ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: วิชาประวัติศาสตร์ จะเป็นใหญ่ในโรงเรียน แต่เป็นประวัติศาสตร์แบบไหน สอนอย่างไร.?  (อ่าน 890 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0




วิชาประวัติศาสตร์ (กำลัง) จะเป็นใหญ่ในโรงเรียน แต่เป็นประวัติศาสตร์แบบไหน และสอนกันอย่างไร.?

Summary

    • ปลายเดือนพฤศจิกายน 2565 ว่า ประชุมคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) มีมติเห็นชอบแนวทางขับเคลื่อนการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง ก็ได้มีกระแสวิจารณ์อย่างหนักจากเหล่าครูและผู้เกี่ยวข้อง
    • การแยกวิชาประวัติศาสตร์ออกมาเป็นวิชาเดี่ยว ส่งผลถึงการขาดการบูรณาการ เน้นการสอนแบบท่องจำ ข้อจำกัดทางกฎหมายที่ทำให้พูดถึงเรื่องที่เปราะบางในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยได้ไม่เต็มที่
    • วิชาด้านสังคมศึกษา ควรสร้างประสบการณ์ของนักเรียนให้รู้จักโลกที่กว้างขวาง แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น จะไม่พ้นการสอนแบบท่องจำ มากกว่าทักษะกระบวนการการสืบค้น การใช้หลักฐานและการวิพากษ์อย่างที่ควรจะเป็น




นโยบายทิ้งทวนของกระทรวงศึกษาธิการก่อนเลือกตั้ง อย่างการให้วิชาประวัติศาสตร์กลายเป็น ‘วิชา +1’ กลายเป็นประเด็นร้อนสร้างความกังวลใจให้แก่คนหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นครูผู้สอน ผู้บริหารโรงเรียน นักเรียนสายประวัติศาสตร์ กระทั่งนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง 

เมื่อเป็นข่าวในปลายเดือนพฤศจิกายน 2565 ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) มีมติเห็นชอบแนวทางขับเคลื่อนการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง ก็ได้มีกระแสวิจารณ์อย่างหนักจากเหล่าครูและผู้เกี่ยวข้อง แม้ผู้มีอำนาจพยายามยืนยันว่าจะไม่เพิ่มชั่วโมงเรียน และ “ไม่ได้เพิ่มภาระผู้เรียนและครู” แต่ไม่มีใครวางใจการใช้อำนาจเช่นนี้ของกระทรวงที่มักจบลงที่การเพิ่มงานอย่างไม่จำเป็นอย่างเสมอโดยขาดฉันทามติ

@@@@@@@

ข้อเสนอจากฐานงานวิจัยปี 2564.?

ปีที่ผ่านมา ได้มีทีมวิจัย ‘สภาพการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน’ [1] ที่ลงมือในนามนโยบาย Quick win ของ ตรีนุช เทียนทอง เจ้ากระทรวง งานวิจัยอ้างว่าได้เก็บข้อมูลเชิงปริมาณจากผู้สอน 10,884 คน จากนักเรียน 60,887 คน จากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ เพื่อศึกษาสภาพและจัดทำข้อเสนอแนะ

งานวิจัยได้ชี้ปัญหาซึ่งผู้เขียนได้ดึงมาบางส่วนก็คือ ครูสอนประวัติศาสตร์ได้รับมอบหมายให้สอนโดยไม่ตรงเอก ขาดประสบการณ์ ผู้เรียนพึงพอใจการสอนวิชาประวัติศาสตร์ระดับต่ำ ร้อยละ 38.10 

การแยกวิชาประวัติศาสตร์ออกมาเป็นวิชาเดี่ยว ส่งผลถึงการขาดการบูรณาการ เน้นการสอนแบบท่องจำ ข้อจำกัดทางกฎหมายที่ทำให้พูดถึงเรื่องที่เปราะบางในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยได้ไม่เต็มที่ คะแนนวิชาประวัติศาสตร์ใน O-NET ต่ำมาก และที่เห็นตรงกันมากคือ ตำราเรียนไม่ได้มาตรฐาน ขาดสื่อที่น่าสนใจและขาดแคลนอุปกรณ์การเรียนที่เอื้อต่อการเรียน

ข้อเสนอของวิจัยนั้น มีลักษณะรวมศูนย์กลาง ตั้งแต่การกำหนดการสอนวิชาให้เป็นวาระสำคัญระดับชาติ ผลักดันให้เกิดแผนแม่บทของวิชาประวัติศาสตร์ แมสเสจรองก็ชี้ว่า ให้สมัชชาการศึกษาจังหวัดเป็นเจ้าภาพประวัติศาสตร์ในระดับท้องถิ่น และให้สอนประวัติศาสตร์ที่ไม่ใช่สร้างชาติจากความเกลียดชัง และประวัติศาสตร์ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งประวัติศาสตร์ไทย สากล ท้องถิ่น และบุคคลสำคัญในแต่ละภูมิภาค ในระดับครู ก็เสนอไปถึงควรให้มีครูเอกประวัติศาสตร์ สร้างตำราครูสอนประวัติศาสตร์ในมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ 

@@@@@@@

ตรีนุชคิดและ (จะ) ทำอะไร.?

เราอาจวิเคราะห์ความคาดหวังของ ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้จากนิทรรศการ ‘การจัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์’ ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม กิจกรรมดังกล่าวได้ตอกย้ำว่าเป็นการพัฒนาการจัดการเรียนการสอน ประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง และศีลธรรม ให้มี ‘ความทันสมัย’ ในงานแบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ 

1. ‘วิชาประวัติศาสตร์ประกาศความเป็นไทย’ ผ่านโครงสร้างเวลาเรียนรายวิชาพื้นฐาน ในนามโครงสร้าง 8+1 เน้นการเรียนรู้เชิงรุก หรือ active learning
2. Best Practice จากโรงเรียนต่างๆ ที่เคยทำอยู่แล้วจากการประยุกต์ความรู้ท้องถิ่นเข้ากับสื่อสังคมออนไลน์ หรือการจัดทำแอนิเมชัน
3. สาธิตและมอบสื่อบอร์ดเกมจากมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
4. สื่อและแหล่งเรียนรู้วิชาประวัติศาสตร์ ผ่านการ์ตูนแอนิเมชัน บอร์ดเกม สื่อเทคโนโลยีภาพเสมือนจริง 

น่าเสียดายที่ยังไม่มีรายละเอียดว่าโครงสร้างเวลาในการเรียนการสอนจะเป็นอย่างไร เพราะต้องรอประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ความน่าเป็นห่วงก็คือ ตามข่าวระบุว่า กระทรวงศึกษาธิการพยายามจะผลักดันหลักสูตรและตัวชี้วัดให้ทันใช้ในปี 2567 ซึ่งนับว่าเป็นความพยายามโดยไร้ฉันทามติใดๆ ของสังคม เนื้อข่าวที่เห็นก็แสดงเพียงว่า จะเอาประวัติศาสตร์ที่มีเนื้อหาและกระบวนการอย่างไรไม่ทราบได้มาแต่งตัวใหม่ในรูปแบบ ‘ความทันสมัย’ โดยการใช้สื่อและเทคโนโลยีมาจับ

อันที่จริงตัวอย่างสื่อในข้อที่ 4 ที่ว่าด้วยสื่อการ์ตูนแอนิเมชัน การยกเรื่อง ‘จิตตนคร’ และ ‘สัมมาทิฏฐิ’ มาเป็นตัวอย่างแอนิเมชัน ก็น่าจะทำให้เห็นภาพรางๆ ว่า การจัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์นั้นถูกคาดหวังให้รับใช้หน้าที่พลเมืองและศีลธรรมความเป็นไทยอย่างไร 

อนึ่ง ตรีนุช อีกเช่นกัน ที่แถลงข่าวเมื่อ 2 ธันวาคม ว่าจะมีการนำหนังสือพระราชทาน ในนาม ‘จิตตนคร นครหลวงของโลก’ และ ‘สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ’ ไปจัดการเรียนรู้ในโรงเรียน หนังสือดังกล่าวเป็นผลงานของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร (เจริญ สุวฑฒโน) ในหลวง รัชกาลที่ 10 มีพระราชดำริให้จัดพิมพ์หนังสือดังกล่าวเพื่อพระราชทาน แก่พสกนิกรทั่วไป ดังรายละเอียดว่า

“พระองค์ทรงมีพระวิสัยทัศน์ให้นำหนังสือทั้งสองเล่ม ไปจัดกิจกรรมการเรียนรู้และส่งเสริมการอ่าน ให้ผู้เรียนได้ศึกษาเข้าใจหลักธรรม เพื่อพัฒนาการศึกษาและพัฒนาตนเองให้มีความยั่งยืนสมบูรณ์พร้อม มีความรู้ควบคู่ธรรมะประจำตน ดังที่ทรงได้กล่าวถึงพระวิสัยทัศน์แห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ซึ่งทรงเป็นกำลังอันสำคัญยิ่งในการพัฒนาการศึกษาของไทย โดยทรงเริ่มพัฒนาคน คือประชาชน ให้มีการศึกษาอย่างทั่วถึงเป็นอันดับแรก”

การดำเนินการนี้ยังถูกเน้นย้ำว่า จะสอดคล้องไปกับ “พระบรมราโชบายด้านการศึกษา 4 ประการ” อันจะถูกนำมาเป็นเป้าประสงค์ของแต่ละกิจกรรมนั่นคือ “ทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง-มีคุณธรรม มีงานทำมีอาชีพ และเป็นพลเมืองที่ดี” แม้เราตอบไม่ได้ตอนนี้ว่าวิชาประวัติศาสตร์ในฐาน +1 ที่ตรีนุชจะผลักดันนั้นจะมีรายละเอียดเป็นอย่างไร แต่ตัวอย่างนี้ก็อาจเป็นตัวช่วยให้เราพอปะติดปะต่อได้

@@@@@@@

ประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมืองดีของใคร

โจทย์ที่จะทำให้ประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง และศีลธรรม ‘ทันสมัย’ ขึ้น เท่าที่เห็นจากข้อเสนอ คือ การเอาไปทำให้สนุก เป็นการ์ตูน อยู่ในเทคโนโลยีใหม่ แต่คำถามใหญ่กว่านั้นคือ แก่นของเนื้อหาคืออะไร ในวงการศึกษาหัวก้าวหน้าที่ผ่านมา เราอาจจะได้ยินคำว่า การศึกษาในศตวรรษที่ 21 พลเมืองโลก ฯลฯ การสอนประวัติศาสตร์ที่จุดพลุมาใหม่นี้ เชื่อมโยงอะไรกับสิ่งเหล่านี้หรือไม่ 

ปฏิเสธมิได้ว่า ในห้วงเวลาหลังรัฐประหาร 2557 เป็นต้นมา ความเป็นการเมืองเริ่มเข้ามามีบทบาทในสถานศึกษามากยิ่งขึ้น ทั้งฝ่ายอำนาจรัฐ และคนรุ่นใหม่ สำหรับฝ่ายหลัง พวกเขาทั้งในรั้วมหาวิทยาลัยและโรงเรียน กลับไม่เป็นไปตามคำสั่ง ทั้งยังออกมาท้าทายและตอบโต้อำนาจรัฐในรูปแบบและวิธีการต่างๆ ที่หลากหลาย การบุกไปถึงรังเหย้าของกระทรวงศึกษาธิการของนักเรียนและคนรุ่นใหม่ชี้ให้เห็นการประกาศศึกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน 

ไม่เพียงเท่านั้น ที่ถือว่าตบหน้าการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ไทยอย่างชัดเจน ก็คือ ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ และการขายออนไลน์ หนังสือประวัติศาสตร์นอกกระแส คำถามต่อประวัติศาสตร์การเมืองที่ทำการกดขี่ผู้คนขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า และผู้อุดหนุนส่วนใหญ่ก็คือเยาวชนคนรุ่นใหม่เสียด้วย

เยาวชนเหล่านี้ อยู่ตรงข้ามกับนิยามพลเมืองดีที่พวกเขาคาดหวังหรือไม่? พลเมืองดีที่คาดหวังว่าจะเคารพสยบยอม มากกว่าที่ตั้งคำถาม หวังจะอยู่อย่างสงบสุขมากกว่าจะตั้งคำถามกับความไม่เป็นธรรมในโรงเรียน หรือสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกความคิดเห็น ซึ่งต่างจากโลกตะวันตกที่ส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนตระหนักเรื่องสิทธิเสรีภาพอันเป็นพื้นฐานของพลเมือง อันอยู่กันแทบคนละโลกกับนิยาม ‘พลเมืองดี’ แบบไทยๆ

@@@@@@@

อุดมคติ และความเป็นจริงในการสอนและบุคลากรการศึกษา 

หากเอางานวิจัยปี 2564 ด้านบนมาย้อนอ่านอีกรอบ ปัญหาก็ระบุชัดเจนมากอยู่ส่วนหนึ่งก็คือ เรื่องครูผู้สอนที่มีจำนวนมากไม่ตรงกับเอก หรือควรลดภารกิจอย่างอื่นของครูให้สามารถโฟกัสกับการสอนได้มากขึ้น ยังไม่ต้องนับว่าปัญหาทั่วไทยที่เป็นอยู่คือ ความไม่สมดุลของครูกับโรงเรียนและจำนวนนักเรียน และการจ้างงานครูอัตราจ้างในอัตราที่ต่ำกว่าแรงงานขั้นต่ำ ในโรงเรียนขนาดเล็กและขนาดกลางภารกิจของครู 

ข้อเสนอเรื่องการสอนประวัติศาสตร์ กลายเป็นการกลบปัญหาของการสอนวิชาอื่นๆ ยิ่งทำให้ทรัพยากรที่มีอยู่น้อยอยู่แล้วถูกเน้นไปที่วิชานี้เป็นหลัก มีโอกาสที่จะทำให้วิชาประวัติศาสตร์ถูกแยกเดี่ยวออกมา และเป็นปัญหาแบบที่งานวิจัยระบุ คือขาดการบูรณาการกับวิชาอื่นๆ

ทั้งที่วิชาด้านสังคมศึกษา ควรเป็นศาสตร์ที่บูรณาการความรู้เพื่อสร้างประสบการณ์ของนักเรียนให้รู้จักโลกที่กว้างขวาง ข้อเสนองานวิจัยปี 2564 ยิ่งให้ลงรายละเอียดไปที่เนื้อหาอันมากมายอย่างเช่น เสนอว่าควรมีเนื้อหา ประวัติศาสตร์หลัก (น่าจะเป็นประวัติศาสตร์ไทยที่สอนกันทั่วไป), ประวัติศาสตร์สากลและประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ที่จะทำให้เนื้อยิบย่อยเต็มไปหมด ซึ่งในที่สุดจะไม่พ้นไปจากการสอนแบบท่องจำ มากกว่าทักษะกระบวนการการสืบค้น การใช้หลักฐานและการวิพากษ์อย่างที่ควรจะเป็น

@@@@@@@

จับตานโยบายทิ้งทวนกับการศึกษาไทย

ไม่ใช่เฉพาะเรื่องวิชาประวัติศาสตร์ที่เพิ่งจะมาเป็นประเด็น ที่ผ่านมา บนรอยต่อของอำนาจรัฐไทย มักเกิดการเปลี่ยนแปลงกับการศึกษา ตั้งแต่ระดับอุดมศึกษาโดยเฉพาะช่วงเปลี่ยนผ่านอำนาจในระยะหลัง เห็นได้จากการที่มหาวิทยาลัยระดับประเทศหลายแห่งฉวยโอกาสช่วงรัฐประหารผลักดันมหาวิทยาลัยให้ ‘ออกนอกระบบ’ เนื่องจากการผ่านกฎหมายในช่วงรัฐสภาไม่ใช่เรื่องง่าย และผู้บริหารบางคนยังไปนั่งอยู่ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทั้งในรัฐประหาร 2549 และ 2557 

หรือการปรับเปลี่ยนโครงสร้างอย่างกระทรวงอุดมศึกษาฯ ที่สร้างกลไกรวมศูนย์เพื่อควบคุมมหาวิทยาลัยและการวิจัยให้ตอบสนองโจทย์ยุทธศาสตร์ประเทศ 20 ปี ที่ไร้การมีส่วนร่วมอย่างน่าละอาย ก็เกิดขึ้นในช่วงรอยต่อรัฐบาลเผด็จการ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และการเลือกตั้งใหม่ในปี 2562 

หรือในระดับโรงเรียน นโยบายต่างๆ ที่สั่งการลงไปเพื่อหวังจะให้เกิดความเปลี่ยนแปลงด้วยน้ำมือของรัฐบาลรัฐประหารอย่างค่านิยมหลักของคนไทย 12 ประการ, นโยบายลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้, เพิ่มรายวิชาหน้าที่พลเมืองเข้าไปในหลักสูตร ฯลฯ ก็มิได้สร้างความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีอย่างเป็นชิ้นเป็นอันอะไร ไม่ต้องพูดถึงการสร้างความหายนะแค่ไหนต่อการจัดการการเรียนการสอนที่ทำให้ครูและนักเรียนหัวหมุนกับความไม่แน่นอนของคำสั่งจากรัฐ

การศึกษาไทยที่ผ่านมา กลายเป็นภาพแบบ ‘มือใครยาวสาวได้สาวเอา’ ของผู้มีอำนาจ คือมีอำนาจในการคุมกระทรวง ก็เร่งออกนโยบายโดยไม่จำเป็นต้องฟังเสียงผู้มีส่วนได้เสีย และยิ่งไปกว่านั้น มันยังจรรโลงระบบการบริหารการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจอยู่ที่ส่วนกลาง อันสวนทางการกระจายอำนาจอย่างที่ควรจะเป็น

ทั้งที่ส่วนกลางอาจมีบทบาทกำหนดแนวทางกว้างๆ เพื่อให้ท้องถิ่นเข้าไปกำหนดหลักสูตรและกระบวนการการเรียนรู้โลกที่ไม่จำเป็นต้องสอนเป็นแพทเทิร์นเดียว แต่โครงสร้างทางอำนาจของสังคมไทยนั้นยังไม่เอื้อที่จะให้เกิดสิ่งเหล่านั้น นโยบาย 8+1 ก็เช่นกัน ความเร่งรีบของรัฐบาลนั้น ไม่รู้ว่าจะนำพานักเรียนของเราไปยังที่ใดอีก.






อ้างอิง :-
[1] รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง สภาพการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กรุงเทพฯ: สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ, 2564)

Thank to : https://plus.thairath.co.th/topic/spark/102537
Thairath Plus › Spark , 14 ธ.ค. 65
creator : ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ