ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: “ปิดทองหลังพระ”  (อ่าน 1104 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29399
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
“ปิดทองหลังพระ”
« เมื่อ: มีนาคม 20, 2023, 06:50:38 am »
0


“ปิดทองหลังพระ”

หลังจากเห็นชื่อเรื่องในคอลัมน์ Easy living เล่มนี้ ขาประจํา @Rama ทุกท่านคงคุ้นชินกับสุภาษิตไทยคํานี้ “ปิดทองหลังพระ” สุภาษิตนี้อาจโดนใจใครหลายคน หลังจากผ่านพ้นเดือนที่มีวันหยุดยาวกันตั้งแต่เทศกาลวันสงกรานต์ วันฉัตรมงคล จนถึงวันวิสาขบูชา หลายคนในตอนนี้ก็คงมีงานกองเต็มหน้าตัก ความท้อแท้ เหนื่อยหน่ายกําลังเข้ามาครอบงํา บวกกับความคาดหวัง ความกดดัน เสียงตําหนิติติงจากเจ้านาย อาจทําให้คนทํางานอย่างเราๆ คิดถอดใจขึ้นมาได้

“งานก็หนัก เหนื่อยก็เหนื่อย ทําดีเท่าไหร่ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา” หรือ “ทําดีแทบตาย สุดท้ายก็โดนว่า”

คําพูดเหล่านี้อาจผ่านเข้ามาในหัวสมอง ในช่วงที่กําาลังเครียดๆ แบบนี้ วันนี้ @Rama จึงขอหยิบยกเรื่องราวที่ได้ผ่านทาง Content ต่างๆ ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนเองรู้สึกประทับใจและมีกําลังใจทุกครั้งที่ได้หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาอ่าน เป็นเรื่องราวส่วนหนึ่งใน “บันทึกความทรงจําของ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร” (สําานักพิมพ์มติชน) อดีตนายตํารวจราชสําานักประจําและยังเป็นศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ท่านเขียนถึงเหตุการณ์ที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ไว้อย่างน่าประทับใจว่า
 
   “ในคืนวันหนึ่งของปีพ.ศ. 2510 หลังจากได้รับพระราชทานเลี้ยงอาหารค่ำ ในวังไกลกังวลแล้ว...ผมจําได้ว่า คืนนั้นผู้ที่โชคดีได้เข้าเฝ้าฯ รับพระราชทานพระจิตรลดา เป็นนายตําารวจ 8 นาย และนายทหารเรือ 1 นาย... พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จลงมาพร้อมด้วยกล่องใส่พระเครื่องในพระหัตถ์ ทรงอยู่ในฉลองพระองค์ชุดลําาลอง...ขณะที่ทรงวางพระเครื่องลงบนฝ่ามือที่ผมแบออกรับอยู่นั้น ผมมีความรู้สึกว่า องค์พระเครื่องร้อนเหมือนเพิ่งออกจากเตา ซึ่งต่อมาได้มีโอกาสกราบบังคมทูลถามพระองค์ท่านจึงได้ทราบว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงสร้างพระเครื่ององค์นั้น ด้วยการนําเอาวัตถุมงคลหลายชนิดผสมกัน ทั้งดินจากปูชนียสถานต่างๆ ทั่วประเทศ ดอกไม้ที่ประชาชนทูลเกล้าถวายในโอกาสต่างๆ และเส้นพระเจ้า(เส้นผม) ของพระองค์เอง เมื่อผสมกัน โดยใช้กาวลาเท็กซ์เป็นตัวยึดแล้ว จึงทรงกดลงในพิมพ์ (อ.ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์ ซึ่งต่อมาเป็นศิลปินแห่งชาติ เป็นผู้แกะพิมพ์ถวาย) โดยไม่ได้เอาเข้าเตาเผา...”

    @@@@@@@

     “หลังจากที่ได้รับพระราชทานองค์พระเครื่องแล้ว ทรงพระกรุณาพระราชทานพระบรมราโชวาทความว่า...พระที่ให้ไปน่ะ ก่อนจะเอาไปบูชา ให้ปิดทองเสียก่อน แต่ให้ปิดเฉพาะข้างหลังพระเท่านั้น พระราชทานพระบรมราชาธิบายด้วยว่า ที่ให้ปิดทองหลังพระก็เพื่อเตือนตัวเองว่า การทําความดีไม่จําเป็นต้องอวดใคร หรือประกาศให้ใครรู้ ให้ทําาหน้าที่เพื่อหน้าที่ และถือว่าความสําาเร็จในการทําหน้าที่เป็นบําเหน็จรางวัลที่สมบูรณ์แล้ว...ผมเอาพระเครื่องพระราชทานไปปิดทองที่หลังพระแล้วก็ซื้อกรอบใส่ หลังจากนั้นมา “สมเด็จจิตรลดาหรือพระกําลังแผ่นดิน” องค์นั้น ก็เป็นพระเครื่องเพียงองค์เดียวที่ห้อยคอผม...”

     “หลังจากที่ไปเร่ร่อนปฏิบัติหน้าที่อยู่ไกลเบื้องพระยุคลบาท ผมได้มีโอกาสกลับไปเข้าเฝ้าฯ ที่วังไกลกังวลอีกครั้ง...ความรู้สึกเมื่อได้เข้าเฝ้าฯ ซึ่งมีความปิติยินดีที่ได้เข้าเฝ้าฯ พระยุคลบาทอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็มีความน้อยใจในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจ ด้วยความลําบาก และเผชิญกับอันตรายนานาชนิดมาโดยตลอด บางครั้งจนแทบเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่ปรากฏว่ากรมตําารวจมิได้ตอบแทนด้วยบําเหน็จใดๆ ทั้งสิ้น........”

     “ก่อนเสด็จขึ้นในคืนนั้น ผมจึงก้มลงกราบบนโต๊ะเสวย แล้วกราบบังคมทูลว่า ใคร่ขอพระราชทานอะไรสักอย่างหนึ่ง...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ตรัสถามว่า “จะเอาอะไร.?” และผมก็กราบบังคมทูลอย่างกล้าหาญชาญชัยว่า จะขอพระบรมราชานุญาต ปิดทองบนหน้าพระ ที่ได้รับพระราชทานไป พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามเหตุผลที่ผมขอปิดทองหน้าพระ...ผมกราบบังคมทูลอย่างตรงไปตรงมาว่า...พระสมเด็จจิตรลดาหรือพระกําลังแผ่นดินนั้นนับตั้งแต่ได้รับพระราชทานไปห้อยคอแล้ว ต้องทํางานหนักและเหนื่อยเป็นที่สุด เกือบได้รับอันตรายร้ายแรงก็หลายครั้ง มิหนําซ้ำกรมตําารวจยังไม่ให้เงินเดือนขึ้นแม้แต่บาทเดียวอีกด้วย...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงแย้มพระสรวจ(ยิ้ม) ก่อนที่จะมีพระราชดําารัสตอบด้วยพระสุรเสียงที่ส่อพระเมตตาและพระกรุณาว่า “ปิดทองไปข้างหลังพระเรื่อยๆ แล้วทองจะล้นออกมาที่หน้าพระเอง...”


    @@@@@@@

การปิดทองหลังพระเป็นสิ่งที่หลายคนคงไม่ชอบ เพราะเป็นการทําาดีแล้ว ไม่มีคนเห็นว่าเราได้ทําดี แต่หากไม่มีใครปิดทองหลังพระบ้าง ก็คงไม่มีพระที่งดงามบริบูรณ์ได้้ ทุกครั้งที่ผู้เขียนมีโอกาสได้ทํางาน (เยอะๆ) จึงนึกถึงคําว่า “ปิดทองหลังพระ” อยู่เสมอเพื่อคอยเตือนสติบอกกับตัวเองว่า โอกาสที่ได้ทําางานตรงจุดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน สิ่งที่เราทํานั้นแม้จะไม่มีใครเห็น ไม่มีคําสรรเสริญ แต่ทุกครั้งที่ทํางาน ให้ทําด้วยใจรัก ความสุขจะเกิดขึ้นเอง..การทําดีไม่จําเป็นต้องป่าวประกาศให้ใครรู้ เพราะหนึ่งคนที่รู้แน่ๆ คือตัวเราเอง

ดังนั้นทุกครั้งที่ทําดี และเห็นสิ่งที่ได้ทํามีประโยชน์กับใครอีกหลายๆคนในสังคมต่างหาก ที่ทําให้หัวใจพองโตขึ้น  ต้องมีผู้ที่ทํางานปิดทองหลังพระอยู่ในสังคมบ้าง มันจึงจะทําให้การทํางานสมบูรณ์ครบถ้วน หากครั้งหนึ่งโอกาสมาถึงให้คุณได้ปิดทอง เหตุใดท่านจึงต้องคอยปิดทองแต่เพียงด้านเดียว.??

      “การปิดทองหลังพระนั้น เมื่อถึงคราวจําเป็นก็ต้องปิด ว่าที่จริงแล้วคนโดยมากไม่ค่อยชอบปิดทองหลังพระกันนัก เพราะนึกว่าไม่มีใครเห็น แต่ถ้าทุกคนพากันปิดทองแต่ข้างหน้า ไม่มีใครปิดทองหลังพระเลย พระจะเป็นพระที่งามบริบูรณ์ไม่ได้”
      พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 25 กรกฎาคม 2506






Thank to : https://www.rama.mahidol.ac.th/atrama/sites/default/files/public/pdf/column/@Rama8_E03.pdf
Easy Living | ธรรมคิดดี : หนึ่งเสียงเพ่งธรรม | “ปิดทองหลังพระ”
Photo : pinterest
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 20, 2023, 07:21:13 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ