พุทธศาสนา ในมิติที่นักวิจารณ์ “ไม่เข้าใจ”
หลายๆคนเข้าใจพุทธศาสนาว่า คือ “พระ” จะนับถือพุทธ ต้อง “ไปวัด เข้าหาพระ ฟังเทศน์ ทำตามประเพณีที่ทำ ๆ ตามกันมา สวดมนต์ ไหว้พระ มีพระเครื่องห้อยคอ เป็นต้น.” จริง ๆ แล้ว ถูกเป็นส่วนน้อย น้อยนิดมาก หลาย ๆ คน ยึดติดที่ตัวบุคคล ยึดติดที่วัตถุ ยึดติดที่พิธีกรรมฯ ส่วนการศึกษา หาความรู้ ปฏิบัติในศีล ภาวนา หาได้น้อย
แท้จริงแล้ว องค์ประกอบของพุทธศาสนา ประกอบด้วยหลักใหญ่ๆ ๔ ประการ คือ
๑. ศาสนธรรม คือ คำสอนทั้งหมดที่อยู่ในรูปแบบของ พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา โยชนา และคัมภีร์สัททาวิเศษต่างๆ มี คัมภีร์กัจจายนะ เป็นต้น
๒. ศาสนบุคคล ได้แก่ พระศาสดาสัมมาสัมพุทธ, สหธรรมิก ๕(ภิกษุ ภิกษุณี สามเณร สามเณรี สิกขมานา), พุทธบริษัท ๔ (ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา)
๓. ศาสนวัตถุ ได้แก่เสนาสนะทั้งหมด มีวัด อาราม กุฏี เจดีย์ ฯ
๔. ศาสนพิธีกรรม ได้แก่พิธีกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องด้วยพุทธศาสนา มี พิธีอุปสมบท, สมาทานศีล แห่เทียนพรรษา เป็นต้น
หลายคน ให้ความสำคัญกับ ศาสนบุคคล,ศาสนวัตถุ, ศาสนพิธีกรรม ชอบที่จะอ้างถึงอาจารย์องค์นั้นองค์นี้ หลวงปู่องค์นั้น-องค์นี้ หลวงพ่อท่านนั้น ท่านนี้ น้อยมากที่ให้ความสำคัญกับ ศาสนธรรมคำสั่งสอน ทั้งๆที่ศาสนธรรมมีความสำคัญมากที่สุด กว่าศาสนธรรมที่เหลืออีก ๓ อย่าง
บุคคลจึงเป็นผู้เสื่อมจากศาสนธรรม ไม่รู้ ไม่เข้าใจ เพราะความไม่รู้ ไม่เข้าใจ เลยทำให้บิดเบือน ทั้งที่จงใจและไม่จงใจ และโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงทำให้เกิดสัทธัมมปฏิรูป แสดงสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้แสดง, กระทำในสิ่งที่พุทธเจ้าไม่ได้ทรงบัญญัติไว้ เป็นต้น
@@@@@@@
ข้อเสียสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ คนที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจในหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาอย่างถ่องแท้ มักจะชอบแสดง ชอบแนะนำ ชอบวิพากษ์วิจารณ์พุทธศาสนาในลักษณะต่าง ๆ ตามความรู้สึกและความเข้าใจผิดของตนเอง หลายคนจำพวกนี้ ไม่เคยได้เรียนรู้ตามหลักพุทธศาสนา ไม่ได้เคยปฏิบัติอย่างจริงจังในสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน
โดยเฉพาะในเรื่องปริยัติ เขาไม่เคยเรียนจบหลักสูตรในทางพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็น
– นักธรรม ตรี, โท, เอก
– บาลีประโยค ๑ – ๙
– อภิธรรม จูฬอาภิธรรมิกะตรี – มหาอาภิธรรมิกะเอก (๙ ชั้น ใช้เวลาเรียน ๗ ปีครี่ง )
– พุทธศาสนบัณฑิต ระดับ ป.ตรี โท เอก (ม.สงฆ์ มหาจุฬาฯ, มหามกุฏฯ)
เป็นเพียงแต่หยิบฉวยหนังสือที่เขียนโดยอาจารย์ท่านนั้น ท่านนี้มาอ่าน หรือไปศึกษาศาสตร์อื่่นๆ มีปรัชญา เป็นต้น แล้วก็ทึกทักว่าตนเองมีความรู้ แท้จริงตัวเขาเองไม่เคยเรียนจบหลักสูตรในทางพุทธศาสนาอย่างที่ว่าเลย ไม่เคยอ่านพระไตรปิฎกจบสักเล่ม ในจำนวน ๔๕ เล่ม
@@@@@@@
เหมือนอย่างว่า คนที่ถูกประณามว่าเป็นหมอเถื่อน ก็คือตนเองไม่เคยเรียนจบแพทย์ ไม่มีใบอนุญาตในการรักษา เพียงอ่านตำรับตำราเกี่ยวกับการแพท์ที่เขาเขียนไว้ในหนังสือต่างๆ พอมีความรู้ งูๆ ปลา ๆ ก็มาตั้งคลีนิกรักษาคนไข้เอง ในทีสุดก็ถูกตำรวจจับ และถูกประณามว่าเป็น “หมอเถื่อน”
คนที่ไม่เคยเรียนจบหลักสูตรในทางพุทธศาสนา (นักธรรม, บาลี, อภิธรรม) พระไตรปิฎกก็อ่านไม่จบ ไม่ครบทั้งสามปิฎก อรรถกถา ก็ไม่เคยได้รู้ ได้เรียน คัมภีร์สัททาวิเศษ มีกัจจายนะ เป็นต้น ก็ไม่รู้, คัมภีร์ที่แสดงโวหารต่าง ๆ เช่น เนตติหารัตถทีปนี ก็ไม่เคยรู้ แล้วชอบมาอวดอ้าง วิพากษ์วิจารณ์พุทธศาสนาในแง่มุมต่างๆ แนะนำพร่ำสอนผู้อื่น ตั้งตนเป็นดุจอาจารย์ผู้มีความรู้ จะต่างอะไรกับคำว่า “หมอเถื่อน”
ท่านจำแนกบุคคลในโลกนี้ไว้ ๔ จำพวก คือ
๑. ไม่รู้ แต่ชี้ คือ ตนเองไม่ค่อยมีความรู้อะไรมากนัก ได้อ่าน ได้ศึกษามาแบบงูๆปลาๆ แต่ชอบชี้แนะ แนะนำสั่งสอนวิพากษ์วิจารณ์เขาไปเรื่อย (ประเภท-น้ำไม่เต็มกระบอก กระฉอกดัง)
๒. รู้ แต่ไม่ชี้ คือ จำพวกที่มีความรู้ เข้าใจดี แต่ไม่ค่อยชอบชี้แนะ อาจจะเป็นด้วยเหตุผลบางอย่าง หรือความขี้เกียจ รำคาญ (ประเภท-น้ำเต็มกระบอก กระฉอกไม่ดัง)
๓. ทั้งรู้ทั้งชี้ คือ จำพวกที่มีความรู้ เข้าใจดี และคอยแนะนำสั่งสอน ชี้แนะให้ผู้อื่นด้วย
๔. ไม่รู้ ไม่ชี้ พวกนี้ก็คือพวกที่ไม่มีความรู้อะไร ไม่ค่อยได้ศึกษาเล่าเรียน เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่มีความรู้ ก็เลยไม่ชี้แนะ หรือแนะนำผู้อื่น ก็ยังดีกว่าพวกแรก ที่ไม่รู้แต่ดันชี้แนะ
@@@@@@@
พุทธศาสนา เป็นศาสนาสากล มีกฎเกณฑ์ที่เป็นไปตามหลักนิยาม ตามหลักของสภาวะที่เป็นปรมัตถ์ มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัว ไม่อาจที่จะกล่าวแสดงไปแบบมั่ว ๆ แบบคาดเดา แบบตรึกนึก โดยที่ไม่มีความรู้ ได้ เหมือนกับตัวบทกฎหมายของบ้านเมือง ทุกบท ทุกวรรค ตอน ทุกอักษรต้องไม่ตกหล่น มีความหมายที่ชัดเจน จะอ้างมั่ว ๆ หรือเดาสุ่มตามอำเภอใจของตนเองไม่ได้…
หลายๆอย่าง อ.นิธิ เขียนได้ดี ในมิติของนักคิด นักเขียน นักปรัชญา แต่ในมิติของพุทธศาสนา ยังถือว่ามีส่วนที่ผิดพลาดอยู่มาก พุทธศาสนา มุ่งมองถึงประโยชน์ ในหลายมิติ คือ
– ประโยชน์ตน (บางครั้งต้องเอาประโยชน์ตนให้ได้ก่อน แล้วค่อยมุ่งมองถึงประโยชน์เพื่อผู้อื่น)
– ประโยชน์ผู้อื่น (เจาะจงบุคคล) (พ่อแม่ มุ่งมองประโยชน์เพื่อลูก, ลูกมุ่งมองประโยชน์แก่พ่อแม่, สามี-ภรรยา, ครูอาจารย์ – ลูกศิษย์)
– ประโยชน์แก่มหาชนโดยรวม คือประโยชน์เพื่อสังคม ประเทศชาติ หรือชาวโลก
– ประโยชน์ในปัจจุบันชาตินี้ หลักธรรมที่แสดงถึงประโยชน์ในปัจจุบัน (อุ อา กะ สะ) เป็นต้น
– ประโยชน์ในชาติหน้า (ศรัทธา,ศีล,จาคะ,ปัญญา) เป็นต้น
– ประโยชน์สูงสุด คือ นิพพาน
ตัวอย่างพระพุทธเจ้า ทรงทำประโยชน์แก่ผู้อื่นจำนวนมาก ในสมัยที่ทรงเป็นพระโพธิสัตว์สร้างพระบารมีต่าง ๆ แต่การที่ทรงสร้างพระบารมีโดยการสงเคราะห์ผู้อื่นในลักษณะต่างๆ มีทาน เป็นต้นนั้น แท้จริงพระองค์กำลังสร้างประโยชน์ส่วนพระองค์ คือ สร้างสิ่งที่เรียกว่า บารมี ของพระองค์
และบารมีนั้นนั่นแหละได้รวมกันเป็นพลังให้พระองค์ได้บรรลุประโยชน์สูงสุด คือพระนิพพาน คือได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปรมัตถประโยชน์ เมื่อได้ประโยชน์ตน คือของพระองค์อย่างสมบูรณ์แล้ว ก็ได้สร้างประโยชน์ ให้แก่ผู้อื่น นำพระธรรมคำสั่งสอนมาเผยแผ่แก่มหาชน ทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นและชาวโลก มาจนถึงทุกวันนี้
@@@@@@@
เหมือนกับชาวโลก คนที่มีความรู้ มีความสำเร็จในฐานะ หน้าที่การงาน มีกำลังกาย กำลังทรัพย์ กำลังอำนาจอย่างสมบูรณ์แล้ว ย่อมจะทำประโชน์ให้แก่มหาชน แก่ชาวแว่นแคว้นหรือแก่ชาวโลก ได้มากกว่าคนที่ขาดกำลังกาย ขาดกำลังทรัพย์ ไม่มีพลังอำนาจอะไรอยู่ในตัวตน ฉะนั้น ฯ
คนเราจะมุ่งมองเอาประโยชน์ส่วนไหน.? จะมุ่งมองเอาประโยชน์ในชาตินี้ ชาติหน้า, ประโยชน์ตน หรือของผู้อื่น , ประโยชน์ที่เป็นวัตถุ เงินทอง หรือประโยชน์ที่เป็นวิชา ความรู้ คุณธรรม จริยธรรม.? คนที่เป็นบัณฑิต คนที่มีปัญญาวิญญูชนเท่านั้น จะมองได้ดีที่สุด ส่วนคนที่ด้อยปัญญา ก็จะมองแบบผิวเผิน ตื้น ๆ เอาประโยชน์เฉพาะหน้า หรือประโยชน์แบบชาวโลกที่ไม่ยั้งยืน
แท้จริงแล้ว ประโยชน์ตนนั้นเป็นใหญ่ คนอื่นได้รับอานิสงส์ แต่ประโยชน์ตนนั้นเพิ่มพูน เหมือนการให้ทานแก่ผู้อื่น ผู้อื่นได้รับข้าวปลาอาหาร เสื้อผ้า วัตถุต่าง ๆ ย่อมได้รับความสุข บรรเทาทุกข์ในลักษณะต่าง ๆ เพียงแค่ชั่ว วัน เดือน ปี หรือเพียงแค่ชาตินี้เท่านั้น ฯ แต่ตัวบุคคลผู้ให้ ย่อมได้รับประโยชน์ คือ ทั้งบุญ บารมี
ถ้าให้เพื่อกำจัดความตระหนี่ ย่อมเรียกว่าได้รับประโยชน์ทั้งในชาตินี้ คือ ความเบิกบานใจ ได้รับประโยชน์ทั้งในชาติหน้า คือ ได้จาคะ คือการบริจาค ช่วยเหลือช่วยสงเคราะห์ผู้อื่น และถ้ามีปัญญา ปรารถนาความหลุดพ้น หรือให้เพื่อกำจัดความตระหนี่อย่างที่กล่าวไว้แล้ว ก็จะเป็นปัจจัยให้ได้ประโยชน์สูงสุด คือ บรรลุมรรคผลนิพพานได้ ฯ
นี่เรียกว่า ทำเพื่อผู้อื่นก็จริง แต่ตนเองก็ได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล เป็นแต่เพียงว่า ใครจะมีปัญญาเอาประโยชน์ให้แก่ตนได้ขนาดไหน
การศึกษา ปฏิบัติ ในทางพระพุทธศาสนา จะเป็นตัวกำหนดสติปัญญา ความคิดของบุคคลได้ดีที่สุด ขอบคุณ :
dhamma.serichon.us/2016/07/16/พุทธศาสนาในมิติที่นักว/ บทความของ VeeZa , 16 กรกฎาคม 2016 ,By admin.