คนรัสเซีย จิตวิญญาณใกล้เคียงคนไทย!
“พระอาจารย์ว่าเราโดนโฆษณาชวนเชื่อเรื่องลัทธิทางการเมือง คือ การเมืองเมื่อก่อนแบ่งเป็น 2 ข้าง คือ ค่ายสหภาพโซเวียต ซึ่งถูกมองว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ถูกมองว่าโหดร้าย ไม่เป็นธรรม กดขี่ข่มเหงประชาชน อีกค่ายก็คือค่ายสหรัฐฯ ซึ่งเป็นค่ายประชาธิปไตย ประเทศไทยเลือกที่จะอยู่ค่ายประชาธิปไตย คือ ค่ายสหรัฐฯ ฉะนั้นข้อมูลต่างๆที่เรารู้จากสื่อมวลชน จากหนังสือพิมพ์ เมื่อก่อนไม่มีสื่ออินเตอร์เน็ต
ตอนเป็นเณรเล็กๆก็มีหนังสือสหภาพโซเวียตตามวัด สถานทูตรัสเซียส่งไป เราก็อ่าน แต่ว่าข้อมูลส่วนใหญ่ที่เรารู้จากสื่อหนังสือพิมพ์ จากสื่อหนังสือตำราเรียน หรือจากสื่อโทรทัศน์ สมัยก่อน สหภาพโซเวียตหรือรัสเซีย ถูกมองว่าเป็นผู้ร้ายอยู่ตลอด แต่พอไปสัมผัสจริงๆ ปรากฏว่าตรงกันข้าม
โลกก็ได้พิสูจน์แล้วว่า รัสเซียไม่ได้โหดร้าย อย่างกรณีไอซิสที่เกิดขึ้น ปรากฏว่าประเทศรัสเซียโดยท่านประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน ท่านก็ได้กำจัดผู้ก่อการร้าย และองค์กรก่อการร้าย เกือบจะหมดแล้วตอนนี้ 80-90% ก็ถือว่าได้หายไปจากโลกนี้ ท่านสามารถจัดการกับการก่อการร้ายนานาชาติได้
การที่พระอาจารย์ไปอยู่รัสเซีย และตัดสินใจไปศึกษาที่รัสเซีย พระอาจารย์คิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่ากลัว แต่พอสัมผัสจริงๆแล้วพระอาจารย์มองว่า คนรัสเซียมีจิตใจ จิตวิญญาณใกล้เคียงกับคนไทยมาก เนื่องจากเขาเป็นฝรั่งที่ผสมเอเชีย ถ้าเราไปรัสเซียก็จะเห็นคนหน้าตาเอเชีย แต่ตาสีฟ้า ผมสีทอง หน้าตาคล้ายๆลูกครึ่ง เป็นประเทศที่เต็มไปด้วยลูกครึ่งเอเชียและยุโรป
ดังนั้นคนรัสเซียจะหน้าตาคล้ายๆคนไทย เหมือนคนจีนแต่ตาสีฟ้า และผมสีทอง พระอาจารย์คิดว่าคนรัสเซียจิตวิญญาณเขาใกล้เคียงกับคนไทยมาก ในอดีตเขาก็ได้รับอิทธิพลของพุทธศาสนามาก่อนที่จะมาเปลี่ยนเป็นนับถือศาสนาคริสต์ นิกายออร์โธด็อกซ์ เมื่อปี ค.ศ.908 เมื่อก่อนเขานับถือศาสนาพระเวทย์ และพระพุทธศาสนา
ดังนั้นที่พระอาจารย์ตัดสินใจไปรัสเซีย พระอาจารย์ไม่ได้มองว่า มันเป็นเรื่องโหดร้าย เป็นเรื่องที่น่ากลัว และสิ่งที่อะไรที่น่ากลัวเกี่ยวกับรัสเซีย เป็น Political Propaganda (การโฆษณาชวนเชื่อ)
ตอนเล็กๆเราจะได้ข่าวว่า ถ้าคอมมิวนิสต์ยึดประเทศไทย สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ก็จะฆ่าพระ และจะฆ่าเด็ก จะให้ลูกไปฆ่าพ่อแม่ จะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เราก็เข้าใจว่า ลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่พอไปสัมผัสจริงๆพระอาจารย์คิดว่า คนรัสเซียเป็นชนชาติที่น่ารักที่สุดชนชาติหนึ่ง และรัสเซียเป็นประเทศที่น่าอยู่ คนรัสเซียเขาเคารพกติกา
พระอาจารย์คิดว่าการเมืองในประเทศรัสเซียโปร่งใส มีความตรงไปตรงมา ไม่คอร์รัปชัน ทั้งที่ประชาธิปไตยในรัสเซียเพิ่งเริ่มเมื่อปี 1993 เท่านั้น
ดังนั้นคนที่เสพสื่อต้องมีวุฒิภาวะในการเสพสื่อ ไม่ใช่ว่าสื่อป้อนอะไรเข้ามาเราก็รับทั้งหมด ดังนั้นเราต้องมีวุฒิภาวะในการเสพสื่อ ในการรับข้อมูล และมีวุฒิภาวะในการตัดสินใจ มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด
การศึกษาที่ถูกต้องจะเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนมองเห็นว่า ข้อมูลต่างๆที่เข้ามาหาเราในแต่ละวันแต่ละวินาทีจะมองให้เป็นบวกก็ได้ เป็นลบก็ได้ จะสร้างโลกก็ได้ จะทำลายโลกก็ได้ มันอยู่ที่ว่าเราจะมองอย่างไร ถ้ามองไม่ดี ใช้ไม่ดี ไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอ ก็จะทำร้ายโลก
อินเตอร์เน็ตไม่ใช่สื่อสารข้อมูล การส่งผ่านข้อมูลอย่างเดียวนะ คำว่าอินเตอร์เน็ตก็คือเครือข่าย อินเตอร์ก็คือการเชื่อมโยงทั้งหมด คำว่าอินเตอร์เน็ตไม่ใช่แค่ข้อมูลที่เราผ่านโดยระบบ 3G ,4G ระบบที่ผ่านเครือข่าย หรือจานดาวเทียม

พระอาจารย์ไปอินเดีย พระอาจารย์มองว่าขยะในประเทศอินเดีย ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับคนอินเดียนะ แต่มีผลกระทบต่อคนทั้งโลก พระอาจารย์กลับมาเมืองไทย มองว่าเมืองไทยกำลังอยู่ในวิกฤตทางการเมือง วิกฤตทางการเมืองของเมืองไทย มีผลต่อคนทั้งโลก
สถานการณ์ที่เกิดในซีเรีย สถานการณ์ที่เกิดในภาคใต้ของฟิลิปปินส์ หรือสถานการณ์ที่เกิดใน 3 -4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีผลกระทบต่อคนทั้งโลก เขาเรียกว่า อินเทอร์เน็ต ไม่ใช่แค่ข้อมูลที่เรารับเท่านั้น แต่มันเป็นข้อมูล ไม่ได้ผ่านระบบเครือข่ายจานดาวเทียม โดยเครือข่ายของใยแก้วอะไรก็แล้วแต่ แต่ข้อมูลที่เรารรับเข้ามา สิ่งที่เราเห็น เรียกว่าอินเทอร์เน็ต มันมีผลกระทบต่อคนทั้งโลก
ตั้งเป้า! ไม่เน้นสร้างวัด เน้น “สร้างคน”
พระอาจารย์ชาตรีชี้การที่จะทำให้พระพุทธศาสนาอยู่ได้ในยุคใหม่ ไม่ใช่การสร้างวัด แต่เป็นการ “สร้างจิตวิญญาณ” ของคนที่นับถือศาสนาพุทธ
“การสร้างวัดต้องมีความรับผิดชอบเรื่องการ maintenance เรื่องการดูแล การรักษา เรื่องการซ่อมแซม แต่สิ่งที่พระอาจารย์อยากทำก็คือ อาจจะเน้นเรื่องการสร้างอาคาร สถานที่ให้น้อยลง แต่จะสร้างคน เพราะว่าการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เดี๋ยวนี้ไม่จำเป็นต้องมีวัด คนโบราณเขาสร้างวัดเนื่องจากไม่มีสื่อ คนโบราณสร้างวัดเนื่องจากไม่มีโซเชียลมีเดีย
คนโบราณสร้างวัดเพราะว่า ไม่มีที่ที่จะไปรวมตัวกันของคนในชุมชน ของคนในหมู่บ้าน ก็เลยต้องสร้างวัด แต่ตอนนี้พระอาจารย์ เอาอย่างนี้แล้วกัน อย่างวัดชลประทานฯ วันอาทิตย์มีคนมาฟังธรรม ทำบุญ 200-300 คน ขณะที่พระอาจารย์นั่งอยู่ในกุฏิที่รัสเซีย พระอาจารย์อัดเทป ออกเฟซบุ๊ก Live มีคนดูพระอาจารย์ 30,000 คน
ลองคิดดู คนมาฟังเทศน์ที่วัด 200 คน กับคนดูเฟซบุ๊ก Live พระอาจารย์พูดเรื่องธรรมะให้ 30,000 คน อย่างไหน effective มากกว่ากัน มีประสิทธิภาพมากกว่า คนมาวัดขับรถมากว่าจะถึงปากเกร็ด กว่าจะถึงติวานนท์ กว่าจะผ่านเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ มันใช้เวลาหลายชั่วโมง แต่ถ้าคุณนั่งอยู่ในห้องพระที่บ้าน สวดมนต์และฟังเทศน์ เออ พระอาจารย์เทศน์ดีจังเลย แล้วก็มีคิวอาร์โค้ด กดบริจาค 300 บาท
ไม่ต้องเสียค่าน้ำมัน ไม่ต้องเสียค่าแก๊ส ไม่ต้องมีเวลา และสามารถทำอะไรอย่างอื่นไปด้วยก็ได้ เหน็บโทรศัพท์แล้วก็ฟังไปด้วยก็ได้ หรือวางโทรศัพท์แล้วก็ซักผ้าไปด้วยก็ได้ พระอาจารย์เทศน์มีคุณค่ามาก พระอาจารย์ทำคุณประโยชน์ให้กับพระพุทธศาสนา และดูคิวอาร์โค้ด พร้อมเพย์ หรือ PayPal โอนตังไปทำบุญสร้างวัดเพื่อพระพุทธศาสนาในประเทศนั้นประเทศนี้ ประเทศรัสเซีย วัดชลประทานฯ สวนโมกข์ หอจดหมายเหตุกรุงเทพฯ ทำได้หมดเลย
ตอนนี้โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นการสร้างวัดไม่มีความจำเป็น เพราะว่าวัดอยู่ที่ใจ คนถ้ามีความศรัทธาในพระพุทธเจ้า ไม่จำเป็นต้องไปวัด เพราะเรามีเวลา ไหนจะลูก ภรรยา ภาระมันเยอะแยะไปหมด คนจะไปวัดเหรอ คนสมัยก่อนทำสวน ทำไร่ ทำนา ไม่รู้จะไปไหน วันนี้ยกปิ่นโตไปวัด แบบนั้นยังมีอยู่ ตามบ้านนอกยังมีอยู่ แต่ในเมืองใหญ่ๆ ดังนั้นวัดก็จะเป็นสถานที่แค่เผาศพ ไปวัดเมื่อไหร่ ไปเผาศพ วัดนี่จะกลายเป็นที่เผาศพ ธุรกิจการเผาอย่างเดียวแล้ว ดังนั้นวัดจะเป็นที่เก็บกระดูก วัดจะเป็นที่เผาศพ เป็นที่ที่คนพุทธ คนมีการศึกษาในสังคมไทยจะรู้สึกเอือมระอากับวัดพอสมควร
ดังนั้นพระอาจารย์คิดว่า วัดอยู่ที่ใจ เวลาโยมถามว่า พระอาจารย์จะขยายวัดในรัสเซียมั้ย พระอาจารย์ไม่ต้องขยายวัด พระอาจารย์จะซื้อกล้องใหม่ พระอาจารย์จะซื้อมือถือใหม่ ลงทุนมือถือ 20,000 บาท แต่คนดู เงิน 20,000 รูเบิล ที่พระอาจารย์ซื้อมือถือเพื่อการออกเฟซบุ๊ก Live หรือซื้อกล้องใหม่ราคา 50,000 เพื่อออกเฟซบุ๊ก Live กับการสร้างวัดราคา 50 ล้าน พระอาจารย์เลือกซื้อกล้องราคา 50,000 พระอาจารย์เลือกที่จะซื้อมือถือราคาแค่ 20,000 ที่จะสร้างวัดราคา 20 ล้าน
แต่วัดก็เป็นสถานที่ที่ควรมี สมมติว่าอาคารหนึ่งหลัง อาคารหลังนี้เราสร้าง 600 ล้าน ปีละ 1 ล้าน ต้องใช้เวลากี่ปีจึงจะเกิดประโยชน์ เราใช้ 30-40 ปี เราก็ต้องทุบทิ้ง 50 ปี เราก็ต้องทุบทิ้ง แสดงว่า ถ้าอาคารหลังนั้นราคาประมาณ 700 ล้าน ถ้าเราใช้แค่ 40 ปี ปีละเท่าไหร่ ไม่คุ้ม
พระอาจารย์มองว่าการที่จะเอาพระพุทธศาสนาอยู่ได้ ไม่ใช่การสร้างวัด แต่การสร้างจิตวิญญาณของคนที่นับถือศาสนาพุทธ หรือไม่นับถือศาสนาพุทธ ให้เข้าใจในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า อย่าไปเน้นเรื่องการสร้าง เอาสิ่งที่มีอยู่แล้วรักษาให้ดี maintenance ให้ดี จัดการให้ดี ซ่อมแซมให้ดี ห้องน้ำ กุฏิสงฆ์ดูแลให้ดี ไม่ต้องไปสร้างเพิ่ม อย่าไปคิดที่จะสร้างเพิ่ม
ตอนนี้อยากจะให้คนเข้าวัดเยอะๆ และจะสร้างวัดใหญ่ๆโตๆนี่คิดผิดหมดเลย ดังนั้นพระอาจารย์คิดว่าวันใดวันหนึ่งพระอาจารย์อยากจะกลับมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศไทย พระอาจารย์จะสร้างรูปแบบใหม่ของวัด เรียกว่าเป็น “พระอาจารย์ชาตรีโมเดล” หรือ “รัสเซียนโมเดล” ให้คนไทยได้เห็นว่าการทำงานพระพุทธศาสนา ไม่จำเป็นต้องสร้างวัด
พระรุ่นใหม่ต้องเข้าถึงสื่อโซเชียลฯ
ทว่า แม้โลกโซเชียลฯ จะมีคุณประโยชน์มากมายและจำเป็นต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแต่พระอาจารย์ชาตรีก็ยังย้ำว่า “โลกโซเชียลฯสำหรับพระก็เป็นอันตรายเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณ”
“พระใช้โซเชียลฯ คุยกับผู้หญิงบ้าง คนโน้นบ้าง คนนี้บ้าง ดูสื่อโน่นนี่นั้นบ้าง ตัดสินใจสึกดีกว่า อยู่ไม่ได้แล้ว อะไรแบบนี้ โยมลองคิดดูว่า มีเพื่อน 5,000 คน ใน 5,000 คน มีคนที่มาชอบพระองค์นั้นสัก 5 คน แล้วบอกหลวงพี่สึกเถอะ หนูมีบ้านนะ มีกิจการนะ มีร้านขายของนะ
อย่างไรก็ดี หากพระสมัยใหม่ใช้สื่อเป็น มีความสามารถในการใช้สื่อให้เกิดประโยชน์ พระอาจารย์คิดว่า นั่งอยู่ในกุฏิ ต้นไม้ ในป่า ก็สามารถสื่อธรรมะให้ญาติโยมได้
ในเมืองไทย 94.6% นับถือศาสนาพุทธ พระอาจารย์คิดว่า น่าจะมีสัก 5-10% จาก 64 ล้านคนที่เป็นพุทธ ก็จะเกิดประโยชน์ สามารถดูเฟซบุ๊ก Live ของพระที่มีความสามารถในการเผยแผ่ธรรมะ ก็จะเกิดประโยชน์อย่างมหาศาลต่อพระพุทธศาสนา
การสอนธรรมะและเผยแผ่พระศาสนาในรัสเซียอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ร่ำรวยมีชื่อเสียง แต่พระอาจารย์ภาคภูมิใจที่ได้ชดใช้ข้าวก้นบาตรจนเติบใหญ่มีเนื้อหนัง ชีวิตสั้นลงทุกวัน ใยจะต้องทุกข์กับการแสวงหา ในเมื่อพระนิพพานอยู่ใกล้ๆ แต่เราส่วนใหญ่กลับมองไม่เห็น”
นอกจากนี้ พระอาจารย์ชาตรียังเคยกล่าวผ่านโลกโซเชียลฯ ย้ำหนักแน่นแม้จะต้องยืนหยัดสู้เหน็ดเหนื่อยสักเพียงใดแต่ก็ยืนยันว่า ชีวิตนี้เพื่อพระพุทธศาสนา
“อาตมาอาจจะไม่มีค่าอะไรในสังคมสงฆ์ไทย แต่อย่างน้อยก็ยังภูมิใจที่ได้เป็นพุทธบุตรผู้สืบอายุพระศาสนาในรัสเซียและยูเรเชีย จากลูกชาวบ้าน สู่การเป็นสามเณรน้อยพุทธบุตร มหาจุฬากล่อมเกลา ก้าวต่อมาคือการจบการทูต ได้ทำหน้าที่ทูตแห่งธรรม สอนกรรมฐานเป็นอาชีพ ส่วนการสอนมหาวิทยาลัยเซนต์ปิเตอร์สเบิร์ก คือ การทดแทนคุณข้าวปลาอาหารคืนให้รัฐบาลรัสเซียที่ให้ทุนและโอกาส ชีวิตนี้สั้นลงทุกที น้อยใจเสียใจบ้างตามประสา เหนื่อยแต่ไม่เคยท้อ เพราะชาตรีแรด ทนอย่างแรด
ถึงแม้ว่าการไปอยู่ในประเทศรัสเซีย จะไม่มีอาหารไทย คนไทย ไม่มีวัฒนธรรมไทย ไม่มีปัจจัยมากมาย อยู่ด้วยความยากลำบาก พระอาจารย์ก็มีความสุข เพราะชีวิตเลือดเนื้อ เซลล์ทุกเซลล์ที่อยู่ในร่างกาย ได้มาจากข้าวก้นบาตรของพระพุทธเจ้า เราบวชเรียนมา
เซลล์ที่เกิดขึ้นในร่างกายเกิดจากแรงศรัทธาจากญาติโยม ข้าวก้นบาตร บุญบารมีที่พระพุทธเจ้าเลี้ยงพระอาจารย์มา ดังนั้นการที่พระอาจารย์ตัดสินใจ ทำงานเพื่อพระพุทธศาสนา พระอาจารย์คิดว่า เป็นการถวายชีวิตนี้ให้กับพระพุทธเจ้า เป็นการตอบแทนคุณพระพุทธเจ้า นี่คือสิ่งที่ทำให้พระอาจารย์อยู่ได้
“การทำงานพระศาสนามีอุปสรรคมากมายแต่ถ้าใจสู้แบบยอมตาย พระอาจารย์เชื่อมั่นว่า พระศาสนาจะยังคงอยู่อีกนานแสนนาน อย่างน้อยก็พระอาจารย์คนหนึ่งจะทำพันธกิจนี้ด้วยชีวิต”
แม้ปัจจุบันนี้วัดไทยแห่งเดียวในรัสเซียนี้จะมีญาติโยมคนไทยช่วยกันทำบุญเกื้อกูลเสมอมา จนบัดนี้หนี้สินได้ลดน้อยลงไปมากแล้ว แต่ก็ยังเหลือหนี้ก้อนสุดท้ายอีกประมาณเกือบๆ 2 ล้านบาท
นอกจากนี้ เงินเดือนจากการสอนหนังสือของพระอาจารย์ก็ไม่เพียงพอในการใช้จ่ายภายในวัด เพื่อสืบสานพระพุทธศาสนา แต่พระอาจารย์ชาตรีก็ได้กล่าวอย่างหนักแน่นว่า พระอาจารย์ “ต้องสู้”!
ร่วมบริจาคสมทบทุนเพื่อต่อลมหายใจพระพุทธศาสนาในรัสเซีย ผ่านชื่อบัญชี วัดอภิธรรมพุทธวิหาร เซนต์-ปีเตอร์สเบอร์ก เลขบัญชี 207-417990-0 ธนาคารกรุงเทพเรื่อง : สวิชญา ชมพูพัชร
ภาพ : กัมพล เสนสอน
ขอบคุณภาพจาก เฟซบุ๊ก Chatree Hemapandha
ขอบคุณสถานที่ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ
ขอบคุณที่มา :
https://mgronline.com/live/detail/9620000018848เผยแพร่ : 22 ก.พ. 2562 21:24 ,ปรับปรุง : 23 ก.พ. 2562 20:01 ,โดย : ผู้จัดการออนไลน์