-สะ-นา” ไทยเราอ่านเพื่อให้เข้ากับหูไทยๆ ว่า “วาด-สะ-หนา” ความหมายเดิมเขาหมายถึง “สิ่ง” ที่สั่งสมอยู่ในจิตสันดานยาวนานมาก นอนเนื่องอยู่ภายในจิตเราแน่นแฟ้นและลึกมาก จนแกะไม่ออก เทียบกับคำไทยว่าสันดาน นั่นแหละครับ

ในทางพระพุทธศาสนา วาสนา มิใช่เรื่องดีนัก ว่ากันว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่ทรงละวาสนาได้ พร้อมกับกิเลสทั้งปวง พระอรหันต์นั้นละได้เฉพาะกิเลสเท่านั้น ไม่สามารถละวาสนาได้ ว่ากันอย่างนั้น

แต่ “วาสนา” ในความหมายไทยๆ กลับเป็นเรื่องดี คือ หมายถึงบุญญาบารมี บางทีก็พูดควบคู่กันว่า “บุญวาสนา” ใครที่ประสบความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต คนเขากล่าวขวัญถึงว่า “เขา (หรือเธอ) มีบุญวาสนา” หรือ “เป็นวาสนาของเขา (หรือเธอ) นะ” อะไรทำนองนี้

@@@@@@

มีเรื่องเล่าในแวดวงผู้สนใจศึกษาพระพุทธศาสนาอยู่ 2 เรื่อง แสดงถึงอิทธิพลของวาสนา ทั้งสองเรื่องนี้เคยเขียนถึงมาแล้ว แต่จำไม่ได้ว่าเขียนเมื่อใด เขียนที่ไหน (ผมมันคนเขียนหนังสือมากซะจนจำไม่ได้)

วันนี้ขอนำมา “ฉายซ้ำ” อีกก็คงไม่ว่ากัน ข้อมูลเก่า แต่นำเสนอใหม่ (อย่างน้อยก็ใหม่หนึ่งอย่างละน่า)

เรื่องแรกคือ เรื่องพระปิลินทวัจฉะ ท่านผู้นี้มีคำพูดติดปากว่า “วสลิ” (แปลว่า ไอ้ถ่อย) พบใครก็จะถามว่า “ไปไหนมา ไอ้ถ่อย” “สบายดีหรือ ไอ้ถ่อย” อย่างนี้เสมอ

คำพูดดูจะเป็นคำหยาบ ไม่สุภาพ แต่จิตใจท่านมิได้หยาบไปด้วย ท่านพูดด้วยจิตเมตตา เป็นคำพูด “ติดปาก” ท่าน แก้ไม่หาย ชาวบ้านที่รู้ว่าอะไรก็ไม่ถือสาท่าน ยกให้ท่าน นอกจากคนต่างถิ่นเท่านั้น ที่ได้ยินเข้าอาจฉุนว่าพระอะไร (วะ) พูดคำหยาบ แต่เมื่อทราบความจริงแล้วก็มิได้ถือสา



คงเหมือนกับหลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ เมืองโคราชกระมังครับ ท่านก็ติดคำ “กู” “มึง” เวลาสนทนา หลวงพ่อคูณนั้นเป็นที่รู้กันว่าท่านเป็นพระมีเมตตามาก คนเขาเอาเงินเอาทองมาถวายเท่าไร ท่านก็นำไปสร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาลและสาธารณสถานหมด ไม่เก็บไว้ร่ำรวยจนเป็น “พระเสี่ย” เหมือนดังเกจิดังอื่นๆ

ท่านพูดกูมึงกับใคร ก็ไม่มีใครถือว่าเป็นคำหยาบ กลับฟังแล้วน่ารักเสียอีก ตรงกันข้าม ถ้าหลวงพ่อคูณท่านเปลี่ยนมาพูดคำไพเราะกับใครเข้า ใครคนนั้นคงตกใจ นึกว่าหลวงพ่อด่าแน่นอน ฮิฮิง

@@@@@@

ย้อนกลับมาพูดถึงหลวงพ่อปิลินทวัจฉะต่อ วันหนึ่งท่านเห็นชายคนหนึ่งขับเกวียน บรรทุกดีปลีผ่านมา จึงร้องถามว่า “บรรทุกอะไร ไอ้ถ่อย” ชายคนนั้นพอได้ยินดังนั้นก็ฉุนกึกทันที พระอะไรวะ พูดจาไม่เข้ารูหูคน จึงตะโกนตอบด้วยเสียงขุ่นๆ ว่า “บรรทุกขี้หนูเว้ย”

เขาขับเกวียนไปเรื่อยๆ หารู้ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับดีปลีของตน พอไปถึงตลาดนัดกลางเมืองก็จอดเกวียน เตรียมขนดีปลีลงมาวางขาย


@@@@@@

ปรากฏว่าดีปลีได้กลายเป็นขี้หนูหมดเลย ประชาชนมามุงดูกันด้วยความประหลาดใจว่า คนพิเรน (ไม่มี ทร การันต์นะครับ) อะไรวะ เอาขี้หนูมาขาย ชายหนุ่มเจ้าของดีปลีก็ทำอะไรไม่ถูก ยืนเซ่ออยู่พักใหญ่ ได้เล่าเรื่องราวให้คนที่มามุงดูฟัง ชายคนหนึ่งบอกเขาว่า คงเป็นเพราะเขา (ชายหนุ่ม) ล่วงเกินพระอรหันต์เข้า จึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้ ทางที่ดีควรไปกราบขมาท่านเสีย

ไม่รอช้า ชายหนุ่มกลับไปกราบขอขมาท่าน ท่านยิ้ม กล่าวว่า
“ไม่เป็นไร ไอ้ถ่อย อาตมายกโทษให้”
เมื่อเขากลับมา ก็ปรากฏว่าขี้หนูได้กลายเป็นดีปลีตามเดิม

@@@@@@

อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องพระสารีบุตรอัครสาวก ว่ากันว่าท่านมีอารมณ์ศิลปิน หรือถ้าจะพูดแบบชาวบ้านก็ว่ามีอารมณ์โรแมนติกมิใช่น้อย คือเวลาท่านพบสถานที่ที่สวยงดงาม ท่านคล้ายจะ “ลืมตัว”ไป พักหนึ่ง

วันหนึ่งท่านเดินทางผ่านป่าแห่งหนึ่ง พร้อมภิกษุจำนวนมาก ท่านเห็นลำธารใสไหลเย็น ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรอันร่มรื่น ท่านก็กระโดดหย็องแหย็งๆ ด้วยความดีใจ

พระสงฆ์ที่ติดตามเห็นเช่นนั้นก็ไม่สบายใจ แต่ไม่กล้าพูดอะไร เพียงแต่นึกตำหนิในใจว่า พระอัครสาวกผู้ใหญ่ ทำไมทำอย่างนี้ ไม่เหมาะสมเอาเสียเลย

@@@@@@

เมื่อไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา พระพุทธจ้าทรงทราบว่าพระสงฆ์เหล่านั้นคิดอะไรอยู่ จึงตรัสกับพวกเธอว่า

“ภิกษุทั้งหลาย เราทราบว่าพวกเธอคิดอย่างไรกับสารีบุตร สารีบุตรทำอย่างนั้น มิใช่เพราะ “ติด” ในความสุนทรีย์ของบรรยากาศแห่งภูมิประเทศที่เธอพบเห็นดอก หากแต่เป็น “วาสนา” ของเธอ”

@@@@@@

แล้วพระองค์ก็ตรัสเล่าให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า ในอดีตกาลอันนานไกลโพ้น พระสารีบุตรเคยเกิดเป็นลิงติดต่อกันหลายร้อยหลายพันชาติ มาชาตินี้จึงติด “วาสนา” ของลิงมา คือชอบเต้นหย็องแหย็งๆ เมื่อมีความดีใจ ว่ากันอย่างนั้น

เรื่องอย่างนี้มีบันทึกไว้ในคัมภีร์ทางพระศาสนา ถึงจะเป็นคัมภีร์รุ่นหลังจากพระไตรปิฎก ฟังๆ ไว้ก็ไม่เสียหลาย ปุถุชนคนสามัญอย่างเราท่าน ภูมิปัญญาหรือความสามารถยังห่างไกลเกินกว่าจะไปชี้ว่าเรื่องนี้จริงไม่จริง เป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ จริงไหมครับ

ว่ากันไปแล้ว เรื่องนี้เป็นวิบากหรือผลของการกระทำที่ทำสืบเนื่องกันยาวนานจน “ติด” ตัวไปไม่รู้กี่อสงไขยกัปว่าอย่างนั้นเถอะ ติดจนแกะไม่ออก แม้ว่ากิเลสตัณหาจะละได้ แต่ “สิ่ง” ที่ว่านี้กลับละไม่ได้ ยกเว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น

@@@@@@

เพราะฉะนั้น บางคนจึงมี “วาสนา” แปลกๆ แก้ไม่หาย ดังพระปิลินทวัจฉะและพระสารีบุตร เป็นต้น หรือที่เห็นชัดๆ ก็หลวงพ่อคูณนั่นแหละ วาสนาของท่านชอบพูดคำสมัยพ่อขุน และมีท่านั่งพิเศษคือนั่งยองๆ ไม่ชอบนั่งพับเพียบเหมือนพระภิกษุทั่วไป

      เมื่อมีคนถามว่า ทำไมหลวงพ่อชอบนั่งยองๆ หลวงพ่อตอบว่า กูไม่ชอบดอก ไอ้หลานเอ๊ย มันนั่งของมันอย่างนี้เอง
      เมื่อถามอีกว่า นั่นสิครับหลวงพ่อ ทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้
      หลวงพ่อตอบด้วยสำเนียงชาวโคราชว่า
     “กูว่า มันเป็นท่าเตรียมพร้อม คือ กูจะลุกยืนก็ลุกได้ทันที กูจะนั่งพับเพียบก็นั่งได้ทันที นั่งยองๆ นี่ก็มันดีแท่ๆ เด๊”



ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24-30 สิงหาคม 2561
คอลัมน์ : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
ผู้เขียน : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
เผยแพร่ : วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ.2561
ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก : https://www.matichonweekly.com/column/article_129513
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29286
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: “วาสนา” มีจริงหรือไม่.? แล้วคืออะไรในทาง “พุทธ”.?
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 19, 2025, 12:45:26 pm »
0
.



วาสนา (บาลีวันละคำ 84)

วาสนา อ่านว่า วา-สะ-นา ในภาษาไทยใช้เหมือนบาลี แต่อ่านว่า วาด-สะ-หนา
“วาสนา” แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่อยู่ในจิต” “สิ่งอันเขาบ่มเพาะมา”

ขยายความว่า กิริยาอาการหรือลักษณะการพูดจา ที่เป็นเอกลักษณ์พิเศษของบุคคล ซึ่งเกิดจากกิเลสบางอย่าง และได้สั่งสมอบรมมาเป็นเวลานานจนเคยชินติดเป็นพื้นนิสัยประจำตัว

ฝรั่งแปล “วาสนา” ว่า that which remains in the mind, tendencies of the past, impression (สิ่งที่เหลืออยู่ในใจ, แนวโน้มของอดีต, ความฝังใจหรือประทับใจ)

ในภาษาไทย ความหมายกลายไปเป็นว่า วาสนาคือบุญบารมี, กุศลที่ทําให้ได้รับลาภยศ, เช่น เด็กคนนี้มีวาสนาดี เกิดในกองเงินกองทอง, เป็นบุญวาสนาของเขา, เขาเป็นคนมีวาสนาบารมีมาก

“วาสนา” ตามความหมายเดิม เป็นกิเลสอย่างหนึ่งที่ไม่พึงปรารถนา

แต่ “วาสนา” ในภาษาไทย กลายเป็นเรื่องดีที่พึงปรารถนา : ภาษาก็เหมือนคน ยากที่จะรู้ธาตุแท้



บาลีวันละคำ (84) (31-7-55)

วาสนา = วาสนา, อุปนิสัย, บุญบาปที่อบรมมา (สงฺขาร) (ศัพท์วิเคราะห์)
– จิตฺเต วสตีติ วาสนา สิ่งที่อยู่ในจิต

วสฺ ธาตุ ในความหมายว่าอยู่ ยุ ปัจจัย อา อิต., แปลง ยุ เป็น อน พฤทธิ์ อ เป็น อา
– วาสียเตติ วาสนา สิ่งอันเขาบ่มเพาะมา

วาส ธาตุ ในความหมายว่า อบ, บ่ม ยุ ปัจจัย อา อิต., แปลง ยุ เป็น อน

วาสนา (บาลี-อังกฤษ) (อิต.) (จาก วสติ = วาส) สิ่งที่เหลืออยู่ในใจ, แนวโน้มของอดีต, ความฝังใจหรือประทับใจ that which remains in the mind, tendencies of the past, impression

@@@@@@@

วาสนา [วาดสะหฺนา] น. บุญบารมี, กุศลที่ทําให้ได้รับลาภยศ, เช่น เด็กคนนี้มีวาสนาดี เกิดในกองเงินกองทอง, มักใช้เข้าคู่กับคำ บุญ หรือ บารมี เป็น บุญวาสนา หรือ วาสนาบารมี เช่น เป็นบุญวาสนาของเขา เขาเป็นคนมีวาสนาบารมีมาก. (ป., ส.).

วาสนา อาการกายวาจา ที่เป็นลักษณะพิเศษของบุคคล ซึ่งเกิดจากกิเลสบางอย่าง และได้สั่งสมอบรมมาเป็นเวลานาน จนเคยชินติดเป็นพื้นประจำตัว แม้จะละกิเลสนั้นได้แล้ว แต่ก็อาจจะละอาการกายวาจาที่เคยชินไม่ได้ เช่น คำพูดติดปาก อาการเดินที่เร็วหรือเดินต้วมเตี้ยม เป็นต้น

ท่านขยายความว่า วาสนา ที่เป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เป็นอัพยากฤตคือเป็นกลางๆ ไม่ดีไม่ชั่วก็มี ที่เป็นกุศลกับอัพยากฤตนั้น ไม่ต้องละ

แต่ที่เป็นอกุศลซึ่งควรจะละนั้น แบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ
    1. ส่วนที่จะเป็นเหตุให้เข้าถึงอบาย กับ
    2. ส่วนที่เป็นเหตุให้เกิดอาการแสดงออกทางกายวาจาแปลกๆ ต่างๆ
ส่วนแรกพระอรหันต์ทุกองค์ละได้ แต่ส่วนหลัง พระพุทธเจ้าเท่านั้นละได้ พระอรหันต์อื่นละไม่ได้

จึงมีคำกล่าวว่า พระพุทธเจ้าเท่านั้นละกิเลสทั้งหมดได้ พร้อมทั้งวาสนา ; ในภาษาไทย คำว่า วาสนา มีความหมายเพี้ยนไป กลายเป็นอำนาจบุญเก่า หรือกุศลที่ทำให้ได้รับลาภยศ





Thank to : https://dhamtara.com/?p=1172
31 กรกฎาคม 2012 | Admin ชมรมธรรมธารา
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ