ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: จักกวัตติสูตรศึกษา ตอนที่ ๐๑-๐๕  (อ่าน 3102 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29390
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
จักกวัตติสูตรศึกษา ตอนที่ ๐๑-๐๕
« เมื่อ: สิงหาคม 16, 2021, 05:51:42 am »
0



จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๑) : อสีติวสฺสสหสุสายุกานํ มนุสฺสานํ

ผมกำลังศึกษาจักกวัตติสูตร ซึ่งผมเรียกเองว่า เป็นพระสูตรทำนายอนาคตของมนุษยชาติ ท่านใดสนใจเรื่องทำนายทายทัก สมควรศึกษา ต้นฉบับจักกวัตติสูตรเป็นภาษาบาลี มีมาในพระไตรปิฎก คืออยู่ในคัมภีร์ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค พระไตรปิฎกเล่ม ๑๑ ข้อ ๓๓ – ๕๐ ความยาวภาษาบาลีอักษรไทยประมาณ ๒๕ หน้า

น่าเสียดายที่หลักสูตรการศึกษาบาลีของคณะสงฆ์ไทยไม่ได้ใช้พระไตรปิฎกเป็นแบบเรียนโดยตรง ใช้แต่คัมภีร์ชั้นอรรถกถาลงมาเป็นแบบเรียน แล้วก็ใช้แค่ ๕ คัมภีร์เท่านั้น นักเรียนบาลีบ้านเราจึงไม่ได้เรียนพระไตรปิฎก และจึงไม่ได้ศึกษาพระสูตรนี้รวมทั้งพระสูตรอื่นๆ หรือพูดให้ถูกก็คือ-ไม่ได้ศึกษาทั้งพระไตรปิฎกนั่นเลย

อันที่จริง ความมุ่งหมายของการเรียนบาลีก็เพื่อให้ผู้เรียนใช้บาลีเป็นกุญแจไขเข้าไปแปลพระไตรปิฎกคือเข้าไปศึกษาพระไตรปิฎกนั่นเอง เป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายอยู่ตรงนั้น แต่จะเป็นเพราะบริหารจัดการกันอย่างไรก็ไม่ทราบได้ เรียนไปเรียนมา กลายเป็นเรียนบาลีเพื่อให้ได้วุฒิ คือจบประโยคนั้นประโยคนี้แล้วเอาวุฒิไปทำอย่างอื่นต่อไป แบบเดียวกับที่ชาวบ้านเรียนมัธยมเรียนมหาวิทยาลัย จบแล้วเอาวุฒิไปสมัครงานหรือไปเรียนสูงๆ ต่อไปอีกนั่นแหละ


@@@@@@@

เรียนบาลี แต่ไปไม่ถึงพระไตรปิฎกตามเป้าหมายที่ (เคย) ตั้งไว้ อันที่จริงถ้าตั้งใจไปให้ถึงพระไตรปิฎก ก็ไปถึงได้ แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หาคนตั้งใจไปได้น้อย เรียกได้ว่าแทบไม่มีเลย มีเสียงทักท้วงติงเตือนกันมาตลอดว่าให้มุ่งไปที่พระไตรปิฎกกันบ้างเถิด แต่ก็แปลกอีก คือไม่มีใครฟัง ทั้งผู้บริหารการเรียน ทั้งผู้เรียน คงมุ่งไปที่-เรียนเอาวุฒิกันอย่างเดียวเหมือนเดิม เหตุผลที่ยกมาอ้างกันก็คือ การเรียนบาลีเพื่อไปให้ถึงพระไตรปิฎกนั้นควรเป็นไปตามอัธยาศัยของผู้เรียน สวัสดี จบ

เมื่อไม่นานมานี้ มีพระราชปุจฉาไปยังคณะสงฆ์ว่า ทำอย่างไรการเรียนบาลีจึงจะไปถึงพระไตรปิฎก พระราชปุจฉานี้เป็นเรื่องที่เราทราบกันอยู่บ้าง แต่บัดนี้คณะสงฆ์ถวายวิสัชนาไปว่าอย่างไร ไม่มีใครทราบเลย กลายเป็นเรื่องลึกลับไป ทั้งๆ ที่ควรรับรู้รับทราบทั่วกัน เพื่อจะได้ช่วยกันถวายกำลังใจและถวายความอุปถัมภ์ให้คณะสงฆ์มีกำลังปรับปรุงการศึกษาบาลีให้เข้าถึงพระไตรปิฎกสนองพระราชปุจฉาสืบไป บอกได้คำเดียวว่า น่าเสียดาย

มาพูดถึงจักกวัตติสูตรกันต่อ จักกวัตติสูตรนี้เป็นพระสูตรที่บรรยายความถึงยุคสมัยที่มนุษย์มีอายุขัย ๘๐,๐๐๐ ปี (แปดหมื่นปี) จนถึงยุคที่มนุษย์มีอายุขัย ๑๐ ปี ฟังแค่นี้ มนุษย์สมัยใหม่คงสั่นศีรษะ บอกว่า นิทานหลอกเด็กมาอีกแล้ว ผมเคยอภิปรายกับบางท่าน เขาบอกว่า ตัวเลข ๘๐,๐๐๐ ปีนี่ยากที่จะยอมรับได้ ทางสรีรวิทยาหรือคุณภาพของธาตุที่ประกอบเข้าเป็นร่างกายมนุษย์นั้น ไม่น่าจะมีอายุการใช้งานนานถึง ๘๐,๐๐๐ ปี บางทีอาจจะเป็นการเขียนหรือจำตัวเลขคลาดเคลื่อนก็เป็นได้ ข้อทักท้วงของเขามีเหตุผลนะครับ

@@@@@@@

แต่เมื่อเอาต้นฉบับมาตรวจสอบ ก็ยากที่บอกว่า เป็นการเขียนหรือจำตัวเลขคลาดเคลื่อน ต้นฉบับบาลีตรงนี้เป็นดังนี้

    อสีติวสฺสสหสุสายุกานํ มนุสฺสานํ (พระไตรปิฎกเล่ม ๑๑ ข้อ ๔๒) 
    อสีติ (อะสีติ) แปลว่า แปดสิบ
    วสฺส (วัสสะ) แปลว่า ปี
    สหสุส (สะหัสสะ) แปลว่า พัน (จำนวน ๑,๐๐๐)
    อายุกานํ แปลว่า มีอายุ

    รวมกันเป็น “อสีติวสฺสสหสุสายุกานํ” แปลว่า “มีอายุแปดสิบพันปี” (นับทีละพัน > แปดสิบพัน = แปดหมื่น)
ภาษาบาลีนั้นใช้ตัวอักษรบอกจำนวน ไม่ใช้ตัวเลข เพราะฉะนั้น โอกาสที่จะคลาดเคลื่อนจึงเป็นไปได้ยากมาก
แม้อย่างนี้ มนุษย์สมัยใหม่ก็ยังบอกอยู่นั่นเองว่า

    ๘๐ ของจริง เชื่อได้
    ๘๐๐ พอกัดฟันเชื่อ
    แต่ ๘๐,๐๐๐ นี่ นิทานแล้ว

พระพุทธศาสนาของเรานี่ดีอย่างหนึ่ง ใครไม่เชื่อก็ไม่ว่าอะไรเลย ไม่เคยบอกว่าใครไม่เชื่อจะต้องตกนรก จะตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ ขึ้นอยู่กับตัวของคนคนนั้นเอง ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์บันดาล

เพราะฉะนั้น ใครไม่เชื่อว่ามนุษย์จะมีอายุยืนได้ถึง ๘๐,๐๐๐ ปี ก็ไม่มีใครว่าอะไรเลย เป็นสิทธิเสรีภาพอยู่แล้ว เรื่องนี้เป็นการศึกษาว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างไร พระไตรปิฎกบันทึกไว้อย่างไร เชื่อหรือไม่เชื่อ แยกไว้ต่างหาก

เรื่องจักกวัตติสูตรศึกษานี่คงต้องว่ากันยาวหน่อย เพราะฉะนั้น จบเป็นตอนๆ ไว้แค่นี้ก่อนครับ





ขอขอบคุณ :-
บทความของ นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย ,๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๔ ,๑๘:๒๓ น.
web : dhamma.serichon.us/2021/08/15/จักกวัตติสูตรศึกษา-๐๑/
15 สิงหาคม 2021 By admin.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 16, 2021, 09:34:38 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29390
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
จักกวัตติสูตรศึกษา ตอนที่ ๐๑-๐๕
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: สิงหาคม 17, 2021, 06:30:05 am »
0


จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๒) : รัตนะ ๗ ประการ ของ พระเจ้าจักรพรรดิ

จักกวัตติสูตร (ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค พระไตรปิฎกเล่ม ๑๑ ข้อ ๓๓ – ๕๐) นี้ พระพุทธองค์ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายที่เมืองมาตุลา แคว้นมคธ น่าศึกษาสืบค้นว่า เมืองนี้อยู่ตรงจุดไหนในปัจจุบัน ผมเคยเสนอแนวคิดเปิดการศึกษาภูมิศาสตร์พุทธศาสนา คนไทยไปแสวงบุญที่อินเดียกันเสมอ ที่ไปเรียนก็มาก น่าจะมีใครที่มีกำลังทำโครงการ “ศึกษาภูมิศาสตร์พุทธศาสนา” คือ ไปอินเดียเพื่อไปสืบค้นว่า สถานที่ซึ่งมีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎก เช่นเมืองมาตุลาเป็นต้น นั้น ปัจจุบันอยู่ตรงไหน หรือถ้าจะให้ได้ผลดี ก็ขอความร่วมมือกับหน่วยงานทางภูมิศาสตร์ โบราณคดีของอินเดีย ขอข้อมูลที่เขามีอยู่ หรือศึกษาหาขอมูลใหม่ร่วมกัน

คิดไปคิดมา ก็ต้องมาลงที่คณะสงฆ์ไทย ถ้าคณะสงฆ์ไทยคิดเรื่องนี้ ทำเรื่องนี้ ผมว่าไปได้โลด ลองคิดดู เอกชนไปเที่ยวอินเดีย กลับมาเขียนเล่าเรื่องเมืองนั้นเมืองโน้นเป็นสารคดี อ่านสนุก ได้ความรู้ เขายังทำกันเยอะไป
คณะสงฆ์ตั้งคณะทำงานเรื่องนี้อย่างเป็นการเป็นงาน ทำได้ดีกว่าแน่ๆ คณะสงฆ์ไทยมีกำลังอยู่ในมือมากพอ ทั้งกำลังคนและกำลังทรัพย์ หาทุนสนับสนุนเพิ่มเติมพระเราถนัดอยู่แล้ว ทำไมจะทำไม่ได้ ถ้าคณะสงฆ์คิดทำ โลกจะต้องอนุโมทนาชื่นชมยินดี

เชิญกลุ่มที่มีแนวคิด-พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้ที่อินเดีย-มาร่วมงานด้วยก็ยังได้ ถ้าบุคคลกลุ่มนี้มีข้อมูลถึงขนาดรู้ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้ที่อินเดีย ก็น่าจะมีหลักฐานรู้ได้ด้วยว่าเมืองต่างๆ ที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกอยู่ที่ไหนกันบ้าง เพราะเมืองต่างๆ ในพุทธประวัติหรือในพระไตรปิฎกจะต้องสัมพันธ์สอดคล้องกันโดยตลอด

แค่ชื่อเมือง “มาตุลา” คำเดียวคิดไปได้ยาวไกล กลับมาที่จักกวัตติสูตรกันต่อครับ พระสูตรนี้เริ่มด้วยตรัสสอนภิกษุให้มีตนเป็นที่พึ่ง ให้มีธรรมเป็นที่พึ่ง แล้วตรัสเล่าถึงพระเจ้าจักรพรรดิทรงพระนามว่า ทัฬหเนมิ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว คฤหบดีแก้ว ปริณายกแก้ว


@@@@@@@

เรื่องแก้ว ๗ ประการนี้น่าศึกษา ต้นฉบับในพระสูตรระบุว่า

    "ตสฺสิมานิ สตฺต รตนานิ อเหสุํ เสยฺยถีทํ จกฺกรตนํ หตฺถิรตนํ อสฺสรตนํ มณิรตนํ อิตฺถีรตนํ คหปติรตนํ ปริณายกรตนเมว สตฺตมํ."

พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน ที่ท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ เป็นผู้จัดทำ ตอนย่อเรื่องในจักกวัตติสูตร บอกไว้ว่า รัตนะ ๗ ประการของพระเจ้าจักรพรรดิ ประกอบด้วย

     ๑. จักร (ลูกล้อรถ) แก้ว (จักกรัตนะ)
     ๒. ช้างแก้ว (หัตถิรัตนะ)
     ๓. ม้าแก้ว (อัสสรัตนะ)
     ๔. แก้วมณี (มณีรัตนะ)
     ๕. นางแก้ว (อิตถีรัตนะ)
     ๖. ขุนคลังแก้ว (คฤหปติรัตนะ)
     ๗. ขุนพลแก้ว (ปริณายกรัตนะ)

ผมเอ่ยถึงพระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน ก็เพื่อให้ญาติมิตรที่อ่านเกิดแรงบันดาลใจ อย่างน้อยๆ ก็จะได้รู้ว่า มีแหล่งสำหรับศึกษาพระไตรปิฎกอยู่ที่ไหนบ้าง

อรรถกถาบรรยายคุณสมบัติย่อๆ ของรัตนะแต่ละอย่างไว้ ขอยกมาเสนอในที่นี้ พร้อมคำบาลีกำกับไว้ด้วยเพื่อประโยชน์แก่นักเรียนบาลี

     (๑) ทฺวิสหสฺสทีปปริวารานํ จตุนฺนํ มหาทีปานํ สิริวิภวํ คเหตฺวา ทาตุํ สมตฺถํ จกฺกรตนํ. - จักรแก้วสามารถยึดสิริสมบัติของทวีปใหญ่ทั้ง ๔ มีทวีปน้อย ๒,๐๐๐ เป็นบริวารได้
     (๒) ตถา ปุเรภตฺตเมว สาครปริยนฺตํ ปฐวึ อนุปริยายนสมตฺถํ เวหาสงฺคมํ หตฺถิรตนํ. - ช้างแก้วเหาะไปบนเวหาสามารถแล่นไปรอบแผ่นดินมีสาครเป็นที่สุด (แล้วกลับมาที่เดิมได้) ก่อนเวลาอาหารทีเดียว
     (๓) ตาทิสเมว อสฺสรตนํ. - ม้าแก้วก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
     (๔) จตุรงฺคสมนฺนาคเต อนฺธกาเร โยชนปฺปมาณํ อนฺธการํ วิธมิตฺวา อาโลกทสฺสนสมตฺถํ มณิรตนํ. - ในความมืดประกอบด้วยองค์ ๔ แก้วมณีสามารถกำจัดความมืดทำให้เห็นแสงสว่างได้เป็นบริเวณประมาณโยชน์หนึ่ง
     (๕) ฉพฺพิธโทสวิวชฺชิตํ มนาปจาริ อิตฺถีรตนํ. - นางแก้วมีความประพฤติเป็นที่พอใจ เว้นโทษ ๖ อย่าง
     (๖) โยชนปฺปมาเณ อนฺโตปฐวีคตนิธึ ทสฺสนสมตฺถํ คหปติรตนํ. - คหบดีแก้วสามารถเห็นขุมทรัพย์ที่อยู่ภายในแผ่นดินประมาณโยชน์หนึ่งได้
     (๗) อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺติตฺวา สกลรชฺชมนุสาสนสมตฺถํ เชฏฺฐปุตฺตสงฺขาตํ ปริณายกรตนํ. - ปริณายกแก้ว หมายถึง พระราชโอรสองค์ใหญ่ประสูติแต่พระอัครมเหสี สามารถครองราชสมบัติได้ทั้งหมด
_____________________________________________
ที่มา คำบาลี : สุมังคลวิลาสินี ภาค ๒ หน้า ๖๔ (มหาปทานสุตฺตวณฺณนา)

ขออนุญาตเชิญชวนญาติมิตร โดยเฉพาะนักเรียนบาลีทั้งหลาย ช่วยทำการบ้าน ๒ ข้อ นั่น ก็คือ
 
    ๑. ความมืดประกอบด้วยองค์ ๔ (รัตนะข้อ ๔), องค์ ๔ คือ อะไรบ้าง
    ๒. นางแก้วมีความประพฤติเป็นที่พอใจ เว้นโทษ ๖ อย่าง (รัตนะข้อ ๕) ,โทษ ๖ อย่าง คือ อะไรบ้าง

เป็นการฝึกการอ่าน ฝึกการค้นคว้า อุปมาเหมือนชาวครัวช่วยกันทำอาหาร ช่วยกันหาเครื่องแกง ช่วยกันหั่นผัก ขูดมะพร้าว ปอกหอมกระเทียม โขลกน้ำพริก ฯลฯ ทำเสร็จแล้ว กินด้วยกัน ช่วยกันทำ ช่วยกันกิน ถือคติ ถ้ากำลังวังชายังไม่สิ้น เราจะไม่นั่งรอกินท่าเดียว





 
ขอขอบคุณ :-
บทความของ นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย ,๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๔ ๑๕:๐๕ น.
web : dhamma.serichon.us/2021/08/16/จักกวัตติสูตรศึกษา-๐๒/
16 สิงหาคม 2021 ,By admin.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 16, 2021, 09:35:44 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29390
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
จักกวัตติสูตรศึกษา ตอนที่ ๐๑-๐๕
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: สิงหาคม 17, 2021, 06:49:11 am »
0


จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๓) : พลังอำนาจ แห่ง จักรแก้ว

พลังอำนาจแห่งจักรแก้ว

ทบทวนกันหน่อยก่อน รัตนะ ๗ ประการของพระเจ้าจักรพรรดิ คือ
      ๑. จักกรัตนะ จักรแก้ว
      ๒. หัตถิรัตนะ ช้างแก้ว
      ๓. อัสสรัตนะ ม้าแก้ว
      ๔. มณีรัตนะ แก้วมณี
      ๕. อิตถีรัตนะ นางแก้ว
      ๖. คฤหปติรัตนะ ขุนคลังแก้ว
      ๗. ปริณายกรัตนะ ขุนพลแก้ว

@@@@@@@

จักกรัตนะหรือจักรแก้วท่านยกขึ้นเป็นอันดับแรก คืออะไร.? ในพระสูตรท่านบรรยายลักษณะของจักรแก้วไว้ดังนี้

     "ทิพฺพํ จกฺกรตนํ ปาตุภวิสฺสติ สหสฺสารํ สเนมิกํ สนาภิกํ สพฺพาการปริปูรํ."
      (คำแปล) จักรแก้วอันเป็นทิพย์ มีกำพันหนึ่ง มีกง มีดุม บริบูรณ์ด้วยอาการทุกอย่าง

เป็นอันชัดเจนว่า จักรแก้วในที่นี้ไม่ใช่อาวุธในนิยาย รูปเป็นวงกลมและมีแฉก ๆ โดยรอบ สำหรับขว้างไปสังหารปรปักษ์ หากแต่หมายถึง ล้อรถ

     คำว่า กำ กง ดุม (บาลี: กำ = อร, กง = เนมิ, ดุม = นาภิ) เป็นส่วนประกอบของล้อเกวียนและล้อรถโบราณ

     หาความรู้จากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานกันหน่อย
     กำ = ซี่ล้อรถหรือเกวียน
     กง = ส่วนรอบของล้อเกวียนหรือล้อรถม้าเป็นต้น
     ดุม = ส่วนกลางของล้อเกวียนหรือล้อรถที่มีรูสําหรับสอดเพลา

ที่ต้องพูดมากหน่อย เพราะผมเชื่อว่าคนไทยรุ่นใหม่ไม่รู้จักถ้อยคำพวกนี้ ในภาษาไทยมีสำนวนว่า “กงเกวียนกำเกวียน” ซึ่งมักจะมีคนเอาไปพูดผิดพลาดคลาดเคลื่อนเป็น “กงกำกงเกวียน”

     “กงกำกงเกวียน” เป็นคำพูดที่ผิด กรุณาอย่าจำเอาไปพูด คำที่ถูกคือ “กงเกวียนกำเกวียน”
      พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ บอกไว้ว่า
     “กงเกวียนกำเกวียน (สํานวน) ใช้เป็นคําอุปมาหมายความว่า เวรสนองเวร, กรรมสนองกรรม, เช่น ทําแก่เขาอย่างไร ตนหรือลูกหลานเป็นต้นของตนก็อาจจะถูกทำในทำนองเดียวกันอย่างนั้นบ้าง เป็นกงเกวียนกําเกวียน.”

ผมโชคดีที่เป็นคนรุ่นเก่าหน่อย เคยเห็น เคยสัมผัส เคยใช้งานจริงของพวกนี้ เกิดทันช่างที่ผลิตอุปกรณ์พวกนี้ ผมเชื่อว่าช่างไทยที่ทำเป็นทำได้น่าจะยังมีอยู่ ทางราชการควรฟื้นฟูรักษาภูมิปัญญาไทยเอาไว้ก่อนที่จะสูญ (หน่วยงานที่พอจะเป็นความหวังคือ ศูนย์ศิลปาชีพพิเศษ) ไม่ใช่ทำเป็นของประดับสวนประดับบ้าน หรือของที่ระลึกนะครับ แต่ผลิตเป็นของใช้งานจริง


@@@@@@@

พระสูตรบรรยายภารกิจการทำงานของจักรแก้วไว้ดังนี้

      พระเจ้าจักรพรรดิประกาศว่า...
      ปวตฺตตุ ภวํ จกฺกรตนํ
      อภิวิชินาตุ ภวํ จกฺกรตนํ.
      ขอจักรแก้วอันประเสริฐจงหมุนไปทั่วโลกเถิด
      ขอจักรแก้วอันประเสริฐจงชนะโลกทั้งปวงเถิด

ลำดับนั้น จักรแก้วก็หมุนไปทางทิศบูรพา พระเจ้าจักรพรรดิพร้อมด้วยจตุรงคินีเสนาก็เสด็จติดตามไป จักรแก้วไปหยุดยั้งอยู่ ณ ดินแดนใดทางทิศบูรพา พระเจ้าจักรพรรดิก็เสด็จเข้าไปประทับ ณ ดินแดนนั้นพร้อมด้วยจตุรงคินีเสนา ทุกเมืองที่จักรแก้วผ่านไปต่างก็ยอมอ่อนน้อม ประกาศยกบ้านเมืองถวายว่า

     เอหิ โข มหาราช
     สฺวาคตํ เต มหาราช
     สกนฺเต มหาราช
     อนุสาส มหาราช.
     ขอเชิญเสด็จมาเถิดมหาราชเจ้า
     พระองค์เสด็จมาดีแล้ว
     ราชอาณาจักรเหล่านี้เป็นของพระองค์ทั้งสิ้น
     ขอพระองค์จงทรงปกครองเถิดมหาราชเจ้า

     พระเจ้าจักรพรรดิตรัสแก่เจ้าเมืองทั้งหลายว่า...
     ปาโณ น หนฺตพฺโพ
     อทินฺนํ นาทาตพฺพํ
     กาเมสุ มิจฺฉา น จริตพฺพา
     มุสา น ภาสิตพฺพา
     มชฺชํ น ปาตพฺพํ
     พวกท่านไม่พึงฆ่าสัตว์
     ไม่พึงถือเอาของที่เจ้าของไม่ได้ให้
     ไม่พึงประพฤติผิดในกามทั้งหลาย
     ไม่พึงกล่าวคำเท็จ
     ไม่พึงดื่มน้ำเมา
     ยถาภุตฺตญฺจ ภุญฺชถาติ.
     จงเสวยสมบัติตามเดิมเถิด

ครั้นแล้ว จักรแก้วนั้นก็ลงไปสู่สมุทรด้านทิศบูรพา แล้วโผล่ขึ้นที่สมุทรด้านทิศทักษิณ ทิศปัจฉิม ทิศอุดร บรรจบถึงสมุทรด้านทิศบูรพา พระเจ้าจักรพรรดิพร้อมด้วยจตุรงคินีเสนาก็เสด็จติดตามไป จักรแก้วไปถึงดินแดนใด พระเจ้าจักรพรรดิก็เสด็จเข้าไปประทับ ณ ดินแดนนั้นพร้อมด้วยจตุรงคินีเสนา ทุกบ้านเมืองต่างยอมอ่อนน้อมหมดทั้งสิ้น

@@@@@@@

เป็นอันว่าแผ่นดินอันมีมหาสมุทรเป็นขอบเขตทั้ง ๔ ทิศ อยู่ในอำนาจของพระเจ้าจักรพรรดิหมดสิ้น ทั้งนี้ด้วยพลังอำนาจแห่งจักกรัตนะ คือ จักรแก้ว น่าจะเป็นเพราะพลังอำนาจแห่งจักกรัตนะคือจักรแก้วนี่เอง เป็นเหตุให้พระราชาได้นามว่า “พระเจ้าจักรพรรดิ”

     “จักรพรรดิ” บาลีเป็น “จกฺกวตฺติ” (จัก-กะ-วัด-ติ) แปลตามศัพท์ได้หลายนัย ดังนี้
      (๑) “ผู้เป็นไปด้วยจักกรัตนะ” (คือประพฤติตามราชประเพณีมีปราบคนชั่วเป็นต้น)
      (๒) “ผู้ยังจักกรัตนะให้เป็นไป” (คือปล่อยจักกรัตนะให้ลอยไปข้างหน้าของตน)
      (๓) “ผู้หมุนวงล้อแห่งบุญ หรือวงล้อแห่งรถให้เป็นไปในเหล่าสัตว์ หรือทรงให้เหล่าสัตว์เป็นไปในวงล้อนั้น”
      (๔) “ผู้บำเพ็ญทศพิธราชธรรมถึงสิบปีเพื่อให้จักกรัตนะเกิดขึ้น”
      (๕) “ผู้ปฏิบัติจักรธรรม” (คือธรรมเนียมปฏิบัติ ๑๐ หรือ ๑๒ ประการ)
      (๖) “ผู้ยังอาณาจักรและธรรมจักรให้เป็นไปในหมู่สัตว์ทั้งสี่ทวีป”
      (๗) “ผู้ยังจักรคืออาณาเขตให้เป็นไปไม่ติดขัด”
      (๘ ) “ผู้ยังจักรคือทานอันยิ่งใหญ่ให้เป็นไป”

ตอนหน้า : ถอดความรัตนะ ๗ ประการของพระเจ้าจักรพรรดิ





ขอขอบคุณ :-
บทความของ : นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย , ๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๔ , ๑๘:๐๐ น.
web : dhamma.serichon.us/2021/08/16/จักกวัตติสูตรศึกษา-๐๓/
16 สิงหาคม 2021 ,By admin.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 16, 2021, 09:36:20 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29390
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
จักกวัตติสูตรศึกษา ตอนที่ ๐๑-๐๕
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: สิงหาคม 18, 2021, 09:43:15 am »
0


จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๔) : ถอดความ รัตนะ ๗ ประการ ของ พระเจ้าจักรพรรดิ

ถอดความรัตนะ ๗ ประการของพระเจ้าจักรพรรดิ

ก่อนจะคืบหน้าไปในตัวพระสูตร ขออนุญาตแวะข้างทางด้วยการชวนคิดถอดความรัตนะ ๗ ประการของพระเจ้าจักรพรรดิว่า รัตนะ ๗ ประการหมายถึงอะไร บอกก่อนนะครับว่า นี่เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ท่านผู้อ่าน-ท่านผู้อื่นไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยตามนี้

รัตนะ ๗ ประการ ของพระเจ้าจักรพรรดิ คือ
    ๑. จักกรัตนะ จักรแก้ว
    ๒. หัตถิรัตนะ ช้างแก้ว
    ๓. อัสสรัตนะ ม้าแก้ว
    ๔. มณีรัตนะ แก้วมณี
    ๕. อิตถีรัตนะ นางแก้ว
    ๖. คฤหปติรัตนะ ขุนคลังแก้ว
    ๗. ปริณายกรัตนะ ขุนพลแก้ว

ลองจัดกลุ่มรัตนะ ๗ ประการ จะได้ดังนี้
     มนุษย์ ๓ : คือ นางแก้ว ขุนคลังแก้ว ขุนพลแก้ว
     สัตว์ ๒ : คือ ช้างแก้ว ม้าแก้ว
     สิ่งของ ๒ : คือ จักรแก้ว แก้วมณี


@@@@@@@

๑. จักรแก้ว หมายถึงอะไร.?

ดูจากพลังอำนาจของจักรแก้วดังที่นำเสนอในตอนที่แล้ว ถอดความได้แน่นอนว่า จักรแก้วหมายถึงพลังอำนาจทางทหาร จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิได้ อันดับแรกต้องมีพลังอำนาจทางทหาร ถ้าดูตามความในพระสูตร อาจชี้ชัดลงไปได้ว่า พลังอำนาจทางทหารหมายถึง พลังอาวุธเป็นตัวนำ พลังคนเป็นตัวหนุน จักรแก้วเป็นตัวแทนพลังอาวุธ
ปล่อยจักรแก้วไปก่อน พระเจ้าจักรพรรดิพร้อมด้วยจตุรงคินีเสนาจึงยกทัพติดตามไป เห็นได้ว่าถ้าไม่มีจักรแก้วเป็นตัวนำ กำลังพลหรือกำลังคนก็ไม่อาจขยายอำนาจตามไปได้

นึกถึงสงครามโลกครั้งที่ ๒ อเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูที่ญี่ปุ่น ญี่ปุ่นยอมแพ้ สงครามสงบ จักรแก้วกับระเบิดปรมาณูมีนัยเดียวกัน คือเป็นพลังอาวุธ แต่นัยที่ต่างกันอย่างยิ่งก็คือ ระเบิดปรมาณูทำลายชีวิตคน แต่จักรแก้วไม่ปรากฏว่าได้ทำลายชีวิตใคร

นอกจากนั้น ที่ควรศึกษาสังเกตอย่างยิ่งก็คือ พระเจ้าจักรพรรดิยึดบ้านเมืองไหนได้ก็คืนอำนาจให้เขาปกครองกันเองต่อไป มีเงื่อนไขสำคัญอยู่ที่-ต้องใช้เบญจศีลเป็นธรรมนูญปกครอง (โปรดย้อนไปดูความตอนที่แล้ว อาจกล่าวได้ว่า ใช้พลังอาวุธ-มิใช่เพื่อฆ่าให้ตาย แต่เพื่อขู่ให้กลัว เมื่อกลัวแล้วก็บังคับให้ทำความดี นี่เป็นแนวนโยบายของพระเจ้าจักรพรรดิที่ควรสังเกตอย่างยิ่ง

พระเจ้าอโศกมหาราชของอินเดียเป็นองค์หนึ่งที่ใช้นโยบายนี้ บังคับให้ประชาชนทำความดี บรรยายความตามสำนวนทองย้อยก็ว่า สมัยพระเจ้าอโศกมีตำรวจศีลธรรม คอยกวดขันให้ประชาชนรักษาศีลปฏิบัติธรรม วันพระ ใครไม่รักษาอุโบสถศีล ต้องอธิบายได้ว่าทำไม ขัดข้องตรงไหนขอให้บอก ทางการจะช่วยแก้ไขข้อขัดข้องให้
แน่นอน พูดอย่างนี้จะต้องมีคนสมัยใหม่บอกว่า ทองย้อยไปเห็นมาเรอะ ทองย้อยเกิดทันพระเจ้าอโศกเรอะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า เพราะฉะนั้น จบประเด็นไว้แค่นี้พอ เอาเวลาไปศึกษาจักกวัตติสูตรต่อไปดีกว่า

แต่ก็พอดีนึกขึ้นมาได้ ใครยังจะพอจำได้ไหมครับ ในอดีตกาลไม่นานไกลนักนี่เอง สมเด็จพระสังฆราชพระองค์หนึ่งของเราเคยทรงมีนโยบายชักชวนประชาชนให้รักษาศีล ๕ มีการรณรงค์กันอยู่มากพอสมควรทีเดียว
แต่พอสิ้นพระองค์ท่าน นโยบายนั้นก็สิ้นตามเสด็จไปด้วย

@@@@@@@

ศึกษาจักกวัตติสูตรถึงตอนนี้ทำให้หวนนึกขึ้นมาว่า ทำไมผู้บริหารบ้านเมืองของเราจึงไม่ใช้เบญจศีลเป็นแนวนโยบายเหมือนพระเจ้าจักรพรรดิ ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก่อนหน้ายึดอำนาจ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ถอยขึ้นไปจนถึงยุคสร้างบ้างแปลงเมือง ผู้นำของเรา-ไม่ว่าจะเรียกชื่อว่าพ่อขุนท้าวพระยาพระราชามหากษัตริย์พระเจ้าแผ่นดินหรืออะไรก็ตาม-มีร่องรอยว่าได้ใช้หลักศีลธรรมในพระพุทธศาสนานำหน้าในการครอบบ้านครองเมืองอยู่เป็นอันมาก

แต่นโยบายเช่นนั้นถูกนักวิชาการรัฐศาสตร์การเมืองการปกครองสมัยใหม่ตำหนิติเตียนว่า เป็นการมอมเมาประชาชนให้ยอมสยบอยู่ใต้อำนาจ เอาบุญกุศลมาล่อประชาชนให้หวังสุขสบายในชาติหน้า ในขณะที่ชนชั้นปกครองได้เสวยสุขในชาตินี้ พระพุทธศาสนาตกเป็นจำเลยด้วยในฐานะทำตัวเป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครองมอมเมาประชาชน นี่คือ มุมมองของนักวิชาการ

สมัยผมเรียน มสธ. (รัฐศาสตร์ แขนงวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ-การเมืองการปกครองเปรียบเทียบ) ช่วงปี ๒๕๒๘ – ๒๕๓๐ ในการอบรมเข้ม ๗ วันก่อนสำเร็จการศึกษาตามหลักเกณฑ์ของ มสธ. อาจารย์ท่านหนึ่งประกาศเป็นส่วนตัวกับผมอย่างเป็นทางการว่า พระพุทธศาสนาเป็นตัว block สังคมไทย ท่านใช้คำฝรั่งคำนี้ ท่านกระซิบกับผมที่โต๊ะบุฟเฟต์ว่า เดี๋ยวกินข้าวเสร็จท่านจะเอาประเด็นนี้ขึ้นไปขยายผลบนเวทีกลาง เดชะบุญที่จะไม่เกิดสงครามกลางเวที ท่านอาจารย์ไม่มีจังหวะเวลาที่จะพูดประเด็นนี้ หรือท่านจะลืมก็ไม่ทราบได้

ญาติมิตรที่เป็นชาวพุทธ โดยเฉพาะที่เป็นชาววัด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เรียนบาลี ถ้ามีใครมาประกาศว่า พระพุทธศาสนาเป็นตัว block สังคมไทย ท่านจะแก้ไขข้อกล่าวหานี้ว่ากระไร จงอธิบาย หรือว่าท่านจะพลอยประสมโรงไปกับเขาด้วย.?

กระแสความในประเด็นทางราชการบ้านเมืองเห็นความสำคัญของพระพุทธศาสนาหรือไม่เห็น ยังไม่สิ้นสุดนะครับ รวมทั้งการถอดความรัตนะ ๗ ประการของพระเจ้าจักรพรรดิก็เพิ่งเริ่มได้แค่จักรแก้วเท่านั้น ยังไม่ได้พูดถึงแก้วอีก ๖ ประการ ขอยกไปพูดต่อในตอนหน้า และตอนต่อไปครับ





ขอขอบคุณ :-
บทความของ : นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย , ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๔ , ๑๔:๕๑ น.
web : dhamma.serichon.us/2021/08/18/จักกวัตติสูตรศึกษา-๐๔/
18 สิงหาคม 2021 ,By admin.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 16, 2021, 09:37:12 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29390
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
จักกวัตติสูตรศึกษา ตอนที่ ๐๑-๐๕
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กันยายน 16, 2021, 09:33:27 am »
0
   


จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๕) : ถอดความรัตนะ ๗ ประการของพระเจ้าจักรพรรดิ

ขออนุญาตแทรกประเด็นเกี่ยวกับทางราชการบ้านเมือง เห็นความสำคัญของพระพุทธศาสนาหรือไม่เห็น ที่พูดค้างไว้ในตอนก่อน จะว่าผู้บริหารบ้านเมืองของเราไม่ให้ความสำคัญแก่พระพุทธศาสนาไปเสียทั้งหมด ก็จะเป็นบาปปาก เอาเป็นว่า ขอสรุปทั้งด้านบวกและด้านลบไว้เป็นข้อสังเกตเตือนใจ ดังต่อไปนี้

@@@@@@@

๑. สมัยหนึ่ง รัฐบาลไทยเคยหยุดราชการวันพระ เพื่อให้ข้าราชการและครอบครัวได้ไปวัดบำเพ็ญบุญ เป็นการให้ความสำคัญแก่พระพุทธศาสนา แต่ทำอยู่ได้ไม่นานก็ยกเลิก เปลี่ยนเป็นหยุดราชการเสาร์-อาทิตย์ อ้างว่าเป็นสากล

๒. โปรดสังเกตไว้ว่า
    วันอาทิตย์ เป็นวันหยุดของศาสนาคริสต์ ชาวคริสต์ในไทยก็ยังหยุดอยู่
    วันศุกร์ เป็นวันหยุดของศาสนาอิสลาม ชาวมุสลิมในไทยก็ยังหยุดอยู่
    วันพระเป็นวันหยุดของศาสนาพุทธ ราชการไทยไม่หยุด เหตุผลมีเป็นกระบุง แม้แต่พระก็ยังเห็นด้วย
ที่ยกมาอ้างและชื่นชมกันว่า “คม” ดีนักก็คือ – “ความดีทำวันไหนก็ได้” (ยกเว้นวันพระ ฮ่า ฮ่า ฮ่า)

๓. รัฐสภาไทยซึ่งสมาชิกเป็นชาวพุทธแทบทั้งหมด ไม่ได้พิจารณาให้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่าประเทศไทยมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ตรงกันข้ามกลับมีคำประกาศจากผู้มีเสียงดังในแผ่นดินว่า ถ้าบัญญัติเช่นนั้น “เลือดจะนองท่วมท้องช้าง”

๔. ชาวพุทธเองเป็นจำนวนมาก-แม้แต่พระ-ยังพากันเชื่อว่า ตามข้อเท็จจริงเรามีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นจะต้องบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ นี่คือเราส่วนมากยังไม่ตื่นจากความหลับ-ว่าประเทศไทยเป็นนิติรัฐ ทุกอย่างต้องบัญญัติเป็นกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง ฯลฯ จึงจะมีผลบังคับใช้ข้อกฎหมายใหญ่กว่าข้อเท็จจริง

ชี้ตัวอย่างให้เห็นชัดๆ ชายหญิงจะเป็นสามี-ภรรยากัน ต้องจดทะเบียนสมรส แต่ยังมีชายหญิงรุ่นเก่าอีกเป็นจำนวนมากที่บอกว่า อยู่กินด้วยกัน นอนด้วยกันทุกคืน เป็นสามีภรรยากันอยู่แล้ว จะต้องไปจดทะเบียนเหมือนวัวเหมือนควายอีกทำไม แต่พอฝ่ายหนึ่งตาย มีคนเอาทะเบียนสมรสมาอ้างขอรับมรดก ถึงตอนนั้นแหละจะรู้สึก – ฉันใดก็ฉันนั้น

๕. หน่วยราชการไทยที่มีตำแหน่งทางพระพุทธศาสนาชัดเจนมีเฉพาะกระทรวงกลาโหมเท่านั้น คือมีตำแหน่ง “อนุศาสนาจารย์” ทำหน้าที่อบรมศีลธรรมให้แก่กำลังพล กล่าวตามสำนวนนิยมว่า-อบรมตั้งแต่ผู้บัญชาการเหล่าทัพจนถึงพลทหารคนสุดท้าย

@@@@@@@

๖. อีกหน่วยหนึ่งที่มีตำแหน่ง “อนุศาสนาจารย์” คือกรมราชทัณฑ์ แต่ทำหน้าที่อบรมผู้ต้องขังเท่านั้น ไม่ได้ทำห.น้าที่อบรมข้าราชการ (ขณะที่เขียนเรื่องนี้ยังไม่ได้ตรวจสอบว่าตำแหน่ง “อนุศาสนาจารย์” ในกรมราชทัณฑ์ยังมีอยู่หรือเปล่า เพราะเคยมีกระแสข่าวว่าจะยกเลิก)

๗. หน่วยราชการอื่นๆ ไม่มีตำแหน่งทางพระพุทธศาสนา ยกเว้นกรมการศาสนา และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แต่การบรรจุบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งต่างๆ ในหน่วยงานทั้งสองนี้ก็ไม่ได้ระบุว่าจะต้องเป็นชาวพุทธเท่านั้น เพราะฉะนั้น ผู้นับถือศาสนาคริสต์นับถือศาสนาอิสลามก็สามารถเป็นอธิบดีกรมการศาสนาและเป็นผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้ กรมการศาสนานั้นเราเคยเห็นมาแล้วในอดีต ส่วนสำนักพุทธฯ เราจะได้เห็นกันในอนาคต

๘. หน่วยราชการที่ควรมีตำแหน่งทางพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะเพื่อทำหน้าที่อบรมศีลธรรม คือสถานศึกษาทุกระดับชั้น แต่กลายเป็นว่าคนในสถานศึกษานั่นเองเรียกร้องให้ยกเลิกวิชาศีลธรรม

๙. เวลานี้มีสิ่งบอกเหตุว่าคนไทยกำลังย้ายพระพุทธศาสนาไปไว้ที่ต่างประเทศ ดังนั้น ความอุตสาหะที่จะรักษาแผ่นดินไทยให้เป็นแผ่นดินพระพุทธศาสนานับวันจะอ่อนลง แต่มีความเป็นไปได้อย่างมากที่เราจะทิ้งที่มั่นแห่งนี้ไปหาที่มั่นแห่งใหม่ ประกอบกับคนไทยรุ่นใหม่ไม่ได้รับการอบรมปลูกฝังให้เห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนา ดังนั้นพระพุทธศาสนาก็จะยิ่งถูกปล่อยให้เป็นไปตามบุญตามกรรมไปเรื่อยๆ

๑๐. ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นก็คือ ผู้บริหารการพระศาสนาของเราใช้นโยบาย “เฉยทุกเรื่อง” ไม่ว่าจะเสนอแนะอะไร ท่านไม่ขยับตัวทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ในอนาคต ราชการไทยจะไม่ใช่เพียงปฏิเสธหลักสูตรวิชาศีลธรรมเท่านั้น หากแต่จะปฏิเสธตัวพระพุทธศาสนาทั้งหมดนั่นเลย-คอยดูกันไป

@@@@@@@

๑๑. แล้วทางออกหรือวิธีแก้ไขคืออย่างไร? ถ้าผู้บริหารการพระศาสนาของเราตื่นขึ้นมาทำงาน ก็ยังพอมีความหวัง นั่นคือแนวทางและวิธีการแก้ไขจะสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เห็นได้ชัดแล้วว่าทำอย่างไรท่านก็ไม่ตื่นแน่ เพราะฉะนั้น ก็เหลือทางเดียว คือชาวพุทธแต่ละคนลงมือทำงานกันเอง ใครมีกำลังเรี่ยวแรงด้านไหนก็ลงมือทำกันไป

๑๒. วิธีหนึ่งที่แต่ละคนสามารถทำได้ทันทีก็คือ ลงมือหาความรู้ แล้วให้ความรู้แก่ผู้อื่นต่อไป โดยมีความคาดหวังว่า เมื่อเขาได้รู้คุณค่าของพระพุทธศาสนา เขาก็จะหวงแหน และบำรุงรักษาให้มั่นคงถาวรอยู่สืบไป

๑๓. แหล่งที่จะหาความรู้ได้ก็คือ พระไตรปิฎกและหมายรวมถึงคัมภีร์ประกอบทั้งปวง เรามีนักเรียนบาลีทั้งที่เรียนจบแล้วและกำลังเรียนอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย การเรียนบาลีก็คือการเตรียมตัวเดินทางเข้าสู่พระไตรปิฎกโดยตรง แต่แล้ว-ก็อีกนั่นแหละ นักเรียนบาลีของเราเรียนบาลีเพื่อเอาวุฒิ และเพื่อใช้วุฒิไปทำประโยชน์อย่างอื่นต่อไปทุกอย่าง-ยกเว้นเพื่อการเข้าถึงพระไตรปิฎก

การเข้าถึงพระไตรปิฎกกลายเป็นเพียงผลพลอยได้ที่เชื่อกันว่าควรปล่อยให้เป็นไปตามอัธยาศัยหรือตามบุญตามกรรม ไม่จำเป็นต้องตั้งเป้าหมาย แล้วก็มีคำอธิบายสนับสนุนอีกมากมายรวมอยู่ในคำว่า-แม้จะไม่ไปถึงพระไตรปิฎก แต่ผู้เรียนก็ยังได้ความรู้อยู่นั่นเอง (เพราะฉะนั้น การไม่ไปให้ถึงพระไตรปิฎกจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว และเราก็จะทำอย่างนี้กันต่อไป!!)

ถ้าคนกลุ่มนี้ตั้งเป้าหมาย-เรียนบาลีเพื่อเข้าถึงพระไตรปิฎก การ “หาความรู้” และ “ให้ความรู้” ก็จะทำกันได้อย่างแพร่หลายกว้างขวางและมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง นั่นหมายถึงโอกาสที่จะรักษาแผ่นดินไทยให้เป็นแผ่นดินพระพุทธศาสนาสืบไปก็จะเป็นไปได้อย่างยิ่ง จึงพูดได้คำเดียวว่า-น่าเสียดาย

๑๔. แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เราแต่ละคนยังมีโอกาสช่วยกันทำงาน “หาความรู้” และ “ให้ความรู้” ได้เสมอ การที่ผมศึกษาจักกวัตติสูตรแล้วนำมาเสนอต่อญาติมิตรทางเฟซบุ๊ก นี่ก็เป็นการ “หาความรู้” และ “ให้ความรู้” ทางหนึ่ง ซึ่งก็คือการเข้าถึงพระไตรปิฎกตามหน้าที่โดยตรงของนักเรียนบาลีนั่นเอง

ถ้านักเรียนบาลีทั้งหลายช่วยกันทำงานแบบนี้ให้มากขึ้น เทพยดาที่รักษาพระศาสนาท่านก็ย่อมจะอนุโมทนาสาธุการเป็นอย่างยิ่ง และย่อมจะอวยชัยให้พรให้พวกเราทำงานรักษาพระศาสนาได้สำเร็จสมมโนปณิธานทุกประการ

@@@@@@@

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คือประเด็นที่ว่า-ทางราชการบ้านเมืองเห็นความสำคัญของพระพุทธศาสนาหรือไม่เห็น ซึ่งได้แนวคิดมาจากนโยบายการบริหารบ้านเมืองในดินแดนในปกครองของพระเจ้าจักรพรรดิที่ใช้เบญจศีลหรือศีล ๕ เป็นหลัก

ตอนต่อไปจะได้ถอดความแก้วอีก ๖ ประการของพระเจ้าจักรพรรดิ





ขอขอบคุณ :-
บทความของ : นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย ,๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๔ ,๑๑:๒๓ น.
web. : dhamma.serichon.us/2021/08/20/จักกวัตติสูตรศึกษา-๐๕/
20 สิงหาคม 2021 admin   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 16, 2021, 09:37:38 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ