ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พุทธวิธี “ชนะคนไม่มีศีล” ที่มาด่าทอต่อว่า  (อ่าน 1080 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



พุทธวิธี “ชนะคนไม่มีศีล” ที่มาด่าทอต่อว่า

เกิดเป็นคน ต้องสู้ทน ต่อคำด่า
แม้ทำดี ทำบ้า ถูกด่าหมด
ทำซื่อ ๆ ก็ถูกด่า ว่าไม่คด
ทำเลี้ยวลด ก็ถูกด่า ว่าไม่ตรง


เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงประทับอยู่ที่เมืองโกสัมพี (เสด็จมาใหม่ ๆ) พระนางมาคันทิยา ซึ่งมีความโกรธพระศาสดา มีความประสงค์จะให้พระองค์ออกจากเมืองโกสัมพี จึงได้ว่าจ้างให้คนที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่เลื่อมใสพระรัตนตรัย ช่วยกันรุมด่าให้พระองค์เสด็จหนีไปเมืองอื่น

มูลเหตุที่นางมาคันทิยาผูกอาฆาตพระพุทธเจ้า เกิดจากเมื่อตอนที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ใหม่ ๆ พระพุทธเจ้าทรงเสด็จไปโปรดแสดงธรรมแก่บิดาและมารดาของนางมาคันทิยา (ตอนนั้นยังเป็นเด็กรุ่น) เมื่อบิดามารดาของนางคันทิยาเห็นรูปลักษณะของพระพุทธเจ้า จึงประสงค์จะยกลูกสาวที่ใคร ๆ ก็ชมว่าสวยงามมาก ให้เป็นภรรยาพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าจึงตรัสทำนองว่า อย่าประสงค์ยกลูกสาวให้พระองค์เลย เพราะแม้แต่ปลายเล็บ พระองค์ก็ไม่พึ่งประสงค์ที่จะมองเลย นางคันทิยาได้ฟังจึงโกรธแค้นและผูกอาฆาตมาตั้งแต่นั้น แต่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้บิดานางคันทิยาบรรลุเป็นพระอนาคามี ส่วนมารดาบรรลุเป็นพระโสดาบัน

@@@@@@

หลังจากนั้นนางคันทิยาก็ได้มาอาศัยอยู่กับน้า ในกรุงโกสัมพีนี้ แล้วน้าของนางเห็นว่านางมีรูปสดสวยสมควรแก่พระราชา จึงยกนางคันทิยาให้กับพระเจ้าอุเทน และด้วยความหลงในรูป พระเจ้าอุเทนจึงแต่งตั้งให้เป็นมเหสีองค์หนึ่ง และเมื่อนางทราบข่าวว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมายังเมืองโกสัมพี นางจึงเริ่มระบายความอาฆาตดังที่กล่าวข้างต้น

ครั้นยามเช้าพระศาสดาเสด็จเข้าไปในเมืองเพื่อบิณฑบาต ก็มีพวกทาสกรรมกรบ่าวไพร่ที่ได้รับค่าจ้าง ติดตามด่าว่าพระพุทธองค์ด้วยคำด่า ๑๐ ประการ ซึ่งถือว่าเป็นคำด่าที่แสบที่สุดในยุคนั้น คือ เจ้าเป็นโจร เจ้าคนพาล เจ้าคนหลง เจ้าอูฐ เจ้าโค เจ้าลา เจ้าสัตว์นรก เจ้าสัตว์เดียรัจฉาน สุคติของเจ้าไม่มี เจ้าหวังแต่ทุคติเท่านั้น

พระอานนท์ผู้เดินตามหลังพระศาสดาทนไม่ได้ที่มีบุคคลมากล่าวล่วงเกินพระพุทธองค์ซึ่งเป็นผู้ที่ตนเคารพสูงสุดท่านจึงกราบทูลว่า

“เมืองนี้เขาด่ามากเหลือเกินพระพุทธเจ้าข้า เราไปเมืองอื่นเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ไปเมืองไหนอานนท์.?”
พระอานนท์ตอบว่า “ไปเมืองที่เขาไม่ด่า พระพุทธเจ้าข้า”
พระองค์ตรัสถามอีก “ถ้าคนในเมืองนั้นด่าอีก เราจะไปที่ไหนอานนท์.?”
“เราก็ไปเมืองอื่นจากเมืองนั้นอีกพระพุทธเจ้าข้า”


@@@@@@

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “แล้วคนในเมืองนั้นด่าอีกจะไปไหน.?”
“ก็ไปเมืองอื่น ๆ อีกพระพุทธเจ้าข้า”

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “เราทำอย่างนั้นไม่ควร ทำใจร้อนใจด่วนไม่สมควรแก่สมณะ เรื่องเกิดขึ้นที่ไหนควรให้ดับที่นั่นก่อนเราค่อยไปที่อื่น คนที่ด่านั้นคือพวกไหนกัน.?”
พระอานนท์ “คือเริ่มแต่พวกทาส กรรมกรเป็นต้นไปพระพุทธเจ้าข้า”

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
    “อานนท์ เราเป็นเช่นกับช้างที่เข้าสู่สงคราม การอดทนต่อลูกศรที่แล่นมาจาก ๔ ทิศเป็นภาระของช้างที่เข้าสู่สงครามฉันใด การอดทนต่อถ้อยคำที่คนทุศีลเป็นอันมากกล่าวแล้วเป็นภาระของเราฉันนั้น
     เราจักอดกลั้นต่อคำล่วงเกิน ดังช้างศึกที่อดทนต่อลูกศร เพราะคนเป็นอันมากเป็นผู้ทุศีล บุคคลผู้อดกลั้นต่อคำล่วงเกินได้ ฝึกตนดีแล้ว เป็นผู้ประเสริฐในหมู่มนุษย์
     การตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดัง ฉันใด เมื่อฝ่ายตรงข้ามสงบนิ่ง ทำหูทวนลมเสีย การด่าอยู่แต่ฝ่ายเดียวก็ไร้ประโยชน์ ฉันนั้น พวกปากรับจ้างด่าจนเมื่อยปาก ก็เกิดความเบื่อหน่าย เลิกด่าไปเอง เรื่องก็สงบลงใน ๗ วัน”

@@@@@@

เมื่อพระองค์ตรัสจบอย่างนี้ คนมากมายที่รับสินบนมาด่าตามถนน ๓ แพร่ง ๔ แพร่ง เป็นต้น เหล่านั้น ก็ได้บรรลุโสดาบัน เป็นคนดีเลิกด่า เป็นคนดีตั้งแต่บัดนั้นตลอดชีวิต



ขอบคุณที่มา : https://www.mokkalana.com/2668/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ