พระเจ้าเก้าตื้อ วัดบุปผาราม (วัดสวนดอก) จังหวัดเชียงใหม่ (ภาพจากหนังสือ "๑๐๘ องค์พระปฏิมา พระพุทธรูปคู่แผ่นดิน" จัดพิมพ์โดย กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม)
พระเจ้าเก้าตื้อ : พระพุทธรูปสำคัญของล้านนาพระเจ้าเก้าตื้อ เป็นพระพุทธรูปสำคัญของล้านนา กล่าวกันว่าเป็นพระพุทธรูปสำริดองค์ใหญ่ที่สุด และงดงามที่สุดในศิลปะล้านนา ประดิษฐานในอุโบสถ วัดบุปผาราม หรือวัดสวนดอก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
พระเจ้าเก้าตื้อเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ประทับขัดสมาธิราบหน้าตักกว้าง ๒.๙๐ เมตร สูง ๓.๘๙ เมตร ศิลปะล้านนาอิทธิพลสุโขทัย (พ.ศ. ๒๐๔๗) หรือที่เรียกกันว่า “ศิลปะเชียงแสนสิงห์สอง” ประทับบนฐานหน้ากระดานเกลี้ยง พระพักตร์รูปไข่ ขมวดพระเกศาเล็ก พระรัศมีเป็นเปลว พระขนงโก่ง พระโอษฐ์อมยิ้ม ริมฝีพระโอษฐ์เป็นคลื่นเหมือนศิลปะสุโขทัยพระอังสาใหญ่ บั้นพระองค์เล็ก หน้าตักกว้าง ลักษณะสังฆะฏิเป็นแผ่นใหญ่และยาวจรดพระนาภี อาจบ่งบอกถึงรูปแบบศิลปะอยุธยาที่ผสมผสานในพระพุทธรูปด้วย
@@@@@@
ประวัติพระเจ้าเก้าตื้อ
ปรากฏในพงศาวดารโยนกว่า พระเมืองแก้ว หรือพระเจ้าศิริธรรมจักรพรรดิราช (พ.ศ. ๒๐๓๘ – ๒๐๖๘) โปรดให้สร้างพระพุทธรูปสำริดองค์ใหญ่เพื่อจะนำไปประดิษฐานเป็นพระประธานในพระวิหารหลวง วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร
โดยเริ่มทำการหล่อในวันพฤหัสบดี เดือน ๘ ขึ้น ๑๑ ค่ำ ปีชวดฉอศก จุลศักราช ๘๖๖ ตรงกับ พ.ศ. ๒๐๔๗ แล้วเสร็จเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๕ ขึ้น ๕ ค่ำ ปีฉลู สัปตศก จุลศักราช ๔๖๗ ตรงกับ พ.ศ. ๒๐๔๘
แต่ครั้นเมื่อหล่อสำเร็จแล้วองค์พระมีขนาดใหญ่ และมีน้ำหนักมากจึงไม่สามารถชะลอเข้าไปในเมืองได้ พระเมืองแก้วจึงได้ถวายเรือนหลวงของพระองค์สร้างพระวิหารใกล้กับวัดบุปผาราม หรือวัดสวนดอก เพื่อถวายให้เป็นที่ประดิษฐานองค์พระเจ้าเก้าตื้อ
ครั้งถึงวันพุธ เดือน ๕ ขึ้น ๔ ค่ำ ปีมะเส็ง เอกศก จุลศักราช ๘๗๐ ตรงกับ พ.ศ. ๒๐๕๒ จึงได้โปรดให้ชะลอพระเจ้าเก้าตื้อเข้าไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดบุปผาราม
คำว่า ตื้อ เป็นหน่วยวัดน้ำหนักโลหะของล้านนาในสมัยโบราณ ๑ ตื้อ เท่ากับ ๑,๐๐๐ กิโลกรัม (บางตำรากล่าวว่า ๑ ตื้อ หนัก ๑,๒๐๐ กิโลกรัม) พระเจ้าเก้าตื้อ หมายถึงพระพุทธรูปที่หล่อด้วยโลหะ ๙,๐๐๐ กิโลกรัม หรือ ๙ ตัน หรือหมายถึง พระพุทธรูปองค์ใหญ่นั่นเองที่มาข้อมูลและภาพ : “๑๐๘ องค์พระปฏิมา พระพุทธรูปคู่แผ่นดิน” .จัดพิมพ์โดย กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. พิมพ์ครั้งที่ ๑
เผยแพร่ : วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ.2562
เผยแพร่ครั้งแรกในระบบออนไลน์ เมื่อ 16 มีนาคม พ.ศ.2561
ขอบคุณ :
https://www.silpa-mag.com/culture/article_16294