ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: "ศานติเทวะ" อาจารย์สอนพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา  (อ่าน 1236 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
ศานติเทวะ เป็นอาจารย์สอนพุทธศาสนาที่มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา ประเทศอินเดีย กล่าวกันว่าชีวิตของท่านเริ่มต้นด้วยการเป็นเจ้าชาย ประสูติในเบงกอล (Bengal)


"ศานติเทวะ" อาจารย์สอนพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา

ประวัติของอาจารย์ ศานติเทวะ (Shantideva)

เกิดเมื่อ : พ.ศ. 1228, ประเทศอินเดีย
เสียชีวิตเมื่อ : พ.ศ. 1306, ประเทศอินเดีย
ได้รับอิทธิพลจาก : พระโคตมพุทธเจ้า, นาคารชุนะ, จันทรกีรติ

ศานติเทวะ เป็นปราชญ์ชาวอินเดีย กวีและผู้แต่ง โพธิจรรยาอวตาร ว่าด้วยการปฏิบัติของพระโพธิสัตว์สิบบท ศานติเทวะมีวรรณะพราหมณ์ประวัติของอาจารย์ ศานติเทวะ

ศานติเทวะ เป็นอาจารย์สอนพุทธศาสนาที่มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา ประเทศอินเดีย กล่าวกันว่าชีวิตของท่านเริ่มต้นด้วยการเป็นเจ้าชาย ประสูติในเบงกอล (Bengal)


@@@@@@@

แต่ต่อมาได้สละราชสมบัติและเริ่มออกแสวงหาคุรุทางจิตจิตวิญญาณ ได้เรียนรู้ศึกษาจากคุรุหลายท่าน จนในที่สุดก็ได้มาศึกษา ปฏิบัติ เรียนรู้ศาสตร์ทั้งหลายอย่างสมบูรณ์ที่มหาวิทยาลัยนาลันทาซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่ดังทีสุดในยุคนั้น เล่ากันต่อว่าอาจารย์ศานติเทวะได้บรรลุธรรมแล้ว โดยได้ร่ำเรียนถ่ายทอดวิชาโดยตรงจากพระโพธิสัตต์ซึ่งจะมาสอนในตอนกลางคืน และด้วยเหตุที่อาจารย์ศานติเทวะดำเนินชีวิตอย่างสมถะและถ่อมตัวที่สุด

ดังนั้นจึงไม่มีใครสนใจและไม่มีใครเห็นว่าอาจารย์ศานติเทวะเป็นบุคคลพิเศษที่บรรลุธรรมแล้วคนอื่น ๆ ในมหาวิทยาลัยนาลันทาต่างพากันคิดว่า ศานติเทวะเป็นคนต่ำต้อย ไร้ค่า ไม่ทำตัวให้เกิดประโยชน์ อันใดต่อมหาวิทยาลัยสงฆ์เลย มีแต่จะทำให้อาหารของสงฆ์สิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์เท่านั้น

จนกระทั่งพระสงฆ์เหล่านั้นได้มาประชุมกันและเห็นพ้องต้องกันว่า ” อาหารและปัจจัยของหมู่สงฆ์ต้องถูกจัดการเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด แตะพระรูปนี้(หมายถึงพระอาจารย์ศานติเทวะ) กลับทำตัวไร้ค่ามีแต่กินและนอนเท่านั้น แสดงว่าพระรูปนี้ต้องสะสมกรรมชั่วมานาน และกำลังจะเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อผู้อื่น ดังนั้นเราต้องหาทางกำจัดเขาให้ออกไปจากมหาวิทยาลัยสงฆ์ของเรา”

ในทุกๆเดือนที่มีการประชุมสงฆ์ครั้งใหญ่ ที่เหล่าอาจารย์จะต้องมาอ่านพระสูตรและแสดงธรรม ด้วยความไม่รู้ที่ว่าแท้จริงแล้วอาจารย์ศานติเทวะได้บรรลุธรรมแล้ว เนื่องจากลักษณะภายนอกที่ดูต่ำต้อยที่ท่านแสดงออก สงฆ์เหล่านั้นจึงวางแผนกันว่าจะนิมนต์ให้ศานติเทวะขึ้นอ่านพระสูตรและแสดงธรรม ซึ่งเชื่อว่าอาจารยืศานติเทวะจะต้องทำไม่ได้ และจะต้องรุ้สึกอับอายเป็นอย่างมาก สุดท้ายต้องออกไปจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้

@@@@@@@

จากการที่เหล่าสงฆ์ได้ร่วมกันวางแผนที่จะกลั่นแกล้งอาจารย์ศานติเทวะให้ได้รับความอับอาย ด้วยการนิมนต์ให้ท่านขึ้นมาอ่านพระสูตรและแสดงธรรม และเพื่อจะทำให้อาจารย์ศานติเทวะรู้สึกอับอายมากขึ้น สงฆ์เหล่านั้นก็จงใจตั้งธรรมาสน์ให้สูง แล้วนิมนต์อาจารย์ศานติเทวะขึ้นนั่งแสดงธรรม ซึ่งท่านก็ตอบรับคำนิมนต์นั้น

แต่ทันทีที่ท่านเอื้อมมือไปแตะธรรมมาสน์นั่นเอง ธรรมาสน์ที่เคยสูงก็กลับค่อย ๆ เลื่อนลดต่ำลงมาให้อาจารย์ศานติเทวะขึ้นนั่งได้อย่างสะดวก แล้วก็หันกลับไปถามเหล่าสงฆ์ว่า
    ”พวกท่านต้องการจะฟังพระสูตรที่มีอยู่แล้ว หรือ จะฟังอะไรใหม่ๆ“

เหล่าสงฆ์พากันประหลาดใจอย่างมาก แต่ด้วยความเชื่อที่ว่าอาจารย์ศานติเทวะไม่มีความรู้ใด ๆ จึงพากันขอให้ท่านแสดงอรรถกถาของตัวท่านเอง และนี่คือจุดเริ่มต้นของคำสอนใน”โพธิสัตตวจรรยาวตาร” และเมื่อท่านแสดงจนถึงบทที่ว่าด้วยปัญญา ตัวท่านก็ลอยสูงขึ้น สูงขึ้นไปในอากาศจนกระทั่งหายลับไป เมื่อเหล่าสงฆ์ได้ฟังคำสอนเรื่อง “โพธิสัตตวจรรยาวตาร” ก็รู้สึกเสียใจที่คิดและแสดงพฤติกรรมที่ไม่ดีต่ออาจารย์ศานติเทวะ จึงพากันออกตามหาท่านแต่ก็ล้มเหลว

จนกระทั่งก็มีผู้ไปพบอาจารย์ศานติเทวะบำเพ็ญเพียรอยู่บนภูเขาลูกหนึ่ง ผู้คนและคณะสงฆ์ที่ออกตามหาก้พากันไปเฝ้าดู และสังเกตุเห็นว่ามีกวางตัวหนึ่งเดินหายเข้าไปในถ้ำที่อาจารย์ศานติเทวะพำนักอยู่ โดยไม่กลับออกมาอีกเลย ทุกคนจึงพากันคิดว่าอาจารย์ศานติเทวะต้องฆ่ากวางเพื่อเอาเนื้อมากินแน่ จึงพากันเดินขึ้นไปบนถ้ำเพื่อจะเข้าไปทำร้ายท่าน แต่เมื่อถึงปากทางเข้าถ้ำ ปรากฎว่ามีกวางจำนวนมากมายตบแต่งด้วยเครื่องประดับอันสวยงามพากันเดินออกมาจากถ้ำโดยมีอาจารย์ศานติเทวะเดินตามมารั้งท้าย

@@@@@@@

แท้ที่จริงแล้ว การที่กวางเหล่านั้นหายเข้าไปในถ้ำเป็นเวลานาน ๆ ก้เพื่อไปฟังธรรมจากอาจารย์ศานติเทวะนั่นเอง เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ผู้คนทั้งหลายและเหล่าสงฆ์ต่างก็รู้สึกละอายใจ และพากันไปสารภาพผิดต่ออาจารย์ศานติเทวะและขอให้อาจารย์ศานติเทวะเมตตาถ่ายทอดธรรมให้นับตั้งแต่นั้นมา

สำหรับคำสอนในเรื่อง โพธิสัตตวจรรยาวตาร ของอาจารย์ศานติเทวะนี้ ได้รับการถ่ายทอดสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันโดยเฉพาะคำสอนในเรื่องการสอนโพธิจิต อันเป็นรากฐานที่สำคัญสู่เส้นทางเดินแห่งโพธิสัตตมรรค ถึงยุคสมัยก่อนนั้น ไม่เคยมีใครได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย

อย่างไรก็ตามคำสอนโพธิสัตตวจรรยาวตารก็มิใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นส่วนหนึ่งของคำสอนของพระพุทธองค์เช่นเดียวกัน เพียงแต่โพธิสัตตวจรรยาวตารนี้เป็นอรรถกถาอาจารย์ศานติเทวะตามความรู้และการปฏิบัติตามที่ท่านได้ทำมา

ในบทนำของโพธิสัตตวจรรยาวตาร อาจารย์ศานติเทวะกล่าวไว้ว่า
    ”อรรถกถาเหล่านี้อาจจะไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น แต่อย่างน้อยที่สุดอรรถกถาเหล่านี้เอื้อประโยชน์อย่างสูงต่อตัวอาตมา และสารธารแห่งจิตของอาตมา”

การที่อาจารย์ศานติเทวะกล่าวเช่นนี้เป็นการสะท้อนให้เห็นวิถีแห่งอาจารย์เชิงพุทธธิเบตที่จะพยายามลดทิฐิมานะ ยึดมั่นในอัตตาตัวตนของตนเองออกเสียและยกย่องผู้อื่นด้วยความนอบน้อมถ่อมตนเพื่อเป็นหนทางในการช่วยขจัดทิฐิมานะหยิ่งทะนงในอัตตาตัวตนออกไปเสีย




ขอบคุณที่มา : https://shantideva.net/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 08, 2021, 06:02:37 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0





โพธิจรรยาวตารของศานติเทวะ

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

๑. สรรพสัตว์ทั้งหลายได้ทำการหยุดยั้งความทุกข์ในอบายภูมิไว้ด้วยดีแล้ว ข้าพเจ้าขออนุโมทนาด้วยความบันเทิงยินดีปรีดายิ่งขอความทุกข์ทั้งหลายจงสำเร็จผลเป็นความสุขเถิด

๒. ข้าพเจ้าย่อมอนุโมทนาต่อความหลุดพ้นจากทุกข์ในวัฏสงสาร ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งขออนุโมทนาการตรัสรู้เป็นพระโพธิสัตว์ของสัตว์ผู้ได้รับการช่วยเหลือเหล่านั้น

๓. ข้าพเจ้าขออนุโมทนาต่อมหาสมุทร คือ จิตโตตปาท ต่อคุณอันเป็นเหตุนำสุขมาให้แก่ สรรพสัตว์ต่อการบำเพ็ญประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์และต่อพระผู้สอนทั้งหลาย

๔. ข้าพเจ้าขอน้อมอัญชลีอ้อนวอนขอร้องต่อพระสัมพุทธเจ้าทั้งหลายในทิศทั้งมวล ขอพระองค์ทั้งหลายโปรดสร้างธรรมประทีปให้เกิดขึ้นแก่สรรพสัตว์ผู้ตกอยู่บนกองทุกข์ทั้งปวงเพราะความสับสนหลงตนอยู่

๕. ข้าพเจ้าขอประนมอัญชลีอ้อนวอนพระชินเจ้าผู้ใคร่จะบรรลุพระนิพพานทั้งหลาย ขอพระองค์ทั้งหลายจงดำรงคงมั่นอยู่ตลอดกาลกัลป์ชั่วนิรันดร์เถิด ขอโลกนี้อย่าเป็นโลกแห่งความมืดบอดเสีย

๖. เมื่อได้กระทำการทุกสิ่งสรรพเช่นนี้แล้ว ข้าพเจ้าได้บรรลุถึงคุณงามความดีใด ขอความทุกข์ทั้งมวลของสัตว์ทั้งปวงพึงถูกคุณงามความดีนั้นทำลายให้สิ้นซากด้วยเถิด

๗. ข้าพเจ้าพึงเป็นยารักษาโรค ทั้งขอเป็นเภสัชกรและแพทย์ เป็นผู้คอยปรนนิบัติรับใช้คนเจ็บไข้ได้ป่วยเหล่านั้นจนกระทั่งโรคไม่สามารถกำเริบเกิดขึ้นได้อีก

๘. ขอให้ข้าพเจ้าได้กำจัดความทุกข์ทรมานที่เกิดจากความหิวกระหายอยาก ด้วยเม็ดฝนที่รั่วรดตกเป็นข้าวและน้ำทั้งหลายขอให้ข้าพเจ้าพึงเป็นน้ำดื่มและโภชนาหาร ในเวลาระหว่างกัลป์อันเกิดทุพภิกขภัยขึ้น

๙. ขอให้ข้าพเจ้าพึงเป็นขุมทรัพย์ที่ไม่หมดสิ้นแก่เหล่าสัตว์ผู้ยากจนขัดสนทั้งหลาย และขอให้ข้าพเจ้าพึงดำรงคงอยู่ในที่ใกล้เคียง (พวกเขา) โดยประการที่สามารถจะทำการส่งเสริมช่วยเหลือต่างๆได้

๑๐. ข้าพเจ้านั้นขอสละชีวิตอุทิศกายตนโภคสมบัติและคุณงามความดี ที่ได้บำเพ็ญมาตลอดทั้ง ๓ กาล เพื่อให้สำเร็จประโยชน์แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายโดยไม่ห่วงหาอาลัยอยาก

๑๑. การสลัดทิ้งสิ่งทั้งปวงนี้ คือ พระนิพพาน ทั้งจิตของข้าพเจ้าเองก็แสวงหาต้องการพระนิพพานเช่นกัน ถ้าหากข้าพเจ้าพึงสละทิ้งสิ่งทั้งมวลไซร้ สรรพสิ่งทั้งหมดนั้นย่อมเป็นสิ่งประเสริฐที่ควรให้แก่สัตว์ทั้งหลาย

@@@@@@@

๑๒. เมื่อข้าพเจ้าได้มอบร่างกายนี้เพื่อความสุขแห่งสรรพสัตว์ทั้งหลายแล้ว พวกเขาจะทุบตีหรือนินทาว่าร้าย ทั้งจะโปรยเกลี่ยเป็นเศษดินสิ่งไร้ค่าตลอดนิตย์นิรันดร์กาล (ก็ตามเถิด)

๑๓. ขอให้พวกเขาจงหยอกเล่นกับกายของข้าพเจ้า ทั้งขอให้ได้หัวเราะเยอะเย้ยและตลกขบขันข้าพเจ้าได้มอบกายถวายตนแก่พวกเขาแล้ว จะมีประโยชน์อะไรแก่ข้าพเจ้าที่จะต้องคิดถึงความทุกข์ทรมาน (อันเกิดจากการกระทำเช่นนั้น) อีกเล่า

๑๔. และขอให้พวกเขาจงกระทำกรรมทั้งหลาย อันเป็นสิ่งนำความสุขมาให้แก่พวกเขา ขอความทุกข์ทรมานอย่าพึงมีแก่ใครๆเพราะได้อาศัยข้าพเจ้าในกาลบางคราวด้วยเถิด

๑๕. เมื่อได้พึ่งพาอาศัยข้าพเจ้าแล้ว ขออารมณ์ความรู้สึกนึกคิด คือความโกรธและความเลื่อมใส ศรัทธาพึงเกิดมีแก่พวกเขา และขอความรู้สึกนึกคิดนั้นพึงเป็นเหตุปัจจัยให้สำเร็จประโยชน์ แก่พวกเขาเหล่านั้นทั้งหมดตลอดกาลเป็นนิตย์เถิด

๑๖. ชนเหล่าใดย่อมประทุษร้ายข้าพเจ้า ทั้งพูดจาใส่ร้ายป้ายสีและประพฤติหัวเราะเยอะเย้ย ข้าพเจ้าขอให้เขาเหล่านั้นทั้งหมดพึงเป็นผู้มีส่วนแห่งการตรัสรู้ภูมิธรรมด้วยเถิด

๑๗. ขอให้ข้าพเจ้าพึงเป็นที่พึ่งแก่คนอนาถาขาดแหล่งพึ่งพิงทั้งหลาย และเป็นสารถีผู้ชี้ทางแก่นักเดินทางทั้งหลายทั้งขอให้เป็นเรือเป็นสะพานและเป็นทางผ่านแก่คนผู้ปรารถนาจะข้ามฝั่ง(คือพระนิพพาน) ตลอดไป

๑๘. สำหรับสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอให้ข้าพเจ้าพึงเป็นประทีปแก่ผู้ปรารถนาแสงสว่างสาดส่องเป็นเตียงตั่งแก่ผู้ปรารถนาจะนั่งนอนและเป็นทาสาบ่าวรับใช้แก่ผู้ปรารถนาทาสรับใช้

๑๙. ขอให้ข้าพเจ้าพึงเป็นแก้วจินดามณีสีสวยสด เป็นหม้อประเสริฐเลิศวิเศษ เป็นเวทมนตร์ทรงพลังอันศักดิ์สิทธ์ และเป็นยาสากลคงความยิ่งใหญ่ ขอให้เป็นต้นกัลปพฤกษ์และแม่โคนมคงความอุดมสมบูรณ์แก่สัตว์ทั้งหลาย

๒๐. เช่นเดียวกับธาตุทั้งหลายมีปฐวีธาตุเป็นต้น ได้บังเกิดเป็นเครื่องบริโภคใช้สอยชนิดต่าง ๆของเหล่าสัตว์อันหาประมาณมิได้ที่อาศัยอยู่ในสากลจักรวาลทั้งสิ้น

๒๑. ดังนั้น ขอให้ข้าพเจ้าพึงเป็นอุปกรณ์เครื่องค้ำจุนสนับสนุน หมู่สัตว์ผู้ดำรงชีพอาศัยอยู่ในอากาศธาตุทั้งมวลตราบจนสรรพสัตว์ทั้งหลายจะไม่พึงไว้เนื้อเชื่อใจ (ข้าพเจ้า)

๒๒. เหมือนดั่งที่พระสุคตเจ้าในกาลเก่าก่อนทั้งหลาย ได้ทรงยึดมั่นถือเอาซึ่งโพธิจิตไว้แล้ว ในขณะเดียวกัน ขอให้สัตว์เหล่านั้นพึงยึดมั่นปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระโพธิสัตว์โดยสม่ำเสมอเถิด


@@@@@@@

๒๓. เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าย่อมต้องเสริมสร้างโพธิจิตให้เกิดขึ้นเพื่อความสงบสุข ของสัตว์โลกและด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าควรจะศึกษาปฏิบัติซึ่งหลักคำสอนเหล่านั้น ตามคำพร่ำสอนอย่างสมบูรณ์

๒๔. เมื่อยึดมั่นโพธิจิตอยู่อย่างนี้แล้ว ผู้มีปัญญาพึงศรัทธาเลื่อมใสเพื่อประโยชน์แห่งความสุขความเจริญเขาพึงยินดีมีความคิดอย่างนี้อีกว่า

๒๕. วันนี้การถือกำเนิดเกิดเป็นคนขึ้นของข้าพเจ้า ย่อมมีผลสมบูรณ์ ความเป็นมนุษย์ของข้าพเจ้าก็เป็นสิ่งที่เหมาะสมประเสริฐล้ำ ข้าพเจ้าได้ถือกำเนิดในสกุลวงศ์ของพระพุทธเจ้าแล้วข้าพเจ้าชื่อว่าเป็นพุทธบุตรอย่างแท้จริง

๒๖. นับแต่นี้ไปข้าพเจ้าพึงประพฤติตัวตามกฎธรรมเนียมปฏิบัติ สำหรับวงศ์ตระกูลของตน ให้เป็นดุจเดียวกับที่ความเศร้าหมองด่างพร้อยไม่พึงเกิดมีแก่สกุลวงศ์อันปราศจากมลทินฉะนั้น

๒๗. โพธิจิตนี้ได้เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับคนตาบอดพึงได้รับแก้วมณีจากกองหยากเยื่อฉะนั้น

๒๘. ยา (คือโพธิจิต) นี้ได้เกิดขึ้นแล้วเพื่อทำลายมฤตยูแห่งสัตว์โลกให้พินาศไป เป็นขุมทรัพย์อันไม่เสื่อมสลายที่สามารถบรรเทาเบาบางความยากจนขัดสนของสัตว์โลกให้หมดไป

๒๙. โพธิจิตนี้เป็นเภสัชอันประเสริฐเลิศล้ำ ที่สามารถขจัดความเจ็บปวดรวดร้าวของสัตว์โลกให้ลดน้อยลง เป็นพฤกษาสำหรับพักผ่อนหย่อนจิตของสัตว์โลกที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า จากการเดินทางตามมรรถวิถีชีวิตตน

๓๐. เพราะได้ผ่านข้ามพ้นความทนทุกข์ยากแสนลำบาก โพธิจิตนี้จึงเป็นสะพานสากลแห่งคนเดินทางทั้งปวง เป็นพระจันทร์อันส่องสว่างขึ้นกลางดวงจิต ซึ่งสามารถบรรเทาลดละสรรพกิเลสอันเร่าร้อนของสัตว์โลก

๓๑. เป็นพระอาทิตย์ดวงยิ่งใหญ่ ที่กำจัดความมืดมิดคิดชั่วมั่วอวิชชาแห่งสัตว์โลกทั้งหลาย เป็นเนยเหลวอันใหม่สดที่กระเพื่อมขึ้นจากการปั่นบดน้ำนมคือพระสัทธรรม

๓๒. สมาคมแห่งความสุขนี้ ที่ได้สร้างความพอใจใคร่อยากแก่เหล่าสัตว์ผู้มาถึงทั้งปวง ได้จัดตั้งตระเตรียมไว้แล้วแก่ผู้ปรารถนาต้องการสุขและโภคสมบัติ หรือแก่ปวงชนคนสัญจรที่ท่องเที่ยวไปตามมรรควิถีชีวิตตน

๓๓. วันนี้ข้าพเจ้าขอร้องเชื้อเชิญสัตว์โลกทั้งหลาย ให้บรรลุถึงซึ่งความเป็นพระสุคตเจ้าและซึ่งความสุขสำราญ อนึ่ง ขอให้เทวดาและอสูรทั้งหลายจงได้เพลิดเพลินยินดีปรีดา ณ เบื้องพระพักตร์ของพระผู้ทรงคุ้ม




ขอบคุณที่มา : https://shantideva.net/โพธิจรรยาวตารของศานติเ/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ