ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: อานิสงส์ถวายความหอม  (อ่าน 796 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
อานิสงส์ถวายความหอม
« เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2019, 06:44:14 am »
0

 :25: :25: :25:

อานิสงส์ถวายความหอม
 
มนาปทายี ลภเต มนาปํ - ผู้ให้ของที่น่าพอใจ ย่อมได้ของที่น่าพอใจ (มนาปทายีสูตร)
 
“ของหอม” ตรงกันข้ามกับ “ของเหม็น” ของหอมเป็นสุคันธารมณ์ที่ชื่นชอบ พออกพอใจ ชุ่มชื่นใจแก่คนทั่วไป ความสุนทรีย์ในกลิ่นหอมช่วยทำให้อารมณ์ผ่อนคลาย ร่างกายจะก่อเกิดสารแห่งความสุขไปพร้อมกับความหอมที่จรุงใจด้วยพืชพรรณธรรมชาติที่สกัดออกมาเป็นของหอมอันทรงคุณค่า

ในสมัยพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้ามีกุลบุตรท่านหนึ่งเกิดในตระกูลใหญ่ในใจกลางกรุงพาราณสี ตระกูลนี้อุดมมั่งคั่งไปด้วยทรัพย์และธัญญาหาร พร้อมสมบัติรัตนชาติมากมาย ครั้นกุลบุตรนี้เจริญวัยบรรลุนิติภาวะแล้ว เขาก็มีโอกาสไปฟังธรรมจากพระศาสดาซึ่งกำลังแสดงธรรมแก่มหาชนจำนวนมาก


@@@@@@

พระธรรมเทศนาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนมีเนื้อความว่า “บุคคลจะมีโภคทรัพย์มากได้ก็เพราะให้ทาน จะเข้าถึงสุคติได้ก็เพราะรักษาศีล จะดับกิเลสได้ก็เพราะเจริญภาวนา” มหาชนทั้งหลายในธรรมสถานแห่งนั้นได้ฟังพระธรรมเทศนาอันไพเราะทั้งเบื้องต้นท่ามกลางและเบื้องปลายแล้ว ต่างก็เกิดความแช่มชื่นใจ แม้ตัวเขาเองก็เลื่อมใสในพระพุทธองค์เช่นกัน จึงขอถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะตลอดชีวิต

อีกทั้งยังตั้งใจมาสั่งสมบุญโดยการถวายมหาทานมิได้ขาดถวายของหอม กลิ่นหอมข้ามชาติต่อมา เขามีโอกาสสร้างบุญพิเศษ คือได้นำของหอมธรรมชาติสกัดจากพืชธรรมชาติที่เรียกว่า จตุชาติคันธะ หรือ จตุชาติสุคันธะ ๔ อย่าง อันได้แก่
    ๑. หญ้าฝรั่น
    ๒. น้ำมันจากไม้กฤษณา
    ๓. กำยาน (ยางหอมจากไม้)
    ๔. ดอกไม้ชนิดต่างๆ
แล้วนำไปทาพื้นพระคันธกุฎีของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นประจำทุกเดือน เดือนละ ๗ ครั้ง จากนั้นเขาได้กราบทูลตั้งความปรารถนากับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

“ขอให้กลิ่นหอมอย่างดียิ่งจงบังเกิดแก่กายข้าพระองค์ ในสถานที่ที่ข้าพระองค์ไปเกิดด้วยเถิดพระเจ้าข้า”



พระผู้มีพระภาคเจ้ากัสสปะทรงตรัสพยากรณ์ถึงอานิสงส์ที่เขาจะได้รับว่า “ด้วยผลกรรมนี้ ไม่ว่าบุคคลผู้นี้จะไปบังเกิดในภพชาติใด ก็จะมีตัวหอมทุกชาติไป จะเป็นผู้เจริญด้วยกลิ่นแห่งคุณธรรม และจะเป็นผู้ไม่มีกิเลสอาสวะในที่สุด”

นอกจากนั้นเขายังได้สั่งสมบุญอื่นๆ อีกมากมาย ครั้นละจากโลกก็ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นเทพบุตรที่มีกลิ่นกายหอมฟุ้งจรุงใจไปทั่วชั้นสวรรค์ เมื่อหมดอายุขัยและจุติเคลื่อนจากสวรรค์นั้นแล้ว ชาติสุดท้ายก็ได้บังเกิดในตระกูลมั่งคั่งในนครสาวัตถีขณะที่อยู่ในครรภ์ มารดาของเขาก็มีกลิ่นกายหอมทั่วบ้าน และกลิ่นหอมนี้ยังหอมฟุ้งไปทั่วพระนครสาวัตถีทีเดียว และเมื่อคลอดจากครรภ์แล้ว ทั่วทั้งเมืองนั้นก็หอมฟุ้งอีกดุจดังนำของหอมทุกชนิดมารมให้อบอวลหอมติดไปทั้งเมือง

อีกทั้งขณะที่เขาเกิดนั้นเอง ปรากฏมีฝนดอกไม้มีกลิ่นทิพย์หอมหวนน่ารื่นรมย์ใจส่วนเรือนที่เกิดนั้น เหล่าเทวดาก็ได้นำธูปหอมและดอกไม้หอมพร้อมกับนำเครื่องหอมมาอบให้กลิ่นฟุ้งขจรขจาย ด้วยเหตุนั้นเอง มารดาบิดาจึงได้ตั้งชื่อเขาว่า จูฬสุคันธะ


@@@@@@

เมื่อเขาเจริญเติบโตอยู่ในช่วงปฐมวัยพระบรมศาสดาของเราพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ได้เสด็จมายังเมืองสาวัตถีเพื่อทรงรับถวายวัดพระเชตวันจากท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเมื่อจูฬสุคันธะเห็นพระบรมศาสดาและได้พบพุทธานุภาพแล้ว ก็มีใจเลื่อมใส ได้ทูลขอบวชกับพระองค์ จากนั้นก็ไปบำเพ็ญเพียร ไม่นานนักท่านก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา

เมื่อบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ท่านก็ย้อนระลึกถึงบุพกรรมในกาลก่อน แล้วนำอานิสงส์แห่งบุญนั้นมาเล่า ดังต่อไปนี้
     ๑. บุญนี้ทำให้ได้พบเจอแต่กลิ่นหอมฟุ้งตลบไปในที่ต่าง ๆ เช่น บนที่นอน เพราะว่ามีพวกเทวดามาโปรยผงหอมทิพย์และดอกไม้หอมทิพย์ นับตั้งแต่วันที่ท่านเกิดจนถึงวันที่ท่านปรินิพพาน
     ๒. ฝนมีกลิ่นหอมได้ตกลงมาขณะท่านออกบวช ขณะบรรลุเป็นพระอรหันต์ และเมื่อใกล้จะปรินิพพาน
     ๓. มีกลิ่นกายหอมจนสามารถกลบกลิ่นหอมจากนานาธรรมชาติ ไม่ว่าไม้จันทน์ดอกจำปา หรือดอกอุบลทำบ้านให้น่าอยู่

@@@@@@

สิ่งแรกที่ควรตระหนักในการทำบ้านให้น่าอยู่ น่าอาศัย ก็คือ ต้องขจัดสิ่งปฏิกูลทั้งกลิ่นและคราบออกไปจากบ้าน ทำให้สะอาดเป็นระเบียบ แล้วจึงนำกลิ่นที่ดีมาลงให้เกิดความหอมชื่นใจ อุปมาเหมือนคนทั่วไปมักจะอาบน้ำชำระล้างกลิ่นตัว เหงื่อไคล สิ่งสกปรกในร่างกายก่อน ถึงค่อยนำแป้งมาโรยหรือเอาน้ำหอมประพรมตัวต่อไป

แล้วบ้านของเราก็จะกลายเป็นรมณียสถาน เป็นที่สำราญดึงดูดแขกให้หมั่นมาเยี่ยมเยือนบ่อย ๆ ทำวัดให้น่าเข้าหากชาวพุทธช่วยกันทำวัดให้เป็นสถานที่น่ารื่นรมย์ใจเหมือนบ้านของตนเองแล้วทุกคนก็อยากจะมาวัดบ่อย ๆ หน้าที่การทำวัดให้น่าเข้า น่าศรัทธา เป็นหน้าที่สำคัญของชาวพุทธทุกคน มิใช่เป็นหน้าที่ของพระภิกษุสามเณรเพียงอย่างเดียว

ความสะอาดเป็นสิ่งแรกที่ควรคำนึงถึงต้องช่วยกันขจัดสิ่งปฏิกูลสกปรก เช่น กองขยะหรือแหล่งเพาะแมลงวัน มูลสุนัข ต้องขจัดออกไปให้หมด อีกทั้งโยมไม่ควรเอาสุนัขหรือแมวมาปล่อยทิ้งในวัดให้เป็นภาระของพระบางวัดถึงขนาดติดป้ายประกาศว่า

“วัดแห่งนี้พอแล้วแมวกับหมาโยมไม่ต้องจัดหามาถวายสิ่งต้องการคือกรวดหินดินและทรายอิฐก็ได้ไม้ก็ดีสีก็เอา”


@@@@@@

อีกทั้งไม่ควรมีกลิ่นเน่าเหม็นในวัด เพราะถ้ามีแล้วก็จะทำให้วัดไม่น่ารื่นรมย์ใจ พลอยทำให้ผู้คนไม่อยากจะเข้าวัดเพื่อมาสั่งสมบุญอีกด้วย จากนั้น หากต้องการเสริมบรรยากาศให้รื่นรมย์ยิ่งขึ้น ก็อาจจะหากลิ่นน้ำหอมระเหยสกัดจากธรรมชาติที่มีกลิ่นพอดีไม่ฉุนเกินไปมาเสริม หรืออาจจะไปรับบุญปลูกไม้หอมในวัดบูชาพระด้วยธูปเทียนหอม น้ำมันหอม ดอกไม้หอม เช่น ดอกบัวหรือดอกมะลิ เป็นต้น

นอกจากเราจะได้บุญแล้ว ผู้ที่เข้ามาในบริเวณวัดก็จะรื่นรมย์ใจ ได้สัมผัสสุคันธารมณ์ที่จะทำให้จิตใจอยากสั่งสมบุญกุศล ทั้งทำทานรักษาศีล หรือเจริญสมาธิภาวนาให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีกด้วย เมื่อวัดร่มรื่นร่มเย็นเป็นรมณียสถานที่เจริญใจ ก็จะทำให้ผู้คนอยากหลั่งไหลเข้าวัดมาสัมผัสกับความรื่นรมย์ของสิ่งแวดล้อมที่ชาวพุทธผู้มีศรัทธามั่นคงรังสรรค์ให้เกิดขึ้นและสัมผัสกับธรรมะอยู่เป็นนิจ นับเป็นการทำวัดให้เป็นวัดรุ่ง..รุ่งเรืองด้วยศรัทธา รุ่งเรืองด้วยศีลธรรม ปิดโอกาสขึ้นทะเบียนเป็นวัดร้างอีกต่อไป



ขอบคุณที่มา : m.dmc.tv/pages/top_of_week/อานิสงส์ถวายความหอม.html 
เรื่อง : พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ. ๙ / พระมหาวิริยะ ธมฺมสารี ป.ธ. ๙ /
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 29, 2019, 06:59:17 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ