ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: "เอาพัดตีหัวอุปัชฌาย์" แล้วบรรลุโสดาบัน  (อ่าน 5039 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29302
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


อรรถกถา ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
 
๔. เรื่องพระภาคิไนยสังฆรักขิตเถระ [๒๗]        
       
               ข้อความเบื้องต้น              
               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุชื่อว่าสังฆรักขิต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า “ทูรงฺคมํ เอกจรํ” เป็นต้น.

               พระเถระไม่รับผ้าสาฎกที่พระหลานชายถวาย              
               ดังได้สดับมา กุลบุตรผู้หนึ่งในกรุงสาวัตถี ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้วออกบวช ได้อุปสมบทแล้ว มีนามว่าสังฆรักขิตเถระ โดย ๒-๓ วันเท่านั้น ก็บรรลุพระอรหัตผล.
 
               น้องชายของท่านได้บุตรแล้ว ก็ได้ตั้งชื่อของพระเถระ (แก่บุตรนั้น). เขามีนามว่า ภาคิไนยสังฆรักขิต เจริญวัยแล้ว ได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระเถระ เข้าไปจำพรรษาในวัดใกล้บ้านแห่งใดแห่งหนึ่ง ได้ผ้าวัสสาวาสิกสาฏก ๒ ผืน คือยาว ๗ ศอกผืนหนึ่ง ยาว ๘ ศอกผืนหนึ่ง กำหนดไว้ว่า “ผ้าผืนยาว ๘ ศอกจักเป็นของพระอุปัชฌาย์ของเรา” คิดว่า “ผ้าผืนยาว ๗ ศอกจักเป็นของเรา” ออกพรรษาแล้ว ประสงค์ว่า “จักเยี่ยมพระอุปัชฌาย์” เดินมาพลางเที่ยวบิณฑบาตในระหว่างทาง

               ครั้นมา (ถึง) แล้ว เมื่อพระเถระยังไม่กลับมาสู่วิหารนั่นแล, เข้าไปสู่วิหารแล้วปัดกวาดที่สำหรับพักกลางวันของพระเถระ จัดตั้งน้ำล้างเท้าไว้ ปูอาสนะแล้วนั่งแลดูหนทางเป็นที่มา (แห่งพระเถระ) อยู่.
 
               ครั้นทราบความที่พระเถระมาถึงแล้ว กระทำการต้อนรับ รับบาตรจีวร อาราธนาพระเถระให้นั่ง ด้วยคำว่า “ขอท่านนั่งเถิด ขอรับ” ถือพัดก้านตาลพัดแล้ว ถวายน้ำดื่ม ล้างเท้าทั้งสองแล้ว นำผ้าสาฏกนั้นมาวางไว้ ณ ที่ใกล้เท้าเรียนว่า “ท่านขอรับ ขอท่านจงใช้สอยผ้าสาฏกผืนนี้” ดังนี้แล้ว ได้ยืนพัดอยู่.

               ลำดับนั้น พระเถระกล่าวกะเธอว่า “สังฆรักขิต จีวรของฉันบริบูรณ์, เธอนั่นแล จงใช้สอย.”
               พระสังฆรักขิต. ท่านขอรับ ผ้าสาฏกนี้ กระผมกำหนดไว้เพื่อท่านทีเดียว จำเดิมแต่เวลาที่กระผมได้แล้ว, ขอท่านจงทำการใช้สอยเถิด.

               พระเถระ. ช่างเถอะ สังฆรักขิต จีวรของฉันบริบูรณ์, เธอนั่นแลจงใช้สอยเถิด.
               พระสังฆรักขิต. ท่านขอรับ ขอท่านอย่าทำอย่างนั้นเลย (เพราะ) เมื่อท่านใช้สอยผ้าสาฏกนี้ ผลมากจักมีแก่กระผม.

              พระหลานชายนึกถึงฆราวาสวิสัย               
               ลำดับนั้น เมื่อพระสังฆรักขิตนั้น แม้กล่าว (วิงวอน) อยู่แล้วๆ เล่าๆ, พระเถระก็ไม่ปรารถนาผ้าสาฏกผืนนั้น. เธอยืนพัดอยู่ พลางคิดอย่างนี้ว่า “ในเวลาเป็นคฤหัสถ์ เราเป็นหลานของพระเถระ, ในเวลาบวชแล้ว เราก็เป็นสัทธิวิหาริก (ของท่าน), แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น พระอุปัชฌาย์ก็ไม่ประสงค์ทำการใช้สอยร่วมกับเรา, เมื่อพระอุปัชฌาย์นี้ไม่ทำการร่วมใช้สอยกับเรา, เราจะต้องการอะไรด้วยความเป็นสมณะ, เราจักเป็นคฤหัสถ์ (ดีกว่า).”

               ขณะนั้น เธอได้มีความคิดเห็นว่า “การครองเรือน ตั้งตัวได้ยาก, เราจักขายผ้าสาฏกผืนยาว ๘ ศอกแล้ว ซื้อแม่แพะ (มา) ตัวหนึ่ง, ธรรมดาแม่แพะย่อมตกลูกเร็ว เรานั้นจะขายลูกแพะที่ตกแล้วๆ ทำให้เป็นต้นทุน, ครั้นรวมต้นทุนได้มากแล้ว จักนำหญิงคนหนึ่งมาเป็นภริยา, นางจักคลอดบุตรคนหนึ่ง

เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจักตั้งชื่อหลวงลุงของเราแก่บุตรนั้น แล้วให้นั่งในยานน้อยพาบุตรและภริยาของเรามาไหว้หลวงลุง, เมื่อเดินมา จั


พูดกะภริยาของเราในระหว่างทางว่า ‘หล่อนจงนำบุตรมาแก่เราก่อน, เราจักนำ (อุ้ม) เขาไป.’ หล่อนจักพูดว่า ‘เธอจะต้องการอะไรด้วยบุตร, เธอจงมา จงขับยานน้อยนี้ไป’, แล้วรับเอาบุตรไป ตั้งใจว่า ‘เราจักนำเขาไป’, เมื่อไม่อาจอุ้มไปได้ จักทิ้งไว้ที่รอยล้อ, เมื่อเป็นเช่นนั้น ล้อจักทับสรีระของเขาไป, ลำดับนั้น เราจะพูดกะหล่อนว่า

‘หล่อนไม่ได้ให้บุตรของฉันแก่ฉันเอง. หล่อนไม่สามารถอุ้มบุตรนั้นไปได้, บุตรนั้นย่อมเป็นผู้อันเจ้าให้ฉิบหายเสียแล้ว, จักเอาด้ามปฏักตีหลัง (ภริยา).”



               พระเถระถูกพระหลานชายตี               
               พระหลานชายนั้น คิดอยู่อย่างนั้น พลางยืนพัดอยู่เทียว เอาพัดก้านตาลตีศีรษะพระเถระแล้ว.
               พระเถระใคร่ครวญอยู่ว่า “เพราะเหตุไรหนอแล? เราจึงถูกสังฆรักขิตตีศีรษะ”, ทราบเรื่องที่พระหลานชายนั้นคิดแล้วๆ ทั้งหมด, จึงพูดว่า “สังฆรักขิต เธอไม่ได้อาจจะให้ประหารมาตุคาม, ในเรื่องนี้พระเถระผู้แก่มีโทษอะไรเล่า?”

               เธอคิดว่า “ตายจริง เราฉิบหายแล้ว, นัยว่าพระอุปัชฌาย์รู้เรื่องที่เราคิดแล้วๆ, เราจะต้องการอะไรด้วยความเป็นสมณะ” ดังนี้แล้ว จึงทิ้งพัดก้านตาล ปรารภเพื่อจะหนีไป.


               พระศาสดาตรัสถามเหตุที่เกิดขึ้น              
               ลำดับนั้น ภิกษุหนุ่มและสามเณรทั้งหลาย ไล่ตามจับภิกษุนั้นพามายังสำนักพระศาสดา. พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นภิกษุเหล่านั้นแล้ว ตรัสถามว่า “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอมาทำไมกัน?” พวกเธอได้ภิกษุรูปหนึ่งหรือ?”

               พวกภิกษุ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า พวกข้าพระองค์พาภิกษุหนุ่มรูปนี้ ซึ่งกระสัน (จะสึก) แล้วหลบหนี มายังสำนักพระองค์.

               พระศาสดา. ได้ยินว่า อย่างนั้นหรือ? ภิกษุ.
               พระสังฆรักขิต. อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
               พระศาสดา. ภิกษุ เธอทำกรรมหนักอย่างนั้น เพื่ออะไร? เธอเป็นบุตรของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ผู้ปรารภความเพียร บวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้เช่นเรามิใช่หรือ? ไม่ได้อาจให้เขาเรียกตนว่า ‘พระโสดาบัน’ ‘พระสกทาคามี’ ‘พระอนาคามี’ หรือ ‘พระอรหันต์’, ได้ทำกรรมหนักอย่างนั้นเพื่ออะไร?


               พระสังฆรักขิต. ข้าพระองค์กระสัน (จะสึก) พระเจ้าข้า.
               พระศาสดา. เพราะเหตุไร? เธอจึงกระสัน (จะสึก).
               พระสังฆรักขิตนั้นกราบทูลเรื่องนั้นทั้งหมดแด่พระศาสดา จำเดิมแต่วันที่ตนได้ผ้าวัสสาวาสิกสาฏก จนถึงเอาพัดก้านตาลตีพระเถระแล้ว กราบทูลว่า “เพราะเหตุนี้ ข้าพระองค์จึง (คิด) หลบหนีไป พระเจ้าข้า.”

               สำรวมจิตเป็นเหตุให้พ้นเครื่องผูกของมาร              
               ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะเธอว่า “มาเถิดภิกษุ เธออย่าคิดไปเลย, ธรรมดาจิตนี่มีหน้าที่รับอารมณ์ แม้มีอยู่ในที่ไกล, ควรที่ภิกษุจักพยายามเพื่อประโยชน์แก่การพ้นจากเครื่องผูก คือราคะ โทสะ โมหะ”
               ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า
                        ๔.    ทูรงฺคมํ เอกจรํ                   อสรีรํ คุหาสยํ
                            เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ    โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา.
                            ชนเหล่าใด จักสำรวมจิต อันไปในที่ไกล เที่ยวไป
                            ดวงเดียว ไม่มีสรีระ มีถ้ำเป็นที่อาศัย ชนเหล่านั้น
                            จะพ้นจากเครื่องผูกแห่งมาร.



               แก้อรรถ               
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทูรงฺคมํ เป็นต้น (พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้)
               ก็ชื่อว่าการไปและการมาของจิต โดยส่วนแห่งทิศมีทิศบูรพาเป็นต้น แม้ประมาณเท่าใยแมลงมุม ย่อมไม่มี, จิตนั้นย่อมรับอารมณ์ แม้มีอยู่ในที่ไกล เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า ทูรงฺคมํ.


               อนึ่ง จิต ๗-๘ ดวง ชื่อว่าสามารถเกิดขึ้นเนื่องเป็นช่อโดยความรวมกันในขณะเดียว ย่อมไม่มี, ในกาลเป็นที่เกิดขึ้น จิตย่อมเกิดขึ้นทีละดวงๆ, เมื่อจิตดวงนั้นดับแล้ว, จิตดวงใหม่ก็เกิดขึ้นทีละดวงอีก เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า เอกจรํ.

               สรีรสัณฐานก็ดี ประเภทแห่งสีมีสีเขียวเป็นต้นเป็นประการก็ดี ของจิต ย่อมไม่มี เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อสรีรํ.
               ถ้ำคือมหาภูต ๔#- ชื่อว่า คูหา, ก็จิตนี้อาศัยหทัยรูปเป็นไปอยู่ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า คุหาสยํ.

____________________________
#- มหาภูต ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม.

               สองบทว่า เย จิตฺตํ ความว่า ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง คือเป็นบุรุษหรือสตรี เป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิต เมื่อไม่ให้กิเลสที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ละกิเลสที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะความฟั่นเฟือนแห่งสติ ชื่อว่าจักสำรวมจิต คือจักทำจิตให้สงบ ได้แก่ไม่ให้ฟุ้งซ่าน.
 
               บาทพระคาถาว่า โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา ความว่า ชนเหล่านั้นทั้งหมด ชื่อว่าจักพ้นจากวัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ ๓ อันนับว่าเป็นเครื่องผูกแห่งมาร เพราะไม่มีเครื่องผูกคือกิเลส.

              ในกาลจบเทศนา พระภาคิไนยสังฆรักขิตเถระบรรลุโสดาปัตติผลแล้ว. ชนแม้เหล่าอื่นเป็นอันมาก ได้เป็นอริยบุคคลมีพระโสดาบันเป็นต้นแล้ว. เทศนาได้สำเร็จประโยชน์แก่มหาชน ดังนี้แล.

               เรื่องพระภาคิไนยสังฆรักขิตเถระ จบ.

         
     
ที่มา  http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=13&p=4



พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
คาถาธรรมบท จิตตวรรคที่ ๓


     [๑๓] นักปราชญ์ย่อมทำจิตที่ดิ้นรน กลับกลอกรักษาได้โดยยาก ห้ามได้โดยยาก ให้ตรง ดังช่างศรดัดลูกศรให้ตรง

    ฉะนั้น จิตนี้อันพระโยคาวจรยกขึ้นแล้วจากอาลัย คือ เบญจกาม คุณเพียงดังน้ำ ซัดไปในวิปัสสนากรรมฐานเพียงดังบก เพื่อจะละบ่วงมาร ย่อมดิ้นรน ดุจปลาอันชาวประมง ยกขึ้นแล้วจากที่อยู่ คือ น้ำโยนไปแล้วบนบก ดิ้นรนอยู่
 
     ฉะนั้น การฝึกฝนจิตที่ข่มได้ยาก อันเร็ว มีปรกติตกไปในอารมณ์ อันบุคคลพึงใคร่อย่างไร เป็นความดี เพราะว่าจิตที่บุคคล ฝึกดีแล้วนำสุขมาให้ นักปราชญ์พึงรักษาจิตที่เห็นได้แสนยาก ละเอียดอ่อน มีปกติตกไปตามความใคร่  เพราะว่าจิตที่บุคคลคุ้มครองแล้วนำสุขมาให้

    ชนเหล่าใดจักสำรวมจิตอันไปในที่ไกล ดวงเดียวเที่ยวไป หาสรีระมิได้ มีถ้ำเป็นที่อยู่อาศัย ชนเหล่านั้นจะพ้นจากเครื่องผูกแห่งมาร
                         
    ปัญญาย่อมไม่บริบูรณ์แก่บุคคลผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น ไม่รู้แจ่มแจ้งซึ่งพระสัทธรรม มีความเลื่อมใสอันเลื่อนลอย ภัยย่อมไม่มีแก่พระขีณาสพ ผู้มีจิตอันราคะไม่รั่วรด ผู้มีใจอันโทสะไม่ตามกระทบแล้ว
                         
    ผู้มีบุญและบาปอันละได้แล้ว ผู้ตื่นอยู่ กุลบุตรทราบกายนี้ว่า
    เปรียญด้วยหม้อแล้ว พึงกั้นจิตนี้ให้เปรียบเหมือนนคร พึงรบมารด้วยอาวุธ คือ ปัญญา

 
    อนึ่ง พึงรักษาตรุณวิปัสสนาที่ตนชนะแล้ว และไม่พึงห่วงใย กายนี้อันบุคคลทิ้งแล้ว มีวิญญาณปราศแล้วไม่นานหนอจักนอนทับแผ่นดิน ประดุจท่อนไม้ไม่มีประโยชน์โจรหัวโจกเห็นโจรหัวโจก ก็หรือคนมีเวรเห็นคนผู้คู่เวรกันพึงทำความฉิบหาย และความทุกข์ใดให้จิตที่บุคคลตั้งไว้ผิด พึงทำบุคคลนั้นให้เลวยิ่งกว่าความฉิบหาย

    และความทุกข์นั้นมารดาบิดาไม่พึงทำเหตุนั้นได้ หรือแม้ญาติเหล่าอื่นก็ไม่พึงทำเหตุนั้นได้ จิตที่บุคคลตั้งไว้ชอบแล้ว พึงทำเขาให้ประเสริฐกว่าเหตุนั้น ฯ

    จบจิตตวรรคที่ ๓


ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=366&Z=394
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 15, 2012, 07:57:22 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

tcarisa

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +9/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 524
  • ก้าวน้อย แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: "เอาพัดตีหัวอุปัชฌาย์" แล้วบรรลุโสดาบัน
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มกราคม 26, 2011, 12:51:44 pm »
0
อ้างถึง
               พระเถระถูกพระหลานชายตี               
               พระหลานชายนั้น คิดอยู่อย่างนั้น พลางยืนพัดอยู่เทียว เอาพัดก้านตาลตีศีรษะพระเถระแล้ว.
               พระเถระใคร่ครวญอยู่ว่า “เพราะเหตุไรหนอแล? เราจึงถูกสังฆรักขิตตีศีรษะ”, ทราบเรื่องที่พระหลานชายนั้นคิดแล้วๆ ทั้งหมด, จึงพูดว่า “สังฆรักขิต เธอไม่ได้อาจจะให้ประหารมาตุคาม, ในเรื่องนี้พระเถระผู้แก่มีโทษอะไรเล่า?”


เรื่องนี้เป็นตัวอย่าง ของเรื่องจิตนำไป จนทำให้ใจตกอยู่ภายใต้ความไม่รู้ จึงต้องสร้างกรรมออกมาในรูปแบบต่าง ๆ เพราะอำนาจจิตที่ส่งออกขาด สติเป็นเครื่องรั้ง มีใครเคยเผลอตามใจกิเลสของตน จนนำมาซึ่งความทุกข์หลากเรื่องหรือป่าวคะ

อนุโมทนากับเรื่องนี้คะ
 :25:
บันทึกการเข้า
เราเป็นหน่ออ่อน ที่รอการเติบโต
จึงขอสั่งสมบารมีธรรม เพื่อพระนิพพาน

prachabeodee

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 135
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: "เอาพัดตีหัวอุปัชฌาย์" แล้วบรรลุโสดาบัน
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มกราคม 26, 2011, 08:22:06 pm »
0
แหม...ถ้าป้าถูกตีหัวแล้วบรรลุธรรมได้กับเขามั่ง...ป้าก็เต็มใจให้ตี....(หลายๆทีก็ได้น๊ะ)....
.....นี่ป้าก็เคยโดนหลวงพ่อคูณโขกหัวมาหลายครั้งแล้ว...ป้าก็ยังโง่เง่า...เหมียนเดิม....
            :hee20hee20hee: :hee20hee20hee: :hee20hee20hee: :hee20hee20hee:
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29302
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: "เอาพัดตีหัวอุปัชฌาย์" แล้วบรรลุโสดาบัน
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2012, 07:56:41 pm »
0

   
   กระทู้แนะนำ
   ตาลปัด ที่พระใช้กันนั้น มีความสำคัญอย่างไร คะ จำเป็นหรือไม่คะ
   http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=7622.msg28050;topicseen#new
   ตาล ที่มาของ "ตาลปัตร"
   http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=727.msg28051;topicseen#new

    :49:
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ