ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ท่องซิ.! รอไร.? "พระคาถาทวงหนี้" ท่องปุ๊ป ได้คืนปั๊บ.!!  (อ่าน 1127 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


ท่องซิ.! รอไร.? "พระคาถาทวงหนี้" ท่องปุ๊ป ได้คืนปั๊บ.!!


พระคาถาทวงหนี้ หลายคนที่เคยให้เพื่อนหรือคนรู้จักยืมเงิน คงรู้ดีว่าการทวงหนี้เป็นการทวงที่ยากที่สุด บางทีถึงกับต้องทะเลาะกันเลย และของหายเหมือนกัน หายังไงก็หาไม่เจอ บางทีอาจจะลืมที่เก็บ วันนี้เรามีพระคาถาจากเพจดังมาฝากเพื่อนๆชาวที่นี่.ดอม กันค่ะ

พระคาถาทวงหนี้ ตามของหาย สำหรับผู้ที่มีคนยืมเงินไปแล้วเงียบหายหรือของสูญหาย ลองใช้คาถาทวงหนี้ หรืออีกชื่อหนึ่งว่า คาถาอีกาวิดน้ำ ตามทวงหนี้ ตามของหาย ดูนะ


ขอบคุณภาพจาก https://dhamma.mthai.com/witchcraft/2256.html

จุดธูป 3 ดอก หน้าทิ้งพระ ตั้ง นะโม 3 จบ แล้วภาวนา คาถาทวงหนี้ ดังนี้

     อะปิ นุ หะนุกา สันตา
     มุ ขัน จะ ปะริสุดสะติ
     โอระมามะ นะ ปาเรมะ
     ปูระเตวะ มะโห ทะทีติ

     ( 3,5,7,9 จบ )

คาถานี้ มาจากพระธรรมบท อรรถกถา เรื่อง กากชาดก ว่าด้วย กาวิดน้ำด้วยปาก แหล่งที่มาชัดเจนขนาดนี้ไม่ท่องไม่ได้แล้ว ได้ผลเป็นไงลองแชร์ประสบการณ์ให้ฟังกันได้จ้า


ที่มา - facebook วัดหนองรั้ว อ.ตากฟ้า จ.นครสวรรค์
ขอบคุณ : http://horo.teenee.com/spell/328.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 27, 2020, 07:18:02 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
 :25: :25: :25:

พระไตรปิฎก บาลี (สยามรัฐ) เล่มที่ ๒๗ สุตฺตนฺตปิฏเก ขุทฺทกนิกายสฺส ชาตกํ ภาค ๑:เอก-จตฺตาลีสนิปาตชาตกํ

๖. กากชาตกํ

[๑๔๖]  อปิ นุ หนุกา สนฺตา มุขญฺจ ปริสุสฺสติ ฯ
         โอรมาม น ปาเรม ปูรเตว มโหทธีติ ฯ

               กากชาตกํ ฉฏฺฐํ ฯ


๓ - ม. สมุทฺทกากชาตกํ ฯ
ที่มา : https://etipitaka.com/compare/thai/pali/27/48/?keywords=กากชาดก


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๗  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๙ ขุททกนิกาย ชาดก ภาค .๑

๖. กากชาดก ว่าด้วยกาวิดน้ำด้วยปาก

[๑๔๖] เออก็คางของเราเมื่อยล้าแล้ว และปากของเราก็ซูบซีด เราพากันเลิกเถอะ อย่าวิดเลย เพราะมหาสมุทรก็ยังเต็มอยู่ตามเดิม.

         จบ กากชาดกที่ ๖.


ที่มา : http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=27&A=965&Z=969


พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑.

๖. กากชาดก (๑๔๖) ว่าด้วยกาวิดน้ำด้วยจะงอยปาก

(ฝูงกาปรึกษากันแล้วพูดว่าไม่สามารถจะทำทะเลให้แห้งได้ จึงกล่าวว่า)
[๑๔๖] คางของพวกเราล้าแล้วหนอ ปากก็ซีดเซียว พวกเราพากันวิดอยู่ ก็ไม่อาจทำให้น้ำแห้งได้ ห้วงน้ำใหญ่ก็ยังคงเต็มอยู่เช่นเดิม

        กากชาดกที่ ๖ จบ


ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๗ หน้า : ๕๙
http://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=27&siri=146


 st12 st12 st12

อรรถกถา กากชาดก ว่าด้วย กาวิดน้ำด้วยปาก

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุแก่ๆ หลายรูปด้วยกัน ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อปิ นุ หนุกา สนฺตา ดังนี้.

ได้ยินว่า ภิกษุเหล่านั้น ครั้งเป็นคฤหัสถ์ เป็นกุฏุมพีในเมืองสาวัตถี มั่งมีทรัพย์ เป็นสหายกัน ทำบุญร่วมกัน ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว พากันดำริว่า พวกเราเป็นคนแก่ จะมีประโยชน์อะไรแก่พวกเราด้วยการอยู่ครองเรือน พวกเราจักบวชในพระพุทธศาสนาอันเป็นที่น่ายินดี ในสำนักของพระศาสดา จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ ดังนี้

แล้วต่างยกสมบัติทั้งปวงให้แก่ลูกหลานเป็นต้น ละหมู่ญาติผู้มีน้ำตานองหน้าเสีย ทูลขอบรรพชากะพระศาสดา และครั้นบวชแล้ว มิได้ชักชวนกันบำเพ็ญสมณธรรม อันสมควรแก่บรรพชา แม้พระธรรมก็ไม่ศึกษา เพราะความเป็นคนแก่ ถึงจะบวชแล้ว ก็เหมือนในครั้งที่ยังเป็นคฤหัสถ์ ให้คนสร้างบรรณศาลาไว้ท้ายวิหาร คงรวมกันอยู่นั่นแล แม้เมื่อเที่ยวบิณฑบาตก็ไม่ไปที่อื่น โดยมากชวนกันไปฉันที่บ้านบุตรภรรยาของตนนั่นแหละ

ในบรรดาคนเหล่านั้น ภรรยาเก่าของพระเถระแก่รูปหนึ่ง ได้มีอุปการะแก่พระเถระแก่ๆ แม้ทั้งปวง เหตุนั้น แม้พระเถระที่เหลือต่างก็ถืออาหารที่ตนได้ มานั่งฉันในเรือนของของนางเพียงผู้เดียว.

ฝ่ายนางเล่าก็ถวายต้มแกงตามที่ตนจัดไว้ แก่พระเถระเหล่านั้น นางป่วยด้วยอาพาธอย่างหนึ่ง ทำกาละแล้ว.


@@@@@@

ครั้งนั้นพระเถระแก่ๆ เหล่านั้นพากันไปสู่วิหาร กอดคอกัน เที่ยวร้องไห้อยู่ท้ายวิหารว่า อุบาสิกาผู้มีรสมืออร่อย ตายเสียแล้ว ฝ่ายภิกษุทั้งหลายฟังเสียงของพระเถระเหล่านั้นแล้ว ก็มาประชุมกันจากที่ต่างๆ ถามว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เหตุไรพวกท่านจึงร้องไห้ พระเถระเหล่านั้นตอบว่า ภรรยาเก่าแห่งสหายของพวกกระผม ผู้มีรสมืออร่อยตายเสียแล้ว นางมีอุปการะแก่พวกผมยิ่งนัก ทีนี้จักหาที่ไหนได้เหมือนนางเล่า เหตุนี้พวกผมจึงพากันร้องไห้.

ภิกษุทั้งหลายเห็นข้อวิปริตนั้นของพระเถระเหล่านั้นแล้ว พากันยกเรื่องขึ้นสนทนากันในธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ด้วยเหตุชื่อนี้ พระเถระแก่ๆ ทั้งหลายกอดคอกันเที่ยวร้องไห้อยู่แถวท้ายวิหาร พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า

     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร.?
     เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า
     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่ภิกษุเหล่านั้นพากันเที่ยวร้องไห้ เพราะหญิงนั้นตายลง แม้ในครั้งก่อน ภิกษุเหล่านี้อาศัยหญิงนี้ผู้เกิดในกำเนิดกา แล้วตายเสียในสมุทรร่วมคิดกันว่า พวกเราจักวิดน้ำในสมุทร นำนางขึ้นมาให้จงได้ ดังนี้ พากันเพียรพยายาม เพราะได้อาศัยบัณฑิต จึงได้มีชีวิตอยู่ได้
     
@@@@@@

ดังนี้แล้ว ทรงนำเรื่องราวในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นเทวดารักษาสมุทร ครั้งนั้น กาตัวหนึ่งพานางกาผู้ภรรยาของตน เที่ยวแสวงหาเหยื่อได้ไปถึงฝั่งสมุทร กาลนั้นฝูงชนพากันกระทำพลีกรรมแก่พญานาค ด้วยน้ำนม ข้าวปายาส ปลา เนื้อและสุราเป็นต้น แล้วพากันหลีกไป.

ครั้งนั้น กาตัวหนึ่งไปถึงที่พลีกรรม เห็นน้ำนมเป็นต้น ก็พร้อมด้วยนางกากินน้ำนม ข้าวปายาส ปลาและเนื้อเป็นต้น แล้วดื่มสุราเข้าไปมาก กาผัวเมียทั้งคู่ ต่างเมามายสุรา คิดจะเล่นสมุทรกรีฑา เกาะที่ชายหาดทราย หมายใจจะอาบน้ำ ทีนั้นคลื่นลูกหนึ่งซัดมา พาเอานางกาเข้าไปเสียในสมุทร ปลาตัวหนึ่งจึงฮุบนางกานั้น กลืนกินเสีย การ้องไห้รำพันว่า เมียของเราตายเสียแล้ว

ครั้นกามากด้วยกัน ได้ยินเสียงร่ำไห้ของมัน ก็มาประชุมกันถามว่า เจ้าร้องไห้เพราะเหตุไร? มันบอกว่า หญิงสหายของพวกท่านกำลังอาบน้ำอยู่ที่ชายหาด โดนคลื่นซัดไปเสียแล้ว กาเหล่านั้นแม้ทุกตัวก็ร้องเอ็ดอึงเป็นเสียงเดียวกัน ครั้งนั้นฝูงกาเหล่านั้น ได้มีความคิดดังนี้ว่า ขึ้นชื่อว่า น้ำในสมุทรนี้ จะสำคัญกว่าพวกเราหรือ พวกเราช่วยกันวิดน้ำให้แห้ง ค้นเอาหญิงสหายออกมาให้ได้.

กาเหล่านั้นช่วยกันอมน้ำเค็มปากทีเดียว เอาไปบ้วนทิ้งเสียข้างนอก และเมื่อคอแห้งเพราะน้ำเค็มก็พากันขึ้นไปบนบก พวกมันครั้นขาตะไกรล้า ปากซีด ตาแดง ก็อิดโรยไปตามกัน จึงเรียกกันมาปรับทุกข์ว่า ชาวเราเอ๋ย พวกเราพากันอมน้ำจากสมุทรไปทิ้งข้างนอก ที่ที่เราอมน้ำไปแล้ว กลับเต็มไปด้วยน้ำเสียอีก พวกเราคงไม่สามารถทำให้สมุทรแห้งเป็นแน่ ดังนี้แล้ว

     @@@@@@

     กล่าวคาถานี้ ความว่า :-
    "เออหนอ ขาตะไกรของพวกเราล้าเสียแล้ว และปากเล่าก็ซีดเซียว พวกเราพากันวิดอยู่ ไม่ทำให้สมุทรเหือดแห้งได้ ดูเถอะ ห้วงน้ำใหญ่คงเต็มอย่างเดิม" ดังนี้.

     บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปิ นุ หนุกา สนฺตา ความว่า เออ ก็คางของเราเมื่อยล้าแล้ว.
     บทว่า โอรมาม น ปาเรม ความว่า พวกเราพากันอมน้ำจากมหาสมุทร ไปทิ้งตามกำลังของตน ก็ไม่อาจทำให้เหือดแห้งได้ เพราะห้วงน้ำใหญ่คงเต็มเหมือนเดิมนั่นเอง.

     ก็แลครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว กาเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ก็ต่างพูดพร่ำเพ้อมากมายว่า จะงอยปากของนางกานั้น งดงามเห็นปานนี้ ตากลมอย่างนี้ ผิวพรรณทรวดทรงงามระหงอย่างนี้ เสียงเพราะปานนี้ เพราะอาศัยสมุทรผู้เป็นโจรนี้ นางกาของพวกเราหายไปแล้ว เทวดาประจำสมุทร สำแดงรูปน่าสะพึงกลัว ไล่ฝูงกาที่กำลังร้องรำพันพร่ำเพ้ออยู่อย่างนี้ ให้หนีไป ความสวัสดีได้มีแก่ฝูงกานั้นด้วยประการฉะนี้.

     @@@@@@

     พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
     นางกาในครั้งนั้น ได้มาเป็นภรรยาเก่านี้
     กาได้มาเป็นพระเถระแก่ ฝูงกาที่เหลือได้มาเป็นพระเถระแก่ๆ ที่เหลือ
     ส่วนเทวดารักษาสมุทร ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.

           
     อรรถกถา กากชาดก ว่าด้วย กาวิดน้ำด้วยปาก จบ.



ที่มา : http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=146
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ