ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: “พระธรรมบาล”  (อ่าน 1059 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
“พระธรรมบาล”
« เมื่อ: สิงหาคม 22, 2021, 05:17:02 am »
0



คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง : “พระธรรมบาล”

ผมเพิ่งกลับจากดอยหลวงเชียงดาว เพื่อไปร่วมงาน sacred mountain festival ซึ่งมีมิตรสหายหลายคนช่วยกันจัดขึ้น ณ ค่ายเยาวชนเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่

งานนี้เป็นงานเฉลิมทางจิตวิญญาณของผู้คนนักแสวงหา ตลอดหลายวันมีเวิร์กช็อปจากวิทยากรซึ่งเป็นตัวจี๊ดๆ เช่น นิ้วกลม, อาจารย์ต้น-อนุสรณ์ ติปยานนท์, วิจักขณ์ พานิช, ถิงชู, ณัฐรส วังวิญญู, หมอมะเดื่อ ฯลฯ และใครต่อใครที่ล้วนเป็นนักแสวงหาเช่นเดียวกัน

เย็นย่ำก็มีคอนเสิร์ต ร่ายรำ ดื่มกิน และพูดคุย ที่สำคัญ งานนี้เรามีการประกอบพิธีกรรมอย่างร่วมสมัย ในปีที่ผ่านมาผมและวิจักขณ์ได้ตั้งศาลพญานาคขึ้น เพื่อจะชวนให้ผู้คนได้กลับมาเข้าสัมพันธ์กับสายน้ำ (ซึ่งมีพญานาคเป็นตัวแทน) ดังที่ได้เคยเล่าไปแล้ว และเหตุที่ต้องจัดที่เชียงดาวก็เพราะเราอยากกระตุ้นเตือนให้ผู้คนเคารพธรรมชาติอันยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์นั่นแล

มาปีนี้ วิจักขณ์คิดว่าอยากเชื้อชวนให้ผู้คนกลับมาสัมพันธ์กับธาตุทั้งห้า (ดิน น้ำ ไฟ ลม อวกาศ) เพื่อจะได้กลับมาสำนึกในความศักดิ์สิทธิ์และสายใยที่เรามีต่อธรรมชาติ อีกทั้งในปีที่ผ่านมานั้น ดอยหลวงเชียงดาวประสบปัญหาไฟป่าที่รุนแรงมาก ส่วนปีนี้เองก็ดูเหมือนว่าโลกทั้งโลกกำลังตกอยู่ในวิกฤตสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกัน

@@@@@@@

สุดท้ายเราก็ช่วยกันคิดพิธีกรรมขึ้นมาครับ โดยกำหนดให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพื้นที่เป็นตัวแทนธาตุต่างๆ ให้ศาลเจ้าหลวงคำแดงอารักษ์แห่งดอยหลวงเป็นสัญลักษณ์ของธาตุไฟ ศาลนาคเป็นสัญลักษณ์ของน้ำ เจดีย์หินและธงมนต์ซึ่งเราจะถวายซัง (ควันหอมตามประเพณีทิเบต) เป็นธาตุลม และเขาวงกตในค่ายเป็นธาตุดิน

ที่ศาลนาคและเจดีย์หินเรายังพอนึกออกว่าจะทำอะไร แต่ที่ศาลเจ้าหลวงคำแดงนั้น นอกจากการกราบไหว้ตามประเพณีแล้วยังจะทำอะไรได้อีก จู่ๆ ผมก็แวบขึ้นมาว่า เราน่าจะตั้งท่านขึ้นเป็น “พระธรรมบาล” แล้วจะได้ฝากภาระการดูแลพื้นที่นั้นแก่ท่าน ทั้งเรื่องคน ทั้งเรื่องไฟ เยี่ยงประเพณีพุทธฝ่ายวัชรยาน

พระธรรมบาล (สันสกฤตว่า ธรฺมปาลมฺ, Dharmapala) หมายถึง ผู้ปกป้องหรือพิทักษ์พระธรรมคำสอน ซึ่งท่านเหล่านี้ไม่ใช่มนุษย์ แต่อาจเป็นเทพ นาค คนธรรพ์ กินนร ยักษ์ เรื่อยไปจนถึงภูตผีและเจ้าที่เจ้าทางต่างๆ ก็ได้ มีใจเคารพพระรัตนตรัย ยอมรับหน้าที่ที่จะดูแลคำสอน ธรรมสมบัติ ขับไล่ผีร้ายและอุปสรรคขัดขวางการปฏิบัติธรรม และช่วยเหลือผู้ปฏิบัติ ฝรั่งจึงเรียกว่า Dharma Protector

ฟังดูเพี้ยนๆ และประหลาดหน่อยนะครับที่คนธรรมดาอย่างเราจะไปตั้งเทพหรือผีให้เป็นอะไรได้ กระนั้นผมคิดว่าแต่ไหนแต่ไรมา พิธีกรรมแบบนี้เราก็ทำกันอยู่แล้วในประเพณีและวัฒนธรรมเดิมของเรา ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร เช่น ที่เขาตั้ง “เสื้อวัด” หรือตั้งผีให้ดูแลวัดวาอารามทั้งหลายในภาคเหนือและอีสานนั่นแหละ


@@@@@@@

ที่สำคัญ พวกเรามีเจตนาที่ดีและบริสุทธิ์ใจ อันนี้น่าจะเป็นเรื่องสำคัญกว่าเรื่องอื่นๆ ทั้งหมด อีกทั้งการแต่งตั้งพระธรรมบาลครั้งนี้ก็ไม่ใช่ด้วยอำนาจอะไรของเราหรอกครับ เราขออาศัยเอาพุทธานุภาพและพรของครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะท่านคุรุปัทมสมภพหรือคุรุริมโปเช มหาสิทธาจากแคว้นอุฑฑิยานผู้มีอานุภาพเหนือภูตผีปีศาจทั้งหลายและอาจกำราบสรรพสัตว์ใดๆ ผู้มีมิจฉาทิฐิได้มาเป็นประธาน

ดังนั้น ฉบับนี้ผมจะถือโอกาสขอเล่าเรื่องพระธรรมบาลที่มีในประเพณีพุทธศาสนาฝ่ายวัชรยาน แล้วจะเล่าไปถึงสิ่งที่เราได้ทำต่อไปนะครับ

ทิเบตก่อนพุทธศาสนาจะเข้าไป ชาวบ้านนับถือศาสนาผีหรือ “เพิน” (Bon) อยู่แล้วเช่นเดียวกับบ้านเรา ครั้นพุทธศาสนาเข้าไป บรรดาผู้นับถือศาสนาเดิมก็ต่อต้าน ในตำนานว่าภูตผีเหล่านี้ก็พากันต่อต้านด้วย พุทธศาสนาจึงเผยแผ่อย่างยากลำบาก

ต่อมาคุรุริมโปเชรับนิมนต์จากกษัตริย์เข้าไปดินแดนนั้น ท่านก็ใช้อิทธิฤทธิ์ทำให้ภูตผีทั้งหลายยอมรับพุทธศาสนา แล้วได้ให้สัญญาว่าจะดูแลทั้งพุทธศาสนาและบรรดาผู้ปฏิบัติธรรม คืออยู่ในฐานะที่เรียกว่าพระธรรมบาลนั่นเอง ที่จริงธรรมเนียมเรื่องพระธรรมบาลมีมาตั้งแต่พุทธศาสนายังมีในอินเดียแล้ว ในสมัยมหายานแพร่หลาย มีการรับเอาบรรดาเทพเจ้าของฮินดูมาเป็นผู้ปกป้องพระธรรม

ทุกวันนี้หากเราไปในวัดจีนนิกายก็จะพบ “พระเวทโพธิสัตว์” หันหน้าถืออาวุธมองไปยังวิหารประธานหรือพระอุโบสถ ที่จริงท่านคือ พระสกันทกุมารหรือขันทกุมารของฮินดูนั่นเอง และคณะสงฆ์จีนนิกายยังมีประเพณี “กงจู้เทียน” หรือการบูชาพระธรรมบาล ซึ่งส่วนมากคือเทพฮินดูเป็นประจำปีอยู่เสมอ

@@@@@@@

ต่อมาเมื่อพุทธศาสนาวัชรยานแพร่หลาย ก็ได้รับเอาเทพที่ดุร้ายน่ากลัวของชาวบ้านมาเป็นธรรมบาลเพิ่มเติม เช่น ท้าวมหากาล, หัยครีวะ, พระยมราช ฯลฯ เพราะถือว่าอาการแห่งพระธรรมบาลนั้นต้องดุดันเด็ดขาด กำราบได้ทั้งอุปสรรคภายนอกและอุปสรรคภายในคืออุปสรรคทางใจ เมื่อพุทธศาสนาไปสู่ทิเบต ธรรมบาลจากอินเดียก็เข้าไปแพร่หลายในทิเบตด้วย

ธรรมบาลมีทั้งที่เป็นบุรุษและสตรีเพศ ธรรมบาลบุรุษก็เช่นที่กล่าวไปแล้ว ส่วนธรรมบาลสตรีที่มีชื่อเสียงมากก็เช่น ปัลเดนลาโม (ศรีเทวี) ซึ่งเป็นธรรมบาลสตรีที่ดูแลองค์ทะไลลามะพระองค์นี้เป็นพิเศษ หรือเอกชฏิ ซึ่งนับถือกันในนิกายกาจูร์ เป็นต้น

ในแต่ละนิกายก็อาจมีธรรมบาลที่แตกต่างกันตามสายปฏิบัติสืบทอดมา พุทธศาสนาในทิเบตเองมีการทำให้ภูตผีปีศาจท้องถิ่นกลายเป็นพระธรรมบาลอีกไม่น้อย เช่น เนจุง หรือพระทิเบตเทวาธิราชซึ่งเป็นที่ปรึกษาราชกิจขององค์ทะไลลามะ

คนทิเบตถือว่า ในเมื่อพระธรรมบาลมีระดับที่แตกต่างกัน จึงมีพระธรรมบาลที่บรรลุธรรมแล้ว (enlighten being) หรือมีสถานภาพเป็นพระโพธิสัตว์หรือเป็นภาคพิโรธของพระพุทธะบางองค์ ถือกันว่าพระธรรมบาลจากอินเดียเกือบทั้งหมดอยู่ในหมวดนี้ (ยกเว้นท้าวจตุโลกบาล) พระธรรมบาลเหล่านี้จะมีรูปแบบการปฏิบัติและบำเพ็ญสมาธิขั้นสูงมาเกี่ยวข้อง และไม่เพียงสามารถขจัดอุปสรรคภายนอก ยังสามารถขจัดอุปสรรคภายในจิตใจของผู้ปฏิบัติได้ด้วย

ส่วนพระธรรมบาลของทิเบตเองซึ่งคือผีของชาวบ้าน มักไม่ใช่พระธรรมบาลที่บรรลุธรรมแล้ว จึงมีบางองค์ที่ดุร้ายมาก ให้คุณให้โทษแก่ผู้คนได้ เช่น สามนางแม่มดแห่งนิกายสาเกียที่ว่ากันว่ามักทำให้คนเจ็บป่วยหรือเป็นบ้า ต้องให้คุรุชั้นสูงเท่านั้นดูแล ธรรมบาลเหล่านี้ส่วนมากมักบูชาเพื่อผลในทางโลก


@@@@@@@

ดังนั้น คติธรรมบาลในทิเบตและอินเดียคือความสัมพันธ์แบบ “ผีพราหมณ์พุทธ” นั่นเอง เพียงแต่ในทิเบต พุทธศาสนาครอบงำทั้งพราหมณ์และผีได้มากกว่าที่เป็นในบ้านเรา เพราะพระธรรมบาลเหล่านี้แม้จะถูกสักการบูชาก็ยังมีสถานะต่ำกว่าพระรัตนตรัย มีน้อยมากที่ชาวบ้านจะนับถือพระธรรมบาลเหล่านี้แยกเด็ดขาดจากการนับถือพุทธศาสนา กล่าวคือ ธรรมบาลทั้งหลายยังคงได้รับการนับถือภายใต้ท่าทีหรือมโนทัศน์แบบพุทธศาสนา

ผมคิดว่า นอกจากความเข้มข้นของพุทธศาสนาในดินแดนนั้นแล้ว เทพ-ผีเหล่านี้ไม่ได้ถูกเบียดขับออกไปหรือต้องไปซ่อนอยู่ข้างหลัง แต่พุทธศาสนาทิเบตจัดแจงหาที่ทางให้อยู่พร้อมจัดระบบความสัมพันธ์ให้ใหม่ด้วยเบ็ดเสร็จ โดยไม่ต้องสับสนหรือคิดเอาเอง ทั้งยังนำคติหรือคำสอนในพุทธศาสนามาใช้กับธรรมบาลเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา

กระนั้นเรื่องพระธรรมบาลในทิเบตก็ไม่ได้ราบรื่นนัก มีความขัดแย้งระหว่างนิกายหรือกลุ่มต่างๆ ในเรื่องพระธรรมบาลอยู่เรื่อยๆ กรณีที่โด่งดังที่สุดคือกรณีพระธรรมบาล “ดอร์เจ ชุกเด็น” (dorje shugden) ซึ่งเดิมเคยนับถือกันในนิกายเกลุค ต่อมาองค์ทะไลลามะที่สิบสี่ประกาศให้เลิกการนับถือพระธรรมบาลองค์นี้ ทำให้เกิดการประท้วงในกลุ่มผู้นับถือแพร่หลายไปในวงกว้าง และยังคาราคาซังอยู่ในปัจจุบัน

หากเรามองพระธรรมบาลข้ามพ้นไปจากเรื่องวัฒนธรรมและความเชื่อ โดยมองไปยังมุมแห่งวิถีการปฏิบัติธรรม วิทยาธรเชอเกียม ตรุงปะ ริมโปเช ได้อธิบายความหมายของพระธรรมบาลจากมุมของการปฏิบัติที่น่าสนใจยิ่ง ซึ่งอาจสื่อสารกับผู้คนร่วมสมัยได้ดีกว่า

@@@@@@@

ผมขอยกบางส่วนจาก The Collected Works of Chmgyam Trungpa : Volume 7 มา ดังนี้

“ธรรมบาล หมายถึง “ผู้ปกป้องแห่งคำสอน” หน้าที่ของธรรมบาลคือปกป้องผู้ปฏิบัติจากการหลอกลวง และการเบี่ยงเบนออกนอกเส้นทาง หากผู้ปฏิบัติเสี่ยงที่จะตกไปสู่พื้นภูมิที่อันตราย หรือไม่เฮลตี้ต่อกระบวนการบนเส้นทางแล้ว หลักการแห่ง “ธรรมบาล” ก็จะดึงเขากลับมาอย่างรุนแรง

หากผู้ปฏิบัติกลายเป็นหนึ่งเดียวกับคำสอนมากขึ้นเพียงใด พลังแห่งธรรมบาลจะเริ่มตกอยู่ใต้การควบคุมของเขามากขึ้นเท่านั้น ทว่ามิใช่กับนักเรียนผู้เริ่มต้นที่จะสามารถทำได้ อย่างไรก็ตาม การติดต่อสื่อสารกับหลักการธรรมบาลจะยังคงอยู่ จนกว่าคุรุจะนำเขาไปสู่ความสัมพันธ์กับพระยีตัม (พระสำหรับเพ่งสมาธิภาวนา)”

ในอีกที่จาก Training the Mind and Cultivating Loving-Kindness มีนิยามของธรรมบาลว่า “คือสิ่งช่วยกระตุ้นเตือนอันเกิดขึ้นในทันทีทันใด แล้วกระแทกใจผู้ปฏิบัติที่สับสนให้ตื่นขึ้น ธรรมบาลสะท้อนสภาวะตื่นรู้ขั้นพื้นฐานซึ่งช่วยนำผู้ปฏิบัติที่สับสนกลับมาสู่วินัยทางจิตวิญญาณของตนเอง”

ส่วนเรื่องธรรมบาลที่ดอยหลวง จะขอยกไปครั้งหน้านะครับ





ที่มา ; มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 กุมภาพันธ์ 2563
คอลัมน์ : ผี-พราหมณ์-พุทธ
ผู้เขียน   : คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง
เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2563
ขอบคุณ : https://www.matichonweekly.com/column/article_274765
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: “พระธรรมบาล”
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: สิงหาคม 22, 2021, 05:23:29 am »
0




เชื่อมโยงความศักดิ์สิทธิ์ ด้วยความรักในโลกธรรมชาติ กับพระธรรมบาลแห่งดอยหลวงเชียงดาว


ผมได้เล่าไปในครั้งที่แล้วว่า ธรรมเนียมพุทธทางมหายานและวัชรยานนั้น เขามีการตั้ง “พระธรรมบาล” คือเทพ-ผีทั้งจากพราหมณ์และพื้นเมืองเพื่อเป็นผู้ปกป้องดูแลพระธรรมและผู้ปฏิบัติ

กล่าวโดยง่ายก็คือ การจับเทพ-ผีมาบวชให้เป็นพุทธนั่นเอง ซึ่งผิดกับบ้านเราที่มักบวชให้ผีเป็นพราหมณ์ เช่น จับเจ้าที่มาแต่งองค์ทรงเครื่อง แล้วใช้บาลีสวดบูชาบวงสรวง สร้างเทวตำนานให้กลายเป็นเทพในสารบบพุทธ-พราหมณ์อย่างพระภูมิ

ผมคิดว่าคำอธิบายของอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ที่ว่า ศาสนาในบ้านเรานั้นคือศาสนาผีที่เอาพุทธและพราหมณ์มาประดับ โดยเลือกเฉพาะส่วนที่ไม่ขัดกับผียังคงใช้ได้อยู่ ซึ่งกลับกับสิ่งที่เราเชื่อมาตลอดว่า เรามีศาสนาแบบ “พุทธ พราหมณ์ ผี” คือพุทธศาสนาสามารถกำราบทั้งพราหมณ์และผีให้อยู่ใต้อำนาจอย่างราบคาบ แต่ที่จริงไม่เป็นเช่นนั้น และดูเหมือนว่าในปัจจุบันผียิ่งจะทรงอำนาจมากกว่าเดิม

ผมคิดว่าผิดกับสายวัชรยานหรือมหายาน คือทางทิเบต กลุ่มประเทศใกล้เคียงนั้น แต่เดิมก็อุดมผีไม่ต่างกับเรา แต่ความเป็นชาวพุทธของเขานั้นเข้มข้นอย่างยิ่งในแง่ปฏิบัติ แต่ก็เปิดกว้างด้วยในเวลาเดียวกัน จึงโอบอุ้มผีเอาไว้ภายใต้ความเปิดกว้างนั้น โดยไม่เสียท่าทีอย่างพุทธ

ไม่เสียท่าทีแบบพุทธ คือแม้รับเอาผีหรือเทพเข้ามาแล้ว ยังคงรักษาทัศนคติที่ตรงตามคำสอนและแนวทางของพุทธศาสนาไว้ เป็นต้นว่า เทพ-ผีที่รับมาต้องเป็นผู้สนับสนุนการปฏิบัติธรรม มิใช่อำนวยแต่ประโยชน์ผลทางโลกแต่ถ่ายเดียว ผู้ปฏิบัติแม้มีผีเทพมาเกี่ยวข้องก็ไม่ละทิ้งเป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนา แต่ทำอย่างไรให้การนับถือเทพ-ผีสามารถเป็นสิ่งเกื้อหนุนไปสู่เป้าหมายนั้นได้ อย่างนี้เป็นต้น


@@@@@@@

ธรรมเนียมพุทธฝ่ายเถรวาทในลังกา มีการตั้งเทวดาสำคัญๆ เช่น ขัตตรคาม (พระขันทกุมาร) พระวิษณุ หรือเทพพื้นเมืองอย่างสุมนเทวดาไว้รับใช้พุทธศาสนา ส่วนในบ้านเรานั้น ผมเข้าใจว่ามีแต่ธรรมเนียมพื้นบ้านอย่างการตั้งเสื้อวัด (ผีดูแลวัด) ในภาคเหนือและอีสาน แต่ยังนึกไม่ออกว่ามีการตั้งเทพผีสำหรับดูแลระดับใหญ่กว่านั้นไหม

ที่จริงการตั้งเทพผีในประเพณีพุทธบ้านเราและลังกานั้น ออกจะมีลักษณะที่เรียกว่า “วิหารบาล” หรือ “อารามบาล” มากกว่าจะเป็นธรรมบาล คือเน้นการปกปักดูแลวัดวาอารามและการอำนวยโชคผลแก่ศาสนิกชนมากกว่าการเป็นส่วนหนึ่งในวิถีการปฏิบัติธรรม

วิจักขณ์ พานิช เคยถามกับผมนานมาแล้วว่า ในเมืองไทยนี่มีผีอะไรใหญ่ๆ บ้าง เผื่อจะเชิญท่านมาเป็นธรรมบาลตามแบบวัชรยาน ตอนนั้นผมนึกออกแค่เจ้าแม่อยู่หัวที่สุโขทัย ยังไม่ได้นึกถึงเจ้าหลวงคำแดงที่เชียงดาว

มาปีนี้ เมื่อต้องไปดอยหลวงเชียงดาวอีกในงาน sacred mountain festival วิจักขณ์คุยกับผมว่าอยากจัดพิธีเปิดให้ผู้คนกลับไปสำนึกถึงความสัมพันธ์กับธรรมชาติ โดยเฉพาะธาตุทั้งสี่ ในโลกที่เราตระหนักถึงความศักดิ์สิทธิ์ได้ เราจะจัดกันยังไง

เรามีศาลนาคซึ่งสัมพันธ์กับสายน้ำแล้ว เรามีเจดีย์หินซึ่งมีธงมนต์ผูกไว้อันสัมพันธ์กับสายลม เรามีเขาวงกตซึ่งเหมาะสมสำหรับธาตุดิน สถานที่เหล่านี้เรามีไว้ให้คนที่มางานได้ตรึกตรอง ทำสมาธิ เพ่งพินิจ เชื่อมโยงอยู่แล้ว แต่พอกล่าวถึงธาตุไฟ เรารู้สึกว่าในปีที่ผ่านๆ มาดอยหลวงประสบปัญหาไฟป่าที่รุนแรงมาก และเมื่อพูดถึงดอยหลวง ผมก็นึกถึงเจ้าหลวงคำแดงทันที จึงเสนอเพื่อนไปว่า เราน่าจะตั้งท่านให้เป็นพระธรรมบาลเยี่ยงจารีตธรรมเนียมฝ่ายวัชรยาน แล้วฝากฝังท่านดูแลเรื่องไฟป่ากับภัยธรรมชาติต่างๆ ด้วย อีกทั้งท่านก็จะได้แนบแน่นเชื่อมโยงกับพวกเรายิ่งขึ้น

@@@@@@@

แต่เราจะเอาอำนาจอะไรไปตั้งท่าน ผมคิดเยี่ยงตำนานทิเบตว่า อาศัยพุทธบารมีและบารมีของครูบาอาจารย์อย่างคุรุริมโปเชหรือคุรุปัทมสมภพผู้กำราบเทพผี แล้วนำพุทธธรรมไปยังทิเบตได้โดยราบรื่นก็น่าจะพอไหว แถมเมื่อค้นตำนานเจ้าหลวงคำแดง บางตำนานว่าท่านได้สัญญาจะทำหน้าที่เป็นผู้รักษาสมบัติที่พระยาธรรมิกราช หรือบางตำนานว่า พระศรีอาริยเมตไตรย์จักมาช่วงใช้ในอนาคตกาล ก็เป็นอันว่าท่านเป็นผีที่มีสัมมาทิฐิ หรืออย่างน้อยๆ ก็เชื่อมโยงกับพุทธศาสนาแล้ว

วิจักขณ์เสนอว่า ในวันพิธี ให้เราแสดงสัญลักษณ์ของธาตุไฟไว้ด้วย ในวันนั้น ผมเริ่มพิธีด้วยการจุดธูปเทียน เป็นสัญญาณการอัญเชิญเบื้องหน้าศาลเจ้าหลวงคำแดงในค่ายเยาวชนเชียงดาว แล้วอ่านบทประกาศตั้งพระธรรมบาลที่ประพันธ์ขึ้นมาใหม่

ครู่หนึ่งไฟจากกระถางหน้าศาลได้ถูกจุดขึ้นแล้วค่อยๆ มอดดับลง เป็นสัญลักษณ์ว่าไฟป่ารวมทั้งไฟแห่งโทสะในใจเราจะได้ดับลงไปด้วย แล้วเราก็บันลือเสียงสังข์ กลองฑมรุ (บัณเฑาะว์) และกระดิ่ง เป็นสัญญาณแห่งพรและการรับรู้ของเหล่าทวยเทพ พร้อมกันนั้นผู้เข้าร่วมได้โปรยข้าวสารแทนดอกไม้ทั่วทั้งบริเวณ บรรยากาศในเวลานั้นช่างสงบและศักดิ์สิทธิ์

ผมคิดว่า เมื่อเรามีเจตนาที่ดีงาม มีความนอบน้อมอย่างแท้จริง เราจะเชื่อมต่อกับความศักดิ์สิทธิ์แห่งโลกธรรมชาติได้ด้วยหัวใจ ผมขออนุญาตนำบางส่วนของบทประกาศตั้งพระธรรมบาลแห่งดอยหลวงเชียงดาวมาบันทึกไว้ในบทความนี้ เพื่อท่านผู้อ่านจะได้ลองพินิจ และหากเห็นเป็นกุศลก็ขอท่านได้โปรดอนุโมทนา ดังนี้

“โอมฺ! ขอนอบน้อมแด่คุรุ พระรัตนตรัย โพธิสัตว์ ฑาก ฑากินี เหล่าธรรมบาล บรรดาเทพทางธรรมและทางโลก นาค คนธรรพ์ เจ้าที่เจ้าทาง ดวงวิญญาณน้อยใหญ่ ขอท่านทั้งหลายจงเป็นประจักษ์พยาน


@@@@@@@

ในปัจจุบันกาลความดีเสื่อมถอย อายุคนลดน้อย เต็มไปด้วยโรคภัยประหลาด ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถูกเบียดเบียนหนักหนา ฟ้าก็คละคลุ้งด้วยฝุ่นควัน น้ำนั้นก็เจือด้วยพิษร้าย สัตว์ทั้งหลายก็พากันตายสิ้น ดินก็เดือดดาลปานอัคคี ต้นไม้พืชพรรณสมุนไพรบรรดามีก็ถอยรส ทุกข์เข็ญปรากฏทุกหย่อมหญ้า อธรรมก็กล้าหยามหยาบผู้คน ความขัดสนแพร่กระจายและความตายก็คลุ้งฟุ้งอยู่ในทุกอณูลมหายใจเข้า-ออก

แม้ในโลกยังเหลือสถานที่อันงดงาม เช่น ดอยหลวงเชียงดาวอันพิเศษพิสุทธิ์ แต่ความเสื่อมทรุดแห่งธรรมชาติก็ยังปรากฏมี เกิดอัคคีไฟเพลิงผลาญไพรพฤกษ์ลดาวัลย์และหมู่สัตว์ให้ได้รับอันตรายเป็นอันมาก ไฟป่าอันเชี่ยวกรากดุจสายน้ำลุกลามอยู่ทั่วไป มวลมนุษย์ผู้มีกำลังน้อยเช่นข้าพเจ้าทั้งหลายมิอาจต้านทานไฟป่าอันมีฤทธิ์แรงร้ายนี้ได้โดยลำพัง

ขณะเดียวกันพุทธธรรมแห่งสัมมาปฏิบัติก็เสื่อมถอย ทุกถิ่นที่ก็พลอยเสื่อมทราม ความทุกข์ยากที่ปรากฏนี้ แม้เกิดจากกรรมที่มนุษย์กระทำขึ้น แต่โดยอาศัยความกรุณาแลพุทธานุภาพยิ่งใหญ่ เหล่าข้าทั้งหลายจึงได้ร้องวิงวอนต่อคุรุพระรัตนตรัยและพระธรรมบาลผู้ประเสริฐ โปรดสดับคำร่ำวิงวอน ช่วยถ่ายถอนทุกข์โศกนี้

ข้าพเจ้าผู้ยืนอยู่ ณ เชิงดอยหลวงเชียงดาวอันบริสุทธิ์ดุจสุเมรุราช ผุดผาดปานทิพยวิมาน เป็นที่สราญของเหล่ามนุษย์และทวยเทพเทวา ขุนผาแห่งนี้เป็นที่สถิตจอมผีอันมีนามว่าเจ้าหลวงคำแดง ผู้มีแรงฤทธิรอน เป็นโอรสแห่งนครสุวรรณโคมคำ ตามตำนานว่าท่านตามกวางทองซึ่งที่แท้คือนางอินทร์เหลา จนเข้ามาในเขตคามดอยหลวง แล้วทั้งคู่จึงล่วงเข้าคูหากลายเป็นอารักษ์ คอยพิทักษ์ธรรมสมบัติอันพระศรีอาริยเมตไตรโยพุทธเจ้า ผู้จักเข้าพระนิพพานในอนาคต จักได้จรบทมาช่วงใช้ อีกท่านไซร้เป็นเค้าเป็นประธาน แห่งผีบ้านผีเมืองทั้งหลายในดินแดนล้านนา มากหน้าดารดาษ ล้วนอยู่ใต้อำนาจของท่านสิ้น

@@@@@@@

ด้วยพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ ด้วยอำนาจแห่งคุรุปัทมสมภพ ผู้เจนจบในไตรโลก ผู้ขจัดโศกแห่งสาวก ผู้ปกครองเหล่าธรรมบาลและภูตผีทั้งหลาย ขอให้ดวงวิญญาณทิพยศักดิ์ คืออารักษ์เจ้าหลวงคำแดงผู้มีเดช อันถือเพศอารักษ์ยักษราช ได้ประกาศจะนับถือพระรัตนตรัยและพิทักษ์ธรรมสมบัติ จงอย่าได้ผัดผ่อนนิ่งนอนใจ ขอท่านจงรับพุทธบัญชา อาสาเป็นพระธรรมบาล ผ่านการวิงวอนของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อจักได้ช่วยปกป้องขจัดโพยภัย นับแต่อัคคีภัย วาตภัย อุทกภัย ภัยอันตรายใดๆ อันจะเกิดแต่ดอยหลวงเชียงดาวนี้ ขออย่าได้มีเกิดขึ้น หากเกิดขึ้นก็ขอให้ทุเลาโดยเร็วพลัน เพื่อมวลมนุษย์และสรรพสัตว์จักสุขสันต์ทุกวันคืน

ขอท่านจงชื่นชมพุทธาภาษิตอันมนุษย์ทั้งหลายได้เรียนรู้ ขอท่านจงเอ็นดูเหล่าข้าทั้งหลายผู้ได้มาเยือนดอยหลวงคือโมลีโลกอันงามยิ่ง ได้อิงแอบแนบอาศัยธรรมชาติอันพิลาศวิไล จูงใจให้สูงเทียมเทียบเมฆ ขอท่านจงอภิเษกชลธาราแห่งความรัก เพื่อพวกเราจักได้เข้าใจ ว่าเราทั้งหลายนั้นไซร้ล้วนแต่เป็นหนึ่งเดียวกันกับโลกธรรมชาติอันงามสรรพ กับพืชพรรณน้อยใหญ่ กับไฟกับลม กับก้อนหินดินดานธารทุ่ง ที่เราหมายมุ่งมาสู่ มาเรียนรู้ด้วยกัน ในมัณฑละแห่งความรื่นรมย์ เพื่อจะชื่นชมชีวิต และแผ่โพธิจิตอันเลิศล้ำไปช่วยค้ำจุนสรรพสัตว์ในไตรโลก จนกว่าทุกข์โศกจะหมดสิ้น

ขอท่านพระธรรมบาลเจ้าหลวงคำแดงแห่งดอยหลวงเชียงดาว จงโปรดสดับคำวิงวอนนี้ ด้วยความกรุณาเทอญ”




ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 กุมภาพันธ์ 2563
คอลัมน์ : ผี-พราหมณ์-พุทธ
ผู้เขียน   : คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง
เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2563
ขอบคุณ : https://www.matichonweekly.com/column/article_277131
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ