ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: การฝึกสมาธิ ในเมืองอเมริกา | ศิษย์สมเด็จพระญาณสังวร สังฆราชองค์ที่ ๑๙ ส่งกรรมฐาน  (อ่าน 837 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
ขอบคุณภาพจาก https://pantip.com/topic/39561744


การฝึกสมาธิ ในเมืองอเมริกา | Forgive and Let Live - “มีชีวิตอยู่ด้วย การรู้จัก การให้อภัย” | เมื่อศิษย์สมเด็จพระญาณสังวร สังฆราชองค์ที่ ๑๙ ส่งกรรมฐาน

นิตยสาร นิวสวีก ของสหรัฐ ฉบับล่าสุด (ฉบับวันที่ 4 เดือนนี้ ) ได้มีบทความยาวหลายเรื่องในแง่มุมต่างๆ เกี่ยวกับเรื่อง “วิทยาศาตร์แผนใหม่ ระหว่างจิตกับกาย“ โดยสรุปแล้ว การแพทย์ปัจจุบันได้ยอมรับความจริง ซึ่งได้พิสูจน์จากหลักฐานทางวิทยาศาตร์ทางการแพทย์แล้วว่า กายกับจิตมีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด โรคภัยไข้เจ็บทางกายบางโรคอาจรักษาได้ด้วยพลังทางจิต ให้บรรเทาลงหรือหายขาดไปได้เลย หรืออย่างน้อยก็เป็นเป็นการผ่อนคลายความทุกข์ทรมานเนื่องจากความเจ็บป่วยทางกายลงได้บ้างไม่มากก็น้อย

ในปัจจุบันในสหรัฐซึ่งเป็นแหล่งที่มีความเจริญทางวัตถุอย่างสูง มีผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งจำนวนเป็นหมื่นๆคน ได้ใช้วิธีการต่างๆ อย่างเช่นการเจริญสมาธิ โยคะ ไทเก๊ก ชี่กง และการสวดมนต์ เพื่อช่วยตัวเองให้สามารถดำรงชีวิตอยู่กับโรคมะเร็งได้อย่างมีความสุขตามสมควร

ในนิตยสารฉบับนี้มีบทความเรื่องหนึ่ง ชื่อ “มีชีวิตอยู่ด้วยการรู้จักการให้อภัย” (Forgive and Let Live) ได้พรรณาว่า การรู้จักให้อภัย ไม่อาฆาตคุมแค้นเมื่อถูกกระทำให้เจ็บปวดเสียหาย บทความนี้พรรณาว่า การให้อภัยเป็นวิถีของการรักษาสุขภาพอย่างหนึ่ง ตรงกันข้ามการผูกใจเจ็บ ครุ่นคิดแต่จะแก้แค้นเพื่อเป็นการตอบแทนผู้ที่ทำให้ตนเสียหาย มีแต่ทำให้เกิดความเครียดซึ่งจะเป็นผลร้ายต่อสุขภาพของตนเอง

แท้ที่จริงแนวทางดังกล่าวนี้เป็นวิถีทางของชาวพุทธ ซึ่งเราเรียกว่าเป็นการแผ่เมตตา ส่งพลังหรือกระแสทางจิตในการให้ความรักความเมตตาและการให้อภัยแก่เพื่อนมนุษย์นั่นเอง.! ฝรั่งยุคนี้เพิ่งมาค้นพบความจริงข้อนี้.!

ยิ่งไปกว่านั้น ในนิตยสาร นิวส์วีค เล่มนี้ ยังมีบทความที่เปิดเผยว่า ในปัจจุบันมีความนิยมแพร่หลาย ในการเปิดอบรมสอนวิธีนั่งสมาธิตามหลักพระพุทธศาสนาเพื่อคลายความเครียด เรียกชื่อเป็นภาษาฝรั่ง แถมมีชื่อย่อเสียหรูหรา เขาเรียกการอบรมสมาธิตามวิธีการทางพุทธศาสนาเสียใหม่ว่า Mindfulness – Based Stress Reduction (แปลง่ายๆ ก็คือ “การฝึกให้มีสติเพื่อลดความเครียด“) และตามวิสัยของคนอเมริกัน ถ้าจะให้เกิดความขลังต้องมีคำย่อ เขาเรียกวิธีการฝึกให้มีสติเช่นนี้เป็นคำย่อว่า MBSR

@@@@@@@

การฝึกอบรม MBSR นี้กำลังเป็นที่นิยมแพร่หลายในเมืองอเมริกา มีฝรั่งตั้งตนเป็นอาจารย์สอนการฝึกสมาธิตามแนวพุทธ เพื่อคลายความเครียด มีอยู่หลายสำนักทั่วประเทศอเมริกา ที่ศูนย์การฝึกแห่งหนึ่งที่รัฐเทกซัส ใช้เวลาฝึก 8 สัปดาห์ มีคนผ่านการอบรมดังกล่าวนี้แล้ว มีจำนวนถึง 15,000 คน และยังมีผู้คนอีกเป็นจำนวนมากที่ลงชื่อสมัครรอเข้ารับการอบรม ที่น่ารักอย่างหนึ่ง ก็คือการฝึกสมาธิของฝรั่งเหล่านี้ เขายอมรับอย่างเปิดเผยว่า เป็นไปตามหลักคำสั่งสอนของพระพุทธองค์

วิธีการสอนเท่าที่อ่านดูในนิตยสารนิวสวีก ก็เหมือนกับการฝึกสมาธิขั้นต้นตามสำนักต่างๆในบ้านเรา คือให้ผู้รับการฝึกนั่งขัดสมาธิ แล้วพิจารณากำหนดลมหายใจ พิจารณาจิตของตนเอง

ในชั้นแรกจิตจะไม่อยู่นิ่ง กระโดดไปกระโดดมา วุ่นวายไปหมด เขาบอกด้วยว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าจิตมนุษย์นั้นเหมือนลิงหรือเหมือนม้า คือวิ่งพล่านไม่อยู่กับที่ เขาก็สอนให้ผู้ฝึกคอยกำหนดสติ เพื่อฝึกจิตให้ลดความวุ่นวาย จนจิตสงบเชื่องนิ่งลงได้

นี่คือเป้าหมายของการฝึกสมาธิของฝรั่งซึ่งอ้างว่าเอามาจากคำสอนของพระพุทธเจ้า คือ เพียงทำให้จิตสงบ ไม่วุ่นวาย เพื่อจะได้ลดความเครียด ลงเท่านั้น เป้าหมายของฝรั่งในการฝึกสมาธิ ไม่ได้ไปไกลถึงพระนิพานหรือฌานสมาบัติขั้นต่างๆเลย


@@@@@@@

เมื่อได้อ่านบทความเรื่องเหล่านี้จากนิตยสารนิวสวีกฉบับล่าสุดแล้ว จึงอยากเล่าถึงประสบการณ์ของตนเองเรื่องการฝึกสมาธิตามแบบไทยๆของเราบ้าง เมื่อประมาณ พ.ศ. 2515 คือเมื่อ 32 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมเป็นอาจารย์อยู่ธรรมศาสตร์ มีหน้าที่ประการหนึ่ง คืออยู่ในคณะอาจารย์ผู้สอนวิชาพื้นฐานอารยธรรมไทย ซึ่งมีท่านอาจารย์ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นหัวหน้า

ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้นิมนต์ พระเดชพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๙ ซึ่งในตอนนั้นยังเป็นพระสาสนโสภณ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ให้มาเป็นผู้บรรยายวิชาเรื่องพระพุทธศาสนา เป็นเวลา 2-3 สัปดาห์ๆละ 2 ชั่วโมง ตอนบ่าย

ผมรับหน้าที่ขับรถส่วนตัว ซึ่งเป็นรถยนต์เฟียต 1100 ไปรับส่งท่านจากวัดมายังหอประชุมเล็ก ธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นสถานที่บรรยาย พอท่านบรรยายเสร็จก็ขับรถไปส่งท่านที่วัด จึงรู้จักคุ้นเคยใกล้ชิดกับท่าน เป็นอย่างดีในสมัยนั้น

ต่อมาได้ทราบว่าท่านจัดธรรมบรรยายทางกัมมัฏฐาน เป็นการสอนให้ฝึกหลักสมาธิ เป็นประจำในช่วงเวลาเข้าพรรษา ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ตอนกลางคืนหลังวันพระหนึ่งวัน เวลาประมาณหนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม ผมก็เลยไปเรียนวิชากัมมัฏฐาน วิชาฝึกสมาธิอยู่ตลอดฤดูเข้าพรรษาปีนั้น กับท่านเจ้าพระคุณพระสาสนโสภณ ซึ่งต่อมาได้เป็นสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช

@@@@@@@

พอออกพรรษาได้พบกับท่าน ท่านได้ไต่ถามถึงผลการเรียนฝึกสมาธิ ก็ได้กราบเรียนท่านว่า ก็ได้ฝึกทำสมาธิเป็นประจำเกือบทุกวันๆละประมาณ 20 นาที

    แต่มีข้อข้องใจประการหนึ่งว่า นั่งสมาธิอย่างไรๆ ก็ไม่เคยปรากฎว่ามีนิมิตอะไรให้เห็นเลย นอกจากมักเห็นเป็นรัศมีสว่างแวววาวเท่านั้น
    ท่านบอกว่า นั่งสมาธิแล้ว ไม่เห็นนิมิตอะไรนอกจากแสงสว่างเป็นรัศมีแวววาวนั่น แหละดี.! แสดงว่ามีพลังจิตมั่นคง.! ไม่อ่อนไหวไปตามกระแสของอารมณ์.!

    ได้เรียนถามท่านว่า มีทางเรียนกัมมัฏฐานให้สูงขึ้นไปอีกได้หรือไม่.?
    ท่านบอกว่าคนอย่างผม ซึ่งคงจะดำรงตนอยู่ในเพศฆราวาส เรียนฝึกสมาธิเพียงเท่านี้ก็พอแล้ว พอให้เกิดสติ พิจารณาตนเองได้
    สำคัญท่านบอกว่าให้นั่งสมาธิได้เป็นประจำวันละประมาณ 20- 30 นาทีก็พอแล้ว
    ท่านพูดยิ้มๆทิ้งท้ายว่า “ถ้าอยากเรียนกัมมัฏฐานให้สูงกว่านี้ ก็ต้องมาอยู่ด้วยกัน.!”

    ผมคงมีสีหน้าสงสัยในคำกล่าวของท่านเช่นนั้น ท่านจึงอธิบายต่อไปว่า
   ”ที่บอกว่าให้ต้องมาอยู่ด้วยกันนั้น หมายถึง ต้องมาบวชเป็นพระมาอยู่วัดด้วยกัน จึงควรเรียนสมาธิวิปัสสนาให้สูงขึ้น ถ้าอยู่เป็นคฤหัสถ์ เรียนฝึกสมาธิเพียงเท่านี้ ให้สามารถมีสติกำกับการดำรงชีวิตได้ก็พอแล้ว“

ผมก็ปฎิบัติตามคำแนะนำของท่าน ตลอดเวลา 30 กว่าปีมานี่ ผมไหว้พระสวดมนต์แล้ว ก็นั่งสมาธิสัก 15 – 20 นาที เกือบเป็นประจำทุกวัน เมื่อนั่งสมาธิเสร็จแล้ว ผมก็สวดอภิณหปัจจเวกขณ์ และสวดพรหมวิหารภาวนา อย่างที่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ สอนที่วัดบวรนิเวศวิหารในสมัยนั้น


@@@@@@@

หลังจากนั้น ผมก็ไม่ได้ไปเล่าเรียนวิชาฝึกกัมมัฏฐานหรือฝึกสมาธิจากสำนักไหนอีกเลย แต่ติดตามอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องการฝึกจิตเป็นประจำ เท่าที่ได้ติดตามอ่าน หนังสือเกี่ยวกับเรื่องการฝึกสมาธิมา เห็นควรจะแนะนำให้ผู้สนใจในเรื่องทำนองนี้ ได้ลองอ่านหนังสือเรื่อง "ปาฏิหาริย์ของการตื่นอยู่เสมอ" ของ ท่านติช นัท ฮันห์ ซึ่งแปลโดย พระประชา ปสนฺนธมฺโม

ท่านติช นัท ฮันห์ เป็นพระในนิกายเซ็น สายเวียดนาม แต่ต้องลี้ภัยสงครามเวียดนามไปอยู่ในฝรั่งเศส เป็นเวลานานเกือบ 40 ปี ได้ข่าวว่าท่านและสานุศิษย์จะเดินทางกลับมาเวียดนามอีกครั้งในเร็วๆนี้ หนังสือเรื่อง ปาฏิหาริย์ของการตื่นอยู่เสมอ เป็นหนังสืออ่านง่าย มีหนังสือเรื่องนี้เป็นภาษาอังกฤษมีจำหน่ายในร้านขายหนังสือในกรุงเทพฯ แต่ฉบับแปลเป็นภาษาไทยก็แปลได้อย่างกระจ่างชัดทีเดียว

ในหนังสือเรื่องนี้ท่านติช นัท ฮันห์ สามารถชี้ให้เห็นแนวทางอันทรงคุณค่าของการฝึกสมาธิ และท่านผู้แปลหนังสือนี้เป็นภาษาไทย ยังสามารถเลือกใช้คำในภาษาไทยได้อย่างเหมาะสม สำหรับคำว่า “การตื่นอยู่เสมอ” ซึ่งแปลมาจากคำในภาษาอังกฤษว่า “Mindfulness”

คำนี้หมายถึงการมีสติ แต่เมื่อมาใช้คำว่า การตื่นอยู่เสมอ กลับมีความหมายที่เน้นถึงการกำหนดสติให้อยู่กับการงานอย่างหนึ่งอย่างใดขณะกระทำอยู่ จะเป็นการล้างจานก็ดี การปอกส้มรับประทานก็ดี ถ้ามีสภาวะ “การตื่นอยู่เสมอ “ กำกับอยู่ด้วย จะทำให้การกระทำนั้นๆมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

นอกจากนั้น ท่านติช นัท ฮันห์ ยังสามารถอธิบายแนวคิดพื้นฐานของพุทธธรรมได้อย่างกระทัดรัดและกระจ่างชัด อย่างที่ท่านอธิบายเรื่องขันธ์ 5 ในหนังสือนี้ ในบทเรื่อง “หนึ่งคือทั้งหมด ทั้งหมดคือหนึ่ง “ (ในหนังสือนี้ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2528 หน้า 52- 55 )

ต่อมาได้ไปพบหนังสือของท่าน ติช นัท ฮันห์ อีกเล่มหนึ่ง ได้ไปอ่านพบในบทความของท่านอาจาจารย์ยุค ศรีอาริยะ เรื่อง “สมาธิยิ้มและชี่กงไร้ท่า”ได้แนะนำให้ไปอ่านหนังสือ ของท่าน ติช นัท ฮันห์ ชื่อ วิถีแห่งบัวบาน บทภาวนาเพื่อการบำบัดและการเปลี่ยนแปร

@@@@@@@

เมื่อได้หนังสือเล่มนี้มาแล้ว ปรากฎว่า คุณสุภาพร พงศ์พฤกษ์ เป็นผู้แปล ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยได้อย่างงดงามทีเดียว ต่อมาได้ทราบว่าคุณสุภาพร ผู้แปลหนังสือเล่มนี้ได้จากโลกนี้ไปแล้วด้วยโรคมะเร็ง จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้สูญเสียนักปฏิบัติธรรมและนักแปลที่สามารถไปเสียแล้ว

หนังสือนี้มี “บทฝึกปฎิบัติ” เป็นการภาวนาถึง 39 บท คัดสรรมาจากพระสูตรของนิกายเซน หรือ ธนายะ ซึ่งได้มีการฝึกปฏิบัติกันจริงๆ ก่อนที่จะได้นำมาฝึกปฏิบัติกันในหมู่ผู้ฝึกภาวนาทั้งหลาย ดังนั้นอาจใช้เป็นคู่มือในการฝึกสมาธิภาวนาได้เป็นอย่างดีทีเดียว

มีหนังสืออีกเรื่องหนึ่งของท่าน ติช นัท ฮันห์ เสียดายที่เล่มนี้ ยังไม่สามารถสืบค้นได้ว่ามีผู้แปลเป็นภาษาไทยแล้วหรือยัง หนังสือนี้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า No Death , No Fear Comforting Wisdom for Life

หนังสือเล่มนี้ เป็นบทพรรณาถึงวิถีของความตาย พุทธศาสนาสอนว่าการเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย ล้วนเป็นสิ่งที่เราทุกคนไม่มีทางหลีกหนีไปได้ ในหนังสือเล่มนี้ ท่านติช นัท ฮันท์ ได้พรรณาถึงวิธีการเผชิญความจริงของชีวิตในเรื่องความตาย ซึ่งในเรื่องนี้พระพุทธศาสนาฝ่ายไทยไม่ค่อยได้กล่าวถึงมากนัก นอกจากกล่าวว่าเป็นสภาพความเป็นอนิจจังของชีวิตประการหนึ่ง ซึ่งเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ฉะนั้นการถ้าได้อ่านหนังสือเล่มนี้ของท่านติช นัท ฮันห์ จึงทำให้ได้เห็นวงจรของชีวิตได้อย่างครบบริบูรณ์ทีเดียว เสียดายที่ยังหาหนังสือแปลเป็นภาษาไทยเรื่องนี้ยังไม่ได้

คราวนี้ยกเรื่องฝึกสมาธิในเมืองอเมริกาเป็นต้นเรื่อง แล้วไหลไปได้เรื่อยๆ จนมาจบลงที่หนังสือท่านติช นัท ฮันท์ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้.!







Thank to : https://mgronline.com/daily/detail/9470000062065
เผยแพร่ : 4 ต.ค. 2547 17:59 , โดย : เกษม ศิริสัมพันธ์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 13, 2022, 06:35:51 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ