ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: งานศพ New Normal ลดขั้นตอนพิธีกรรมหลังความตาย  (อ่าน 923 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

 :96: :96: :96:

งานศพ New Normal ลดขั้นตอนพิธีกรรมหลังความตาย
โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ ใน มติชน (2021-05-20)

กระทรวงสาธารณสุขเชิญสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ทำความเข้าใจ หลังวัดงดสวด ส่งศพขึ้นเมรุเผาทันที (ข่าว 30 เม.ย. 2564)

นพ. ทวี โชติพิทยสุนนท์ ที่ปรึกษากรมควบคุมโรคและกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีพระสงฆ์สวมชุด PPE ในการสวดฌาปนกิจศพว่าไม่มีความจำเป็นและไม่สมเหตุสมผล เพราะการบรรจุศพลงใส่โลง ถ้าเป็นศพที่เสียชีวิตจากโควิดในโรงพยาบาล มีการราดน้ำยาฆ่าเชื้อและนำสำลีชุบน้ำยาฆ่าเชื้ออุดทางรูทวาร และบรรจุใส่ซิปล็อกถึง 3 ชั้น ทุกชั้นต้องราดน้ำยาฆ่าเชื้อ จากนั้นบรรจุโลง จึงเป็นเรื่องยากที่เชื้อจะทะลุถุง 3 ชั้น ออกมานอกโลงได้

ส่วนที่ผู้เสียชีวิตได้รับเชื้อกลายพันธุ์สายพันธุ์อังกฤษที่มีความรุนแรงนั้น ต้องทำความเข้าใจเชื้อไม่รุนแรงจะเสียชีวิตได้อย่างไร และก็เป็นไปไม่ได้ที่เชื้อจะทะลุถุงออกมา ขอเพียงอย่างเดียวญาติและคนใกล้ชิดอย่าเปิดถุงซิปออกเท่านั้น การสวดอภิธรรมศพ หรือทำบุญให้ผู้ตายยังทำได้ตามปกติ และไม่เห็นด้วยหากจะไม่มีพิธีในการทำศพเลยและนำศพยกขึ้นเมรุเผาทันที ทั้งนี้เพื่อให้เวลาญาติทำใจ เพียงแต่อาจลดขั้นตอนในการสวดศพจาก 3 วัน เหลือ 1 วันได้

@@@@@@@

สวดพระอภิธรรมงานศพ ไม่มีในพุทธศาสนา

สวดพระอภิธรรมหลายวันในงานศพเพื่อส่งวิญญาณผู้ตายสู่สุคติบนสรวงสวรรค์ ไม่มีบทบัญญัติในศาสนาพุทธ ดังนั้นงานศพในอินเดีย (ซึ่งเป็นต้นแบบ) จึงไม่พบพระสงฆ์สวดพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ สวดพระอภิธรรมงานศพไม่มีในบทพุทธบัญญัติ แต่เป็นประเพณี “เพิ่งสร้าง” ขึ้นใหม่สมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่งมีความเป็นมาอย่างย่อ ดังนี้

    1. ก่อนรับประเพณีเผาศพจากอินเดีย งานศพดั้งเดิมของอุษาคเนย์ (และไทยรับมา) เมื่อหลายพันปีมาแล้ว มีหมอขวัญกับหมอแคน (ซึ่งเป็นหญิงทั้งคู่) ทำพิธีเรียกขวัญคืนร่างคนตายในงานศพ ตามความเชื่อทางศาสนาผีเรื่องคนตายแต่ขวัญไม่ตาย แล้วมีขับลำเล่านิทานเรียก “งันเฮือนดี”

    2. หลังรับศาสนาและรับประเพณีเผาศพจากอินเดียเมื่อสมัยแรกๆ ไม่มีสวดพระอภิธรรม ต่อมางานศพสมัยอยุธยามีพระสงฆ์สวดเล่านิทานเรื่องพระมาลัยโดยเลียนแบบทำนองสวดจากชาวบ้านขับลำทำขวัญงานศพ หรือ “งันเฮือนดี”

    3. สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระสงฆ์เริ่มมีประเพณีสวดพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ในงานศพ มีเหตุจากถูกห้ามสวดลำเรื่องพระมาลัยที่ออกท่าทางสนุกสนานเลยเถิดจนเกินเหตุ

    4. สวดคฤหัสถ์ ล้อเลียนสวดพระมาลัย เมื่อพระสงฆ์ถูกห้ามสวดพระมาลัยต้องไปสวดพระอภิธรรม จากนั้นบรรดาชาวบ้านที่เล่นขับลําออกภาษาอยู่แล้ว ก็ร่วมกันประดิษฐ์คิดพลิกแพลงล้อเลียนสวดพระมาลัยของพระสงฆ์  แล้วเรียกสมัยหลังว่า สวดคฤหัสถ์ (คฤหัสถ์ แปลว่า ผู้ครองเรือน, ชาวบ้าน) ผู้สวดคฤหัสถ์ทุกคนถือ “ตาลิปัด” (เพี้ยนเสียงจากตาลปัตรของพระสงฆ์) แล้วตั้งตู้พระธรรมไว้ข้างหน้า (เลียนแบบพระสงฆ์สวดพระมาลัย มีตู้หนังสือเรื่องพระมาลัยวางไว้ข้างหน้าใช้เปิดอ่านเมื่อสวด)

สวดคฤหัสถ์ ชื่อนี้น่าจะมีหลัง พ.ศ. 2344 (แผ่นดิน ร.1) เพราะกฎพระสงฆ์ (มาตรา 10) เรื่องห้ามนิมนต์พระสงฆ์สวดพระมาลัย แต่ให้เปลี่ยนเป็นนิมนต์สวดพระอภิธรรม มีระบุเพิ่มว่า ถ้าฆราวาสที่มาช่วยงานศพจะสวดพระมาลัยก็ได้ อย่าให้สวดเป็นทํานองตลกคะนอง แต่ไม่ระบุว่าเรียกสวดคฤหัสถ์ ชวนให้สงสัยว่าสวดคฤหัสถ์เพิ่งเป็นชื่อเรียกสมัยหลังจากนั้น หมายถึง การละเล่นของชาวบ้านในงานศพ มีความเป็นมาต่างกัน 2 ส่วน ได้แก่ ทํานองสวดมีต้นแบบจากการขับลําของคนพื้นเมืองหลายพันปีมาแล้ว ส่วนชื่อสวดคฤหัสถ์ได้จากการเรียกล้อเลียนสวดพระมาลัยของพระสงฆ์ มีลําดับดังนี้

    1. ชาวบ้านขับลําทําขวัญหลายพันปีมาแล้ว
    2. สวดพระมาลัยเลียนแบบขับลําของชาวบ้าน
    3. สวดพระอภิธรรม ห้ามสวดพระมาลัย
    4. สวดคฤหัสถ์ ล้อเลียนสวดพระมาลัย






สวดคฤหัสถ์คณะนายเครือ นาฏประเสริฐ (บน) ตัวตุ๊ยกำลังออกท่า (ล่าง ตัวภาษากำลังออกท่า เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2495[ภาพประกอบจากหนังสือ การละเล่นของไทย โดย มนตรี ตราโมท กรมศิลปากร พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2497]

คําอธิบายกระแสหลักสวดคฤหัสถ์ โดยสรุปว่าเป็นการแสดงหรือการละเล่นสืบต่อเปลี่ยนแปลงหรือเลียนแบบเอาอย่างจากสวดพระอภิธรรมของพระภิกษุ โดยผู้สวดคฤหัสถ์ทุกคนถือ “ตาลิปัด” มีตั้งตู้พระธรรมไว้ข้างหน้า บทขึ้นต้นใช้พระธรรมที่พระภิกษุสวด แล้วเรียกการแสดงว่า “สวด” ตามแบบพระสงฆ์ [สรุปจากเรื่อง “สวดคฤหัสถ์” ในหนังสือ การละเล่นของไทย โดย มนตรี ตราโมท (กรมศิลปากร พิมพ์ครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2497) สํานักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งที่สอง พ.ศ. 2540 หน้า 111-116]

แต่เมื่อทบทวนหลักฐานวิชาการประวัติศาสตร์, มานุษยวิทยา, โบราณคดี และอื่นๆ พบว่าความเป็นมาแท้จริงของสวดคฤหัสถ์ต่างจากนิยามคําอธิบายกระแสหลัก




งานศพ New Normal

งานศพตามประเพณีที่ทางการทุกวันนี้กำหนดแบบแผนความเป็นไทย “ไม่ New Normal” ส่งผลกระทบทางเสียหายถึงเศรษฐกิจและสังคมวงกว้าง ดังนี้

     (1.) ใช้เวลานานถึงนานมาก และ
     (2.) ใช้ทุนทรัพย์สูงถึงสูงมาก

เมื่อสวดพระอภิธรรมในงานศพไม่เกี่ยวข้องกับการส่งวิญญาณคนตายไปสู่สุคติ, ไม่มีบทบัญญัติในศาสนาพุทธ, และไม่เคยมีในอินเดีย แต่เป็นประเพณี “เพิ่งสร้าง” ขึ้นใหม่ที่พระสงฆ์สวดให้คนฟังแต่คนนั่งฟังโดยไม่ได้ยินตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์จนปัจจุบัน จึงไม่จำเป็นต้องสืบทอดทุกอย่าง และควรพิจารณาปรับเปลี่ยนลดละเลิกก็ได้ เพื่อไม่ให้เสียเวลามากเกินเหตุและฟุ่มเฟือยเกินไป

ความตายเป็นสิ่งทุกข์โศกมหาศาลอยู่แล้วของมนุษย์ ดังนั้นไม่ควรซ้ำเติมมนุษย์ด้วยความทุกข์เพิ่มอีกที่ต้องขวนขวายทรัพย์สินเงินทองมาประกอบพิธีกรรมเพื่อสนองประเพณีที่ถูกกำหนดจากคนชั้นนำทางการ โดยสังคมไทยทุกระดับควรร่วมกันพิจารณาปรับเปลี่ยนประเพณีงานศพให้คนฐานะต่างกันมีทางเลือกสอดคล้องความปกติใหม่ New Normal ด้วยการลดขั้นตอนพิธีกรรมหลังความตาย เพื่อลดความฟุ่มเฟือยทั้งเวลาและทุนทรัพย์กับสิ่งอื่นๆ ที่เป็นผลตามมามหาศาล

งานศพเป็นพิธีกรรมหลังความตายที่มนุษย์สร้างให้มีขึ้นเองตั้งแต่แรกเมื่อหลายพันปีมาแล้ว ต่อมาหลังจากนั้นก็ปรับเปลี่ยนเป็นระยะๆ โดยไม่ยึดถือตายตัวว่าต้องอย่างนี้อย่างนั้นอย่างโน้น แต่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตามความจำเป็นทางเศรษฐกิจ, การเมือง, สังคมสมัยนั้นๆ ซึ่งมีความเป็นมาอย่างย่อๆ ดังนี้

    1. ตายแล้วไม่เผาไฟ เป็นงานศพสมัยเก่าสุดยังไม่ติดต่อกับอินเดีย จึงมีพิธีกรรมทำศพตามความเชื่อในศาสนาผีของอุษาคเนย์ (โดยไม่กำหนดการแต่งกาย) มี 2 ระดับ ได้แก่ ตระกูลผู้นำเผ่าพันธุ์ ตายแล้วฝังดินในชุมชน “ลานกลางบ้าน” ถือเป็นบริเวณเฮี้ยนและขลังใช้ทำพิธีกรรมสำคัญของเผ่าพันธุ์ ส่วนคนทั่วไป ตายแล้วทิ้งกลางทุ่งกลางน้ำกลางป่าให้แร้งกาหมาหมูจิกกินเป็นอาหาร

    2. ตายแล้วเผา เป็นงานศพสมัยรับประเพณีจากอินเดียตามคติทางศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์–ฮินดู ราวหลัง พ.ศ. 1000 (โดยไม่กำหนดการแต่งกาย) มี 2 ระดับ ได้แก่ ตระกูลคนชั้นนำ ตายแล้วเผาไฟด้วยฟืนบนกองฟอนตามแบบอินเดีย ส่วนคนทั่วไป ถ้ามีเครือญาติลูกหลานมากพอก็ตายแล้วเผาไฟด้วยฟืนบนกองฟอน ถ้ายาจกเข็ญใจไร้ญาติมิตรก็ตายแล้วทิ้งในทุ่งนาป่าดงให้แร้งกาหมูหมากาไก่จิกกิน

@@@@@@@

เมรุเผาศพ

ในรัฐอยุธยาราวหลัง พ.ศ. 2000 เมื่อกษัตริย์สวรรคตต้องจัดพิธีศพตามความเชื่อในลัทธิเทวราชแบบกัมพูชา สร้างพระเมรุมาศด้วยไม้ (เลียนแบบปราสาทนครวัดที่สร้างด้วยหิน) เป็นที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพ

ในรัฐสมัยใหม่กรุงรัตนโกสินทร์ราวหลัง พ.ศ. 2400 ขุนนางข้าราชการตลอดจนผู้ดีมีทรัพย์มหาศาลเมื่อตายไปก็พากันอยากเผาศพบนพระเมรุ จึงเริ่มมีเมรุ (อ่าน เมน) เผาศพตามวัดหลวงในกรุงเทพฯ ที่อยู่นอกกำแพงเมืองสำหรับเผาศพกลุ่ม “ไม่เป็นเจ้า”

ราวหลัง พ.ศ. 2520 เมรุเผาศพตามวัดแพร่หลายเกือบทั่วกรุงเทพฯ แล้วเริ่มแผ่ออกไปปริมณฑลจนลามทั่วประเทศ เพื่อดึงดูดรายได้เข้าวัดจากการเผาศพ

ชุดดำงานศพจากฝรั่ง

แต่งชุดดำไปงานศพเป็นวัฒนธรรมฝรั่งตะวันตกโดยไทยรับมาปฏิบัติราว 100 ปีนี้เอง สมัย ร.5 ส่วนประชาชนคนไทยและคนอุษาคเนย์ดั้งเดิมไม่มีประเพณีแต่งชุดดำไปงานศพ ถ้าต้องไปงานศพก็แต่งตัวตามสบายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์สีสันฉูดฉาดบาดตาแบบไหนก็ได้ไม่จำกัด พบหลักฐานในวรรณคดีหลายเรื่อง เช่น รามเกียรติ์, อิเหนา เป็นต้น

ดังนั้นงานศพ New Normal ไม่จำเป็นต้องแต่งชุดดำ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องแต่งฉูดฉาด โดยชุดทำงานปกติก็แต่งไปงานศพได้ สุภาพที่สุดแล้ว

สิ้นบุญสิ้นวาสนา

เจ้าขุนมูลนาย, ผู้ดี, เศรษฐีพ่อค้ามหาศาล ฯลฯ ทำมาค้าขาย ได้รับยกย่องสรรเสริญจากผู้คนทั้งหลายว่ามีบุญวาสนา จึงมีทรัพย์สินเงินทองกองท่วมหัว ยังใช้ไม่หมด เมื่อตายไปเรียก “สิ้นบุญสิ้นวาสนา”

สิ้นเวรสิ้นกรรม

ไพร่บ้านพลเมือง ทำมาหากิน ปากกัดตีนถีบ หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน บางทีกินมื้ออดมื้อผู้คนทั้งหลายสมเพชเวทนาว่ามีเวรมีกรรม เมื่อตายไม่ต้องอดๆ อยากๆ ทุกข์ทรมานอีกต่อไป เรียก “หมดเวรหมดกรรม”




เผาศพแบบอินเดีย ไม่มีเมรุเผาศพ

ผู้รู้ประเพณีชาวฮินดูหรือพราหมณ์อินเดีย บอกเล่าพิธีเผาศพไว้ยืดยาว จะขอสรุปอย่างกะทัดรัดที่สุดว่า เผาศพแบบอินเดียโดยไม่มีเมรุเผาศพและไม่เผาศพในวัด ดังนี้

    1. ชาวฮินดูไม่เก็บศพไว้นานหลายวัน (จึงไม่มีพิธีศพครั้งที่สองเหมือนอุษาคเนย์)

    2. เมื่อมีคนตายก็ห่อศพด้วยผ้าแล้วคลุมด้วยดอกไม้ วางบนแคร่ หามไปที่เผาศพริมฝั่งแม่น้ำ ซื้อหาไม้ฟืนที่มีวางขายทั่วไปบริเวณนั้น จากนั้นผู้เกี่ยวดองคนตายจุดไฟเผาศพ เสร็จแล้วเก็บอัฐิทั้งหมดไปลอยน้ำ

    3. พระพุทธองค์และหมู่สงฆ์ต้องการให้ถวายเพลิงพระบรมศพ แล้วโปรยพระอัฐิทิ้งไป แต่บรรดากษัตริย์ในชมพูทวีปต้องการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุไปบรรจุไว้บูชาในเจดียสถานแว่นแคว้นของตน จึงเก็บพระบรมสารีริกธาตุไว้ในสถูปเจดีย์ นับเป็นกรณียกเว้นพิเศษต่างจากชาวฮินดูทั่วไป จะยกเป็นลักษณะทั่วไปมิได้

[เก็บความอย่างกะทัดรัด จากบทความเรื่อง “พิธีเกี่ยวกับความตายในศาสนาพราหมณ์–ฮินดู” ของ คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง ใน มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับประจำวันที่ 21-27 ตุลาคม 2559 หน้า 81]




เผาศพผู้ตายจากโควิด-19 ในกรุงนิวเดลี อินเดีย เมื่อเมษายน 2564 (ภาพจากสำนักข่าวเอพี)



อินเดียไม่มีเมรุเผาศพ และไม่เผาศพในวัด เมื่อมีคนตายก็หามไปเผาโดยศพถูกห่อด้วยผ้าขาวนำมายังฆาตเพื่อประกอบพิธีเผาศพ ณ ฌาปนสถานมณิกรรณิการ์ ฆาต เมืองพาราณาสี รัฐอุตตรประเทศ อินเดีย (ภาพจากบทความ “ดวงไม่ถึงฆาต” ที่มาของสำนวนไทย ติดปากจากวัฒนธรรมอินเดีย? โดย ผศ. ดร. อาชว์ภูริชญ์ น้อมเนียน เผยแพร่ใน https://www.silpa-mag.com)



พิธีเผาศพตามประเพณีพิธีกรรมฮินดู บริเวณริมฝั่งแม่น้ำคงคา เมืองพาราณสี รัฐอุตตรประเทศ อินเดีย (ภาพจากบทความ “มรณังโฮเต็ล” โรงแรมรอความตายเมืองพาราณสี สถานที่รอวันคืนสู่โมกษะของชาวอินเดีย โดย ผศ. ดร. อาชว์ภูริชญ์ น้อมเนียน เผยแพร่ใน https://www.silpa-mag.com)





Thank to : http://doh.hpc.go.th/bs/topicDisplay.php?id=588
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 23, 2023, 06:39:03 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ