สุขา สังฆัสสะ สามัคคี : ความพร้อมเพรียงของหมู่คณะ นํามาซึ่งความสุขความสามัคคี หมายถึง ความพร้อมเพรียงกัน ความกลมเกลียวเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน ไม่ทะเลาะ เบาะแว้ง วิวาทบาดหมางกัน
กระแสพระราชดํารัส ที่พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย ในโอกาสขึ้นปีใหม่ ๒๕๕๔ ดังความ ตอนหนึ่งว่า
“... ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้ปรากฏตลอดมาว่า ชาติใดเสื่อมสูญย่อยยับอับปางไป ก็เพราะ ประชาชาติขาดสามัคคีธรรม แตกแยกเป็นหมู่คณะ เป็นพรรคเป็นพวก คอยเอารัดเอาเปรียบ ประหัตประหารซึ่งกันและกัน บางพรรคบางพวก ถึงกับเป็นไส้ศึกให้ศัตรูมาจู่โจมทําลายชาติของตน ดังนี้
ข้าพเจ้าจึงขอชักชวนพี่น้องชาวไทยทั้งหลาย ให้ระลึกถึงพระคุณของบรรพบุรุษ ซึ่งได้กอบกู้ รักษาบ้านเกิดเมืองนอนของเรามานั้นให้จงหนัก แล้วถือเอาความสามัคคี ความยินยอมเสียสละ ส่วนตัวเพื่อประโยชน์ยิ่งใหญ่ของประเทศชาติ เป็นคุณธรรมประจําใจอยู่เนืองนิจ
จึงขอให้พี่น้อง ชาวไทยทั้งหลาย จงบําเพ็ญกรณีกิจของตนแต่ละคน ด้วยซื่อสัตย์สุจริต ขยันหมั่นเพียร อดทนและ กล้าหาญ แล้วอุทิศความเสียสละส่วนตัว ความเหน็ดเหนื่อยลําบากยากแค้น เป็นพลีบูชาบรรพบุรุษ ผู้ซึ่งได้ก่อสร้างชาติเป็นมรดกตกทอดมาถึงพวกเราชาวไทยจนบัดนี้"
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่ทหารรักษาพระองค์ในพิธีตรวจพลสวนสนาม เนื่องในโอกาส เฉลิมพระชนมพรรษา วันพุธ ที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๓๒ ความตอนหนึ่งว่า
“... ชาติของเรารักษาเอกราชอธิปไตยมาได้จนถึงทุกวันนี้ด้วยความสามัคคี คนไทยเรา แต่ละคน รู้จักประโยชน์ส่วนรวมของชาติ รู้จักปฏิบัติหน้าที่ให้สอดคล้องและเกื้อกูลกัน ผลการปฏิบัติ ของเรานั้นจึงเกิดเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ ซึ่งสามารถกําจัดและป้องกันภัยต่างๆ มิให้ทําอันตราย แก่เราได้ แม้จะมีศัตรูคิดร้ายบุกรุกคุกคามอย่างหนักหนาเพียงใด เราก็ยังไม่เพลี่ยงพล้ํา ขอให้ทุกคน สํานึกตระหนักว่า ความสมัครสมานสามัคคีของเรานั้นเป็นสิ่งสําคัญที่สุด ที่จะต้องรักษาไว้ให้ยั่งยืนอยู่ตลอดไป หากเรามีความประมาท เราแตกสามัคคีกันเมื่อใด เราก็จะเป็นอันตรายย่อยยับลง เมื่อนั้น ไม่มีใครอื่นที่ไหนจะช่วยเราได้นอกจาก ตัวเราเอง..."
@@@@@@@
ความสามัคคี มีด้วยกัน ๒ ประการ คือ
๑. ความสามัคคีทางกาย ได้แก่ การร่วมแรงร่วมใจกันในการทํางาน
๒. ความสามัคคีทางใจ ได้แก่ การร่วมประชุมปรึกษาหารือกันในเมื่อเกิดปัญหาขึ้น ความสามัคคีดังที่ว่านี้ จะเกิดมีขึ้นได้ ต้องอาศัยเหตุที่เรียกกันว่า สาราณียธรรม ธรรมเป็นเหตุให้ ระลึกถึงกัน กระทําซึ่งความเคารพระหว่างกัน อยู่ร่วมกันในสังคมด้วยดี มีความสุข ความสงบ ไม่ทะเลาะ เบาะแว้ง ทําร้ายทําลายกัน มี ๖ ประการ คือ
๒.๑ ทําต่อกันด้วยเมตตา คือ แสดงไมตรีและความหวังดีต่อเพื่อนร่วมงาน ร่วมกิจการร่วมชุมชน ด้วยการช่วยเหลือธุระต่างๆ โดยเต็มใจ แสดงอาการกิริยาสุภาพ เคารพนับถือกัน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
๒.๒ พูดต่อกันด้วยเมตตา คือ ช่วยบอกสิ่งที่เป็นประโยชน์ สั่งสอนหรือแนะนําตักเตือนกันด้วย ความหวังดี กล่าววาจาสุภาพ แสดงความเคารพนับถือกัน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
๒.๓ คิดต่อกันด้วยเมตตา คือ ตั้งจิตปรารถนาดี คิดทําแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่กัน มองกันในแง่ดี มีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสต่อกัน
๒.๔ ได้มาแบ่งกันกินใช้ คือ แบ่งปันลาภผลที่ได้มาโดยชอบธรรม แม้เป็นของเล็กน้อย ก็แจกจ่าย ให้ได้มีส่วนร่วมใช้สอยบริโภคทั่วกัน
๒.๕ ประพฤติให้ดีเหมือนเขา คือ มีความประพฤติสุจริต ดีงาม รักษาระเบียบวินัยของส่วนรวม ไม่ทําตนให้เป็นที่น่ารังเกียจ หรือทําความเสื่อมเสียแก่หมู่คณะ
๒.๖. ปรับความเห็นเข้ากันได้ คือ เคารพรับฟังความคิดเห็นกัน มีความเห็นชอบร่วมกัน ตกลง กันได้ในหลักการสําคัญ ยึดถืออุดมคติหลักแห่งความดีงาม หรือจุดหมายอันเดียวกัน
ธรรมทั้ง ๖ ประการนี้ เป็นคุณค่าก่อให้เกิดความระลึกถึง ความเคารพนับถือกันและกัน เป็นไป เพื่อความสงเคราะห์ยึดเหนี่ยวน้ําใจกัน เพื่อป้องกันความทะเลาะ ความวิวาทแก่งแย่งกัน เพื่อความ พร้อมเพรียงร่วมมือ ผนึกกําลังกัน เพื่อความเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน
อานิสงส์ของความสามัคคีนี้ ท่านกล่าวไว้ว่า เป็นบ่อเกิดแห่งความสุข ความเจริญ เป็นเหตุแห่ง ความสําเร็จในกิจการงานต่างๆ การงานอันเกินกําลังที่คนๆ เดียวจะทําได้ เช่น การก่อสร้างบ้านเรือนต้องอาศัยความสามัคคีเป็นที่ตั้ง แมลงปลวกสามารถสร้างจอมปลวกที่ใหญ่โตกว่าตัวหลายเท่าให้ สําเร็จได้ ก็อาศัยความสามัคคีกัน เพราะฉะนั้น การรวมใจสามัคคีกันจึงเกิดมีพลัง ส่วนการแตกสามัคคี กันทําให้มีกําลังน้อย
โทษของการแตกสามัคคีกันนั้น ท่านกล่าวไว้ว่า หาความสุข ความเจริญไม่ได้ ไม่มีความสําเร็จ ด้วยประการทั้งปวง เหตุให้แตกความสามัคคีกันนี้ อาจเกิดจากเหตุเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นได้ เหมือนเรื่อง น้ําผึ้งหยดเดียว แต่เป็นเหตุให้เกิดสงครามได้เหมือนกัน ดูตัวอย่างเรื่องพวกเจ้าลิจฉวีในเมืองไพศาลี แคว้นวัชชี มีความสามัคคีกัน พระเจ้าอชาตศัตรูก็ทําอะไรไม่ได้ แต่พอถูกวัสสการพราหมณ์ยุยงให้แตก สามัคคีกันเท่านั้น ก็เป็นเหตุให้พระเจ้าอชาตศัตรู เข้าโจมตีและยึดเมืองเอาไว้ได้ในที่สุด
ดังนั้น ความสามัคคี ถ้าเกิดมีขึ้นในที่ใด ย่อมทําให้ที่นั้นมีแต่ความสงบสุข ความเจริญ ส่วนความแตกสามัคคี ถ้าเกิดมีขึ้นในที่ใด ย่อมทําให้ที่นั้นประสบแต่ความทุกข์ มีแต่ความเสื่อมเสียโดยประการเดียว
สาเหตุที่ทําให้คนแตกความสามัคคี
สาเหตุที่ทําให้คนในชาติแตกความสามัคคี โดยย่อมีอยู่ ๓ เรื่องด้วยกัน คือ
๑. เรื่องผลประโยชน์ มนุษย์ในโลกนี้ส่วนมาก มีแต่คิดจะเอา ไม่ค่อยคิดจะให้ เมื่อเป็น อย่างนี้มนุษย์จึงไม่ต่างกับนกกาเท่าไร เพราะนกกาตื่นเข้าขึ้นมามันก็ร้องจ้อกแจ้กๆ เพื่อชวนกันไปหากิน พูดง่ายๆ มันชวนกันจะไปเอา ไม่ใช่ชวนกันจะไปให้ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ระมัดระวังตัวให้ดี พฤติกรรม ของมนุษย์ก็เป็นเหมือนอย่างกับสัตว์นั่นเอง
๒. เรื่องวินัย มนุษย์ส่วนมากมักไม่ค่อยมีวินัย คือ มีนิสัยเอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่ ไม่ใช่มีนิสัย รักวินัย หรือนิสัยเคร่งครัดต่อวินัย จึงทําให้เป็นที่มาแห่งการกระทบกระทั่งกัน
๓. เรื่องความเคารพ สาเหตุที่ทําให้มนุษย์เกิดความแตกแยกอีกประการหนึ่งก็คือ การขาด ความเคารพ ขาดความเกรงอกเกรงใจ การจับถูกหายาก มีแต่คอยจ้องจะจับผิดกันทั้งนั้น
ถ้าไม่เชื่อตื่นเช้าขึ้นมาลองไปเปิดวิทยุหรือโทรทัศน์ดูก็ได้ แล้วจะพบว่ามีแต่เสียงวิจารณ์ จับผิด คนนั้น จับผิดคนนี้ กันตั้งแต่เช้ามืดทีเดียว
เสียงและภาพที่ได้ยินและได้เห็นนี้ ไม่ค่อยจะช่วยให้มนุษย์ในปัจจุบันคิดถึงความดีของกัน และกัน มีแต่จ้องจะจับผิดกัน ก็เลยทําให้ขาดความเคารพ ขาดความเกรงใจ จากนั้นการถนอมน้ําใจกัน ก็หมดไป แล้วความแตกแยกก็เข้ามาแทนที่
@@@@@@@
ที่มาแห่งความสามัคคีของคนในชาติ
ปัญหาเหล่านี้ ปู่ย่าตาทวดของเราท่านได้สอน วิธีแก้ไขเอาไว้ให้แล้ว แต่พวกเราส่วนมากกลับมอง ว่า เป็นเรื่องเก่า เป็นเรื่องโบราณ เป็นเรื่องคร่ําครึไป สิ่งที่ปู่ย่าตาทวดท่านได้สอนแล้วก็ทําให้ดูนั้น คือ
ประการที่ ๑. เพื่อป้องกันไม่ให้มนุษย์คิดแต่จะเอาประโยชน์เข้าตัวเช่นเดียวกับนกกา เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เช้ามืดพอตื่นขึ้นมา แทนที่คิดจะไปกอบโกยเอาเข้ามา ก็รีบให้เสียก่อนเลย
ท่านพูดไว้ชัดเจนว่า “เข้าใดยังไม่ได้ให้ทาน เข้านั้นอย่าเพิ่งกินข้าว” แล้วก็รีบไปตักบาตรกับ พระภิกษุ ที่เดินบิณฑบาตผ่านหน้าบ้าน ซึ่งถือว่าเป็นพระในวัดเสียก่อน
ส่วนพระในบ้านได้แก่ คุณพ่อ คุณแม่ คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย หรือผู้เฒ่าผู้แก่ในบ้านทั้งหลาย ที่เมื่อสมัยเราเล็กๆ ท่านให้เรากินก่อน ตอนนี้ท่านแก่แล้ว เพราะฉะนั้น ก่อนเราจะกินอะไร ก็ควรจัดให้ ท่านก่อนบ้าง
เข้าใดยังไม่ได้ให้ทาน ไม่ว่าจะเป็นพระในบ้าน หรือพระนอกบ้านก็ตาม เข้านั้นอย่าเพิ่งกินข้าว หัดเป็นคนรู้จักให้เสียก่อนอย่างนี้ แล้วเราจะไม่เป็นคนเห็นแก่ได้ นี่ก็เป็นที่มาแห่งความสามัคคีของคน ในชาติ ที่ปู่ย่าตาทวดของเราได้สอนเอาไว้ประการที่ ๑
ประการที่ ๒. เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นคนไม่มีวินัย ทั้งวันเราต้องพยายามรักษาศีล ๕ ไว้ให้ดี แล้วเรา จะรู้ว่าในบรรดาศีลทั้ง ๕ ข้อนั้น ศีลข้อที่รักษาได้ยากที่สุด คือข้อที่ ๔ หรือว่าห้ามพูดโกหกนั่นเอง
ปู่ย่าตาทวดของเราจึงสอนว่า “วันใดยังไม่ได้ตั้งใจรักษาศีล วันนั้นอย่าเพิ่งออกจากบ้าน เพราะฉะนั้น สัญญากับพระพุทธรูปบนหิ้งเสียก่อน ว่าวันนี้ เราจะรักษาศีล ๕ อย่างเคร่งครัด สัญญาแล้วจึงค่อยจากบ้านไปทํางานกัน
ถ้าทําอย่างนี้เป็นประจํา ความมีวินัยจะเกิดขึ้นในตัวของเราโดยอัตโนมัติ แล้วนิสัยชอบเอาแต่ใจ ตัวเองเป็นใหญ่ ก็จะคลายไป นี่ก็เป็นที่มาแห่งความสามัคคีของคนในชาติ ที่ปู่ย่าตาทวดของเราสอนเอา ไว้ประการที่ ๒
ประการที่ ๓. เนื่องจากมนุษย์จ้องจะจับผิดกัน ตั้งแต่เช้าจนกระทั่งเข้านอน ท่านก็เลยเตือนว่า ถ้าอย่างนั้น “คืนใดยังไม่ได้สวดมนต์ภาวนา ยังไม่นึกถึงความดีของคนรอบด้าน คืนนั้นอย่าเพิ่ง เข้านอน เพราะฉะนั้น ก่อนนอนหลังจากสวดมนต์ไหว้พระเสร็จ ก็นั่งสมาธิเสียบ้าง ใจจะได้เป็นกลางๆ
เมื่อใจเป็นกลางๆ แล้ว นอกจากจะไม่คิดจับผิดใคร ยังคิดจับถูกจับดีแทนอีกด้วย เช่น คิดว่า คุณพ่อคุณแม่มีพระคุณกับเราอย่างไร ครูบาอาจารย์ มีพระคุณกับเราอย่างไร คิดไปจนกระทั่งว่า พระสงฆ์องค์เจ้าและพระพุทธศาสนามีพระคุณกับเราอย่างไร
ก่อนนอนขอให้นึกถึงความดีของมนุษย์ทั้งโลก หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับเราทั้ง 5 ทิศ เมื่อนึกถึง ความดีของคนอื่นได้อย่างนี้ พลังใจที่จะสร้างความดีตามคนเหล่านั้น หรือปรับปรุงตัวเองให้ดียิ่งขึ้น จะเกิดขึ้นมาของเรา
ถ้าทําได้ครบทั้ง ๓ ประการนี้ ความสามัคคีจะเกิดขึ้นในทุกหย่อมหญ้า บนผืนแผ่นดินไทยขอขอบคุณ :-
บทความ : 'ความสามัคคี สุขา สังฆัสสะ สามัคคี ความพร้อมเพรียงของหมู่คณะ นำมาซึ่งความสุข'' | สารนิพนธ์ ๒๕๕๗ | หน้าที่ ๗๕-๗๙
เขียนโดย : พระเมธีธรรมาจารย์ รองอธิการบดีฝ่ายประชาสัมพันธ์และเผยแผ่
website :
http://oldweb.mcu.ac.th/site/articlecontent_desc.php?article_id=1919&articlegroup_id=329Photo : pinterest