รอยสักอัจฉริยะ อนาคตของเทคโนโลยีที่สวมใส่บนร่างกายได้Summary
๐ ความก้าวหน้าทางวิทยาการทำให้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ถูกพัฒนาและปรับโฉมจนมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ อุปกรณ์หลายชิ้นจึงเปิดทางให้ผู้ใช้สามารถพกและสวมใส่มันติดตัว หรือที่เรียกว่า ‘เทคโนโลยีที่สวมใส่ได้’ (Wearable Techonology) เช่น สมาร์ทวอทช์, จอแสดงภาพแบบสวมหัว ฯลฯ อุปกรณ์เหล่านี้มาพร้อมฟังก์ชันอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น การเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดีย การติดตามด้านสุขภาพและการออกกำลังกาย เป็นต้น
๐ นอกจากอุปกรณ์ที่เราคุ้นเคยแล้ว ปัจจุบันยังมีแล็บที่พยายามพัฒนาเทคโนโลยีสวมใส่ได้ให้อยู่บนผิวหนังของคน ในรูปแบบของ ‘รอยสักอัจฉริยะ’ (Smart Tattoos) เทคโนโลยีที่แนบไปกับผิว สามารถใส่และถอดออกได้ง่าย และอาจมีประสิทธิภาพทางด้านการรับรู้เหนือกว่าอุปกรณ์หลายๆ ชิ้น
‘เทคโนโลยีที่สวมใส่ได้’ หรือ Wearable Techonology เป็นสิ่งที่กำลังป๊อปปูลาร์มากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน เนื่องด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาการทำให้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ถูกพัฒนาและปรับโฉมจนมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ อุปกรณ์หลายชิ้นจึงเปิดทางให้ผู้ใช้สามารถพกและสวมใส่มันติดตัว อาจเป็นเสื้อผ้า เครื่องประดับ ไปจนถึงการฝังเทคโนโลยีในตัวมนุษย์ พร้อมกับติดตั้งฟังก์ชันบางอย่างที่ช่วยให้การดำเนินชีวิตสะดวกสบายยิ่งขึ้น
อุปกรณ์เหล่านี้นอกจากจะมีฟังก์ชันพื้นฐานทางคอมพิวเตอร์ และการเชื่อมต่อกับโซเชียลมีเดียแล้ว บางชิ้นก็สามารถใช้ติดตามปัญหาสุขภาพบางประการได้ด้วย เช่น ติดตามการนอนหลับ ติดตามแคลอรี ไปจนถึงการนับจำนวนก้าวเดินของแต่ละวัน
เมื่อพูดถึงเทคโนโลยีที่สวมใส่ได้ สิ่งแรกที่หลายคนนึกถึงอาจเป็นนาฬิกา หรือสมาร์ทวอทช์ เช่น Apple Watch ที่เราสามารถใช้เช็กข้อความ รับโทรศัพท์ เป็นตัวช่วยออกกำลังกาย เช็กระยะทางการวิ่ง และอีกสารพัดประโยชน์ แต่นอกเหนือจากสมาร์ทวอทช์แล้ว ก็ยังมีเทคโนโลยีส่วมใส่ได้รูปแบบอื่นๆ ที่ถูกใช้มากขึ้นเรื่อยๆ เช่น จอแสดงภาพแบบสวมหัว (head mounted displays หรือ HMDs) ที่ผู้ใช้สามารถชมภาพยนตร์ หรือเล่นเกม โดยสวมเจ้าเครื่องนี้ไว้กับศีรษะโดยตรง
แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้น ปัจจุบันยังมีแล็บที่พยายามพัฒนาเทคโนโลยีสวมใส่ได้ให้อยู่บนผิวหนังของคนในรูปแบบของ ‘รอยสัก’ ด้วย
อินเทอร์เฟซบนผิวหนัง หรือที่มักถูกเรียกว่า ‘รอยสักอัจฉริยะ’ (Smart Tattoos) คือเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาให้ติดตั้งแนบไปกับผิว และอาจมีประสิทธิภาพทางด้านการรับรู้เหนือกว่าเทคโนโลยีหลายๆ ตัว ปัจจุบันสถาบันที่ชื่อว่า Hybrid Body Lab จากมหาวิทยาลัยคอร์เนล เป็นหนึ่งในแล็บที่ศึกษาค้นคว้า วิจัย และทดลองเกี่ยวกับรอยสักอัจฉริยะที่ว่า
@@@@@@@
พวกเขากำลังคิดค้นและพัฒนาอินเทอร์เฟซที่แน่นหนา ง่ายต่อการติดตั้งและถอดออก และสามารถนำมาใช้งานได้หลายวัตถุประสงค์ ตั้งแต่ฟังก์ชันด้านสุขภาพไปจนถึงแฟชั่น โดยมี พินซัง คู (Pin-Sung Ku) นักศึกษาปริญญาเอก ซึ่งเป็นสมาชิกของ Hybrid Body Lab เป็นผู้เขียนงานวิจัยเกี่ยวกับการศึกษารอยสักอัจฉริยะนี้ ร่วมกับ ซินดี้ เคา (Cindy Hsin-Liu Kao) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านการออกแบบที่เน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลาง โดยใช้ชื่อโปรเจกต์ว่า Skinkit
พวกเขาได้เล่าถึงการศึกษา Skinkit ว่า “เราดำเนินการเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว และฉันคิดว่าเราพบความท้าทายทางเทคนิคมากมาย เราต้องการสร้างรอยสักอัจฉริยะแบบแยกส่วน เพื่อให้คนนำไปใช้ได้ง่ายเหมือนกับการต่อเลโก้ อย่างไรก็ตามมันเป็นอุปกรณ์ที่ต้องใช้เวลาพัฒนา ทดสอบ และสร้างชิ้นส่วนตัวอย่างขึ้นมานับไม่ถ้วน”
ซินดี้ เคา กล่าวว่า แล็บของพวกเขาตระหนักถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรม และคิดว่าการนำอุปกรณ์เหล่านี้ไปใช้และทดลองกับประชากรหลายๆ รูปแบบ เป็นหนึ่งในเรื่องที่พวกเขาให้ความสำคัญ
“ผู้คนจากต่างวัฒนธรรม ภูมิหลัง และชาติพันธุ์ ก็น่าจะมีมุมมองต่ออุปกรณ์เหล่านี้แตกต่างกันไปด้วย มันจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องรับฟังความเห็นของผู้คนจำนวนมาก ว่าพวกเขาต้องการให้รอยสักอัจฉริยะมีฟังก์ชันอะไรบ้าง”
แม้จะถูกเรียกว่ารอยสัก แต่อุปกรณ์ที่เขาคิดค้นขึ้นก็ไม่ได้เรียบเนียนติดผิวหนังเหมือนรอยสักจริงๆ แต่มีลักษณะบางเฉียบจนสามารถแนบไปกับผิวหนังได้ พวกเขาประดิษฐ์โครงสร้างของมันขึ้นด้วยกระดาษลอกลายสักแบบชั่วคราว สารเติมแต่งพอลิเมอร์ และน้ำ จนมีลักษณะคล้ายแผ่นฟิล์มบางๆ ซึ่งพวกเขาเรียกมันว่า ‘Skin Cloth’
แผ่นฟิล์มพวกนี้สามารถตัดแต่งเป็นรูปร่างตามที่ต้องการได้ เช่น ปัจจุบันพวกเขาทดลองด้วยการตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนาดประมาณ 3-4 นิ้ว ซึ่งแต่ละชิ้นจะสามารถนำมาประกอบเข้าด้วยกันได้ พร้อมกับติดตั้งแผงวงจรขนาดเล็กที่มีความยืดหยุ่นสูงลงไป
@@@@@@@
“เราเริ่มด้วยการหารูปทรงที่เหมาะสม จากนั้นจึงทำให้มันสามารถปรับขนาดได้ นอกจากนี้ผู้ใช้ก็จะสามารถออกแบบวงจรด้วยตัวเอง สามารถปรับแต่งเลย์เอาต์ด้วยการประกอบชิ้นส่วนหลายๆ อันเข้าด้วยกัน” คูกล่าว
คูยังกล่าวด้วยว่า ข้อดีอย่างหนึ่งของการออกแบบรอยสักอัจฉริยะ คือการนำส่วนประกอบกลับมาใช้ใหม่ได้ และยังเป็นชิ้นส่วนที่สวมใส่และถอดออกได้ง่าย
“สมมติว่าวันนี้คุณต้องการใช้เซนเซอร์ตัวใดตัวหนึ่งเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง แต่พรุ่งนี้คุณต้องการใช้มันในฟังก์ชันที่แตกต่างออกไป คุณก็สามารถถอดชิ้นส่วนบางอย่างออก และนำชิ้นส่วนอื่นมาใช้ได้ในเวลาไม่กี่นาที”
ในการทดสอบ SkinKit นักวิจัยได้คัดเลือกผู้เข้าร่วมที่มีความเข้าใจด้านสะเต็มศึกษา (STEM : การบูรณาการความรู้ระหว่าง 4 สาขาวิชา ได้แก่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์) และมีภูมิหลังด้านการออกแบบเทคโนโลยี มาทดลองสวมใส่รอยสักอัจฉริยะและแสดงความคิดเห็นของพวกเขา
ผู้เข้าร่วมการศึกษาจำนวน 25 คน ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับฟังก์ชันของรอยสักอัจฉริยะว่า พวกเขาต้องการให้มันช่วยเสริมด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี เช่น มีเซนเซอร์ตรวจจับอุณหภูมิเพื่อตรวจหาไข้เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 หรือช่วยซัพพอร์ตความปลอดภัยส่วนบุคคล เช่น ช่วยให้ผู้สวมใส่รักษาระยะห่างทางสังคมระหว่างการระบาดใหญ่ การแจ้งเตือนผู้สวมใส่ขณะที่วิ่งอยู่แล้วมียานพาหนะเข้ามาใกล้ ไปจนถึงการอำนวยความสะดวกสำหรับคนตาบอด เช่น ฟังก์ชันการสั่นเมื่อผู้สวมใส่กำลังจะชนวัตถุ เป็นต้น
แม้รอยสักอัจฉริยะจะยังอยู่ในขั้นตอนศึกษาและทดลอง เราอาจจะยังไม่ได้สวมใส่มันในเร็ววัน แต่การได้รู้ว่าโลกของเรามีการพัฒนาเทคโนโลยีรูปแบบนี้อยู่ ก็ทำให้อนาคตของเทคโนโลยีสวมใส่ได้ดูน่าตื่นเต้นไม่น้อยเลยThank to :-
อ้างอิง : IOTinsider, Techxplore, Hybrid Body Lab
URL :
https://plus.thairath.co.th/topic/futurism/102377Author : กองบรรณาธิการ
creator : กองบรรณาธิการไทยรัฐพลัส
Posted Date : 10 พ.ย. 65