ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ละชั่ว​ ทำดี​ ทำจิตใจให้ผ่องใส ใช่ว่าใครๆ ก็ทำได้  (อ่าน 808 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29315
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


ละชั่ว​ ทำดี​ ทำจิตใจให้ผ่องใส ใช่ว่าใครๆ ก็ทำได้

วันมาฆบูชาเป็นวันที่ชาวพุทธน้อมระลึกถึงพระบรมศาสดา​ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในความจริงอันถึงที่สุด (อริยสัจธรรม) โดยพระองค์เอง ​ด้วยพระปัญญาคุณและพระบริสุทธิคุณ​ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาเป็นเวลา 4 อสงไขยแสนกัป

วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นวันแรกในปีพุทธศักราช 2565 นี้ คือ วันมาฆบูชา ซึ่งกำลังจะเวียนมาถึงในอีกวาระหนึ่งกลางสัปดาห์หน้า ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ตามปฏิทินจันทรคติ และตรงกับวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2565 ตามปฏิทินสุริยคติ ​

ความสำคัญของวันมาฆบูชาเป็นวันที่ชาวพุทธน้อมระลึกถึงพระบรมศาสดา​ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในความจริงอันถึงที่สุด (อริยสัจธรรม) โดยพระองค์เอง ​ด้วยพระปัญญาคุณและพระบริสุทธิคุณ​ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาเป็นเวลา 4 อสงไขยแสนกัป และทรงมีพระมหากรุณาคุณแสดงพระธรรมตลอด​ 45​ พรรษา​หลังการตรัสรู้​ เพื่อให้สัตว์โลกพ้นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิด (สังสารวัฏ)

วันมาฆะในครั้งพุทธกาลเป็นวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 3 เมื่อ 44 ปีก่อนพุทธศักราช เรียกว่า วันจาตุรงคสันนิบาต ซึ่งในวันมาฆะเกิดเหตุการณ์​สำคัญ 4 ประการ ได้แก่
    1. เป็นวันอุโบสถขึ้น 15 ค่ำ ประกอบด้วยมาฆนักษัตร
    2. ภิกษุ 1,250 รูป มาประชุมพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย
    3. ภิกษุทั้ง 1,250 รูป ที่มาประชุมกันล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา 6 
    4. ภิกษุทั้ง 1,250 รูป ได้รับการอุปสมบทจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (เอหิภิกขุอุปสัมปทา)

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวไว้ดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อกระทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด”      


@@@@@@@

หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธพจน์ 3 คาถากึ่ง ที่พระสัมมาพุทธเจ้าตรัสแก่พระอรหันต์ ณ พระเวฬุวนาราม ว่า
    การไม่ทำความชั่วทั้งปวง 1
    การบำเพ็ญแต่ความดี 1
    การทำจิตใจให้ผ่องใส 1

พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสว่า นิพพานเป็นบรมธรรม ผู้ทำร้ายคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ
    การไม่กล่าวร้าย 1
    การไม่ทำร้าย 1
    ความสำรวมในปาฏิโมกข์ 1
    ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร 1
    ที่นั่งนอนอันสงัด 1
    ความเพียรในอธิจิตต์ 1
นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

@@@@@@@

ขันติ เป็นตบะอย่างยิ่ง

ชาวพุทธ​พึงทราบว่า​ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของผู้มีปัญญา ตรัสรู้ด้วยพระปัญญาคุณและพระบริสุทธิคุณโดยพระองค์เองของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญญาของชาวพุทธจะเกิดขึ้นได้นั้น​จากการ มีปัญญาด้วยการฟังธรรม (สุตามยปัญญา) ด้วยการพิจารณาไตร่ตรอง (จิตตามยปัญญา) ด้วย การอบรม (ภาวนามยปัญญา) หากเป็นผู้ที่มีการศึกษาพระธรรมและมีความรู้​ความเข้าใจ​ที่ถูกต้องก็จะเป็นผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาที่ประกอบด้วยปัญญา​ 

ในทางกลับกัน​ หากเป็นชาวพุทธผู้ที่ไม่มีการศึกษาพระธรรมก็เป็นผู้ที่มีความไม่รู้ (อวิชชา) และมีความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) ในประการต่างๆ​  ซึ่งในเบื้องต้นมีความเห็นผิดเข้าใจว่า​ มีตัวตน (อัตตา) แต่แท้ที่จริงแล้วพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาเดียวในโลกที่สอนให้รู้ว่า ไม่มีตัวตน (อนัตตา) เป็นไปตามหลักไตรลักษณ์​ ซึ่งมีสามัญลักษณะ 3 ประการ ได้แก่ ไม่เที่ยง (อนิจจัง) เป็นทุกข์ (ทุกขัง) ไม่ใช่ตัวตน (อนัตตา) กล่าวคือ​ สภาพใดเกิด​ สภาพนั้นดับ​ ไม่เที่ยง​ ไม่ยั่งยืน​ เป็นทุกข์​ บังคับ​บัญชาไม่ได้



พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงอันถึงที่สุดดังพระพุทธพจน์ที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก​​ มีความว่า
   “สังขารทั้งหลายทั้งปวง ไม่เที่ยง (สัพเพ สังขารา อนิจจา)
    สังขารทั้งหลายทั้งปวง เป็นทุกข์ (สัพเพ สังขารา ทุกขา)
    ธรรมะทั้งหลายทั้งปวง เป็นอนัตตา (สัพเพ ธรรมา อนัตตา)”

ขันติเป็นสภาพธรรมฝ่ายดี​ มีความอดทน อดกลั้น เป็นกุศลธรรมเผาบาป ขณะที่มีขันติ​ ขณะนั้นเผาอกุศลธรรม เช่น​ ความโกรธ​ ถ้าโกรธผู้อื่นก็เป็นผู้ที่ไม่มีความอดทน อดกลั้น​ เท่ากับตนทำร้ายตนเอง ไม่ใช่ผู้อื่นทำร้ายตน​ พึงเห็นว่า ขันติเป็นกุศลธรรมที่ควรอบรมให้มีขึ้น ด้วยการเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะมีปัญญาเข้าใจความจริง จึงเป็นผู้ไม่มักโกรธ

อดทนต่ออารมณ์ที่มากระทบ อดทนต่ออกุศลธรรมของผู้อื่น อดทนทั้งต่อผลของกุศลกรรม คือ เมื่อได้สิ่งที่น่าปรารถนา น่าพอใจ ก็อดทนได้ ไม่เพลิดเพลินมัวเมาด้วยความโลภ และอดทนต่อผลของอกุศลกรรม​ คือ​ เมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา​ ไม่น่าพอใจ ก็อดทนได้ ไม่หวั่นไหวไปด้วยความโกรธ​ บุคคลผู้ที่อดทนอดกลั้นได้อย่างแท้จริง ก็เพราะมีปัญญานั่นเอง

@@@@@@@

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุปมาความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องซึ่งเป็นปัญญาของบุคคล ๔ จำพวกกับดอกบัว ๔ เหล่า ดังนี้

๑. บุคคลที่มีความเห็นถูก มีความเฉลียวฉลาด เมื่อได้ฟังธรรมก็มีความเข้าใจอย่างรวดเร็วเพราะมีการสะสมความรู้ความเข้าใจในพระธรรมที่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน การสะสมความเข้าใจซึ่งเป็นปัญญาที่มีกำลังมากก็จะเข้าใจความจริงอันถึงที่สุดซึ่งเป็นความจริงอันประเสริฐ (อริยสัจ ๔) อย่างรวดเร็ว อุปมาดุจดังดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำเมื่อได้รับแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที

๒. บุคคลที่มีความเห็นถูก มีความเฉลียวฉลาด เมื่อได้ฟังธรรมก็มีความเข้าใจตามลำดับขั้นของการสะสมความรู้ความเข้าใจในอดีตชาติ เมื่อได้ฟังธรรมตามกาลในปัจจุบันชาติก็มีระดับปัญญาเพิ่มขึ้น และสามารถบรรลุธรรมได้ในกาลไม่นานต่อไป อุปมาดุจดังดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำซึ่งจะรอคอยวันบานในวันพรุ่ง

๓. บุคคลที่มีการสะสมความรู้ความเข้าใจในพระธรรมมาบ้างในอดีตชาติ เมื่อได้ฟังพระธรรมเพิ่มเติมในปัจจุบันชาติก็มีความสนใจที่จะฟังธรรมต่อเนื่องเพราะเห็นประโยชน์ จนทำให้สามารถบรรลุธรรมได้ในชาตินั้น อุปมาดุจดังดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำรอโอกาสจะขึ้นมาอยู่ในระดับปริ่มน้ำ รอวันพ้นน้ำและเบ่งบานต่อไปไม่ช้า

๔. บุคคลที่สะสมความรู้ความเข้าใจมาน้อย หรือไม่เคยสะสมความรู้ความเข้าใจในพระธรรมมาเลย จึงมีความเห็นผิดมาก สนใจฟังธรรมน้อย หรือไม่เห็นประโยชน์ของการฟังธรรม จึงต้องมีการอบรมปัญญาไปอีกหลายๆ ชาติ อุปมาดุจดังดอกบัวที่จมปรักอยู่ใต้โคลนตมยังไม่มีโอกาสงอกเงยขึ้นมาได้ในระยะเวลาอันใกล้ แม้แต่ในชาตินั้น และหากไม่สะสมปัญญาใดๆ เลย ก็เปรียบดังดอกบัวที่เป็นอาหารของปลาและเต่า ไม่มีโอกาสที่จะพ้นน้ำขึ้นมาได้





คอลัมน์ : ว่ายทวนน้ำ โดย “ทวีศักดิ์ อุ่นจิตติกุล”
อ่านเพิ่มเติมที่แฟนเพจ : สาระจากพระธรรม
ขอบคุณภาพ : Bit Core Tech
ขอบคุณเว็บ : https://www.dailynews.co.th/articles/749687/
10 กุมภาพันธ์ 2565 ,10:00 น.
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ