ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: หลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับ "การบน"  (อ่าน 1142 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28906
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
หลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับ "การบน"
« เมื่อ: กรกฎาคม 12, 2023, 10:21:52 am »
0



บทที่ 2 : ความหมาย ความเป็นมา และหลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับการบน

การบน(Vows) ถือเป็นสิ่งที่พบเห็นได้โดยทั่วไปในสังคมไทย มักปรากฏให้เห็นในทุกสถานที่ที่กล่าวขานว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นสามารถทำให้มนุษย์ยอมกระทำในสิ่งที่บางครั้งตนเองยังไม่ทราบสาเหตุหรือความหมาย ตลอดจนมิทราบที่มาของการบนก็มี เช่น ในการบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ แล้วมีการแก้บนด้วยการจุดประทัด การเปลื้องผ้า หรือการถวายไข่ดิบ

สิ่งเหล่านี้อาจกล่าวได้ว่า คนที่บนส่วนใหญ่มักไม่ได้ให้ความสนใจถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการแก้บน เพราะหวังเพียงให้ได้รับสิ่งที่ตนบนไว้นั้นสมปรารถนา ซึ่งในบทนี้จะนำเรื่องความหมาย ความเป็นมาของการบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์และหลักคำสอนที่เกี่ยวข้องกับการบนมาอภิปรายเพื่อเป็นพื้นฐานในการศึกษาเรื่องนี้ต่อไป

@@@@@@@

2.1 ความหมายและความเป็นมาของการบน

2.1.1 ความหมายของการบน

คำว่า การบน การบนบาน หรือ การบนบานศาลกล่าว หมายถึง การขอร้องและอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเหลือ หากสิ่งนั้นสำเร็จ ผู้ที่บนบานก็จะนำสิ่งของมาตอบแทนหรือทำตามสัญญาที่ให้ไว้ (ราชบัณฑิตยสถาน, 2525, น.460)

พระครูสิริรัตนานุวัตร กล่าวว่า การบนบาน หมายถึง การขอให้ได้ในสิ่งที่ตนหวังกับองค์เทพที่ศักดิ์สิทธิ์องค์ใดองค์หนึ่ง เมื่อได้ตามที่บนบานแล้วก็นาสิ่งของที่บนบานไว้นั้นมาแก้บนตามสัญญา การบนบานนี้จะมีเครื่องบนบานเป็นสิ่งมีชีวิตที่ตายและสุกแล้ว มีหัวหมู ไข่ต้ม ดอกไม้ แต่ผลไม้จะเป็นผลไม้ที่ดิบและสด หรือขึ้นอยู่กับองค์เคารพนั้นๆ (พระครูสิริรัตนานุวัตร, 2558, น.5)

ทัศภรณ์ แซ่ตั้ง กล่าวว่า การบนบานถือได้ว่า เป็นยาทางใจอย่างหนึ่ง สาหรับผู้ที่ต้องการที่พึ่งหรือที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ และเมื่อใดที่ชาวบ้านรู้สึกว่า ตนเองกาลังขาดความมั่นใจในด้านต่างๆ แล้ว การบนบานคงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยลดความเครียดทางอารมณ์ได้ ถึงแม้ว่าการบนบานจะไม่ได้รับความสำเร็จตามที่มุ่งหวังเอาไว้ทุกครั้งที่บนก็ตาม (ทัศภรณ์ แซ่ตั้ง, 2544, น.98)

ดังนั้น ผู้วิจัยจะขอสรุปความหมายของการบนว่า การบน หรือการบนบานศาลกล่าว หมายถึง การขอร้องอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งในพระพุทธศาสนาและนอกศาสนา ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นช่วยเหลือตน ถ้าหากสิ่งที่บนขอสำเร็จ ผู้ที่บนก็จะมีสิ่งของมาตอบแทนหรือทำตามสัญญาที่ให้ไว้

2.1.2 ความเป็นมาของการบน

การบน เป็นพิธีกรรมที่มีมาตั้งแต่ยุคสังคมชนเผ่า เป็นช่วงยุคก่อนประวัติศาสตร์ ยกตัวอย่างเช่น ในสังคมของชาวลักบาลา (Lugbara) ชายผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวจะเซ่นไหว้บนบานและขอให้วิญญาณของพ่อตนบันดาลให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บหรือเคราะห์ร้ายแก่ลูกหลานบางคนที่ไม่เคารพในกฎระเบียบของวงศ์ตระกูล และเมื่อเกิดโรคภัยไข้เจ็บหรือสมาชิกคนใด เกิดประสบภัยพิบัติต่างๆ หัวหน้าครอบครัวก็จะต้องทำพิธีเช่นไหว้และขอขมาต่อดวงวิญญาณบรรพบุรุษ

เช่นเดียวกันกับชาวกูรูรุมบา (Gururumba) ในนิวกินี ที่มีความเชื่อว่า หากสมาชิกของสังคมละเมิดกฎข้อห้ามหรือมีพฤติกรรมล่วงละเมิดต่อวิญญาณบรรพบุรุษ วิญญาณจะลงโทษซึ่งอาจดลบันดาลให้เกิดการเจ็บไข้ได้ป่วยหรือภัยพิบัติอื่นๆ ได้ ฉะนั้น ชาวกุรุรุมบาจึงทำพิธีฆ่าหมูเพื่อสังเวยและบนบานแก่ดวงวิญญาณบรรพบุรุษของตน (ยศ สันตสมบัติ, 2556, น.282-285)

หรืออย่างกรณีการบูชา “วีนัสแห่งวิลเลนดอร์ฟ” (Venus of Willendorf) ที่มีปรากฏในอังกฤษ สเปน รัสเซีย จนถึงทวีปแอฟริกา เป็นความเชื่อที่เกิดขึ้นในช่วงปลายยุคหินเก่าที่สร้างเป็นรูปผู้หญิงที่กำลังจะตั้งครรภ์ นักมานุษยวิทยาได้ตั้งข้อสัญนิษฐานว่า รูปแกะสลักนี้เป็นสัญลักษณ์ของเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ ที่พวกมนุษย์หินเก่าได้สร้างขึ้นเพื่อประกอบพิธีบนบานศาลกล่าวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้ผู้หญิงคลอดบุตรได้อย่างปลอดภัย(คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2540, น.14-15)

อารยธรรมกรีกโบราณก็มีความเชื่อเกี่ยวกับการบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน ดังมีปรากฏในมหากาพย์อีเลียด (Iliad) ว่า พระนางเฮคิวบา (Hecuba) ทรงบนบานต่อเทวีอะเธนี(Athena) ด้วยแม่วัวจำนวนสิบสองตัว หากกองทัพทรอยได้ชัยชนะเหนือกรีก (นายตารา ณ เมืองใต้(แปล), 2547, น. 61)

ชาวอารยัน (Aryan) หรือที่นักมานุษวิทยาเรียกว่า “เชื้อชาติอินโด-ยูโรป”(Indo-European) ที่อพยพเข้ามายังอนุทวีป (อินเดีย) (คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่,ม.ป.ป., น. 15) มีบรรพบุรุษร่วมกับอารยธรรมกรีกโบราณ จึงส่งผลให้สังคมอินเดียมีความเชื่อเรื่องนี้ด้วย ดังตัวอย่างเช่น

ในสมัยพุทธกาลก็มีหญิงสาวผู้หนึ่งนามว่า สุชาดา เป็นธิดาของเศรษฐีในตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ได้บนรุกขเทวดาที่สถิตในต้นไทรไว้ว่า ขอให้ได้สามีที่มีชาติสกุลเสมอกัน และมีบุตรคนแรกเป็นผู้ชาย จนกระทั่งนางสมปรารถนาตามที่นางขอไว้ นางจึงทำข้าวมธุปายาสไปถวายรุกขเทวดาตามที่ได้บนไว้ ขณะนั้นพระพุทธเจ้าประทับที่โคนต้นไทร นางเข้าใจว่า พระองค์เป็นเทวดาจึงถวายข้าวมธุปายาสแด่พระองค์ (ขุ.อป. 25/354/137-138)

เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า สังคมอินเดียในขณะนั้นมีความเชื่อเกี่ยวกับการบนบานศาลกล่าว ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาปรากฏเรื่องราวเกี่ยวกับการบนไว้หลายเรื่อง เช่น อรรถกถา ขุททกนิกาย ธรรมบท กล่าวว่า

เศรษฐีนามว่า “มหาสุวรรณ” แต่งงานกับภรรยามานานหลายปีแล้วแต่ไม่มีบุตรด้วยกันเสียที วันหนึ่งหลังจากเศรษฐีอาบน้ำเสร็จ ได้เห็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งมีลักษณะแตกต่างจากต้นไม้อื่นทั่วไป จึงคิดว่า ต้นไม้นี้ต้องมีเทวดาสถิตอยู่ เศรษฐีจึงบนว่า “หากข้าพเจ้าได้บุตรหรือธิดาแล้ว จะจัดเครื่องสักการะบูชาอย่างยิ่งใหญ่มาถวายแด่ท่าน” ไม่นานนักภรรยาก็ตั้งครรภ์ แล้วให้กำเนิดบุตรชาย เศรษฐีตั้งชื่อบุตรชายว่า “ปาละ” ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า “มหาปาละ” เพราะเศรษฐีมีบุตรชายคนเล็กอีกคนชื่อว่า “จุลปาละ” (ขุ.ธ.อ. 40/11/8-9)

อนึ่ง ความเชื่อเกี่ยวกับการบนก็มีปรากฏในศิลาจารึกของวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (จารึกวัดโพธิ์) เรื่องตำนานมหาสงกรานต์ว่า มีเศรษฐีคนหนึ่งไม่มีบุตร วันหนึ่งถูกเพื่อนบ้านที่เป็นนักเลงสุรากล่าวสบประมาทว่า “ท่านมีสมบัติมากก็จริง แต่หามีบุตรไม่ เมื่อท่านตายไปสมบัติก็ตกเป็นของผู้อื่น สู้เราก็ไม่ได้ ถึงแม้จะยากจนแต่ก็มีบุตรคอยดูแลรักษายามเจ็บไข้ และรักษาทรัพย์สมบัติในยามที่เราสิ้นใจ”

เศรษฐีได้ยินดังนี้ ก็เกิดความทุกข์ใจเป็นอย่างมาก ท่านเศรษฐีให้บริวารล้างข้าวสารด้วยน้ำสะอาด 7 ครั้งก่อนแล้วหุงจนสุก เศรษฐีนำข้าวสุกนี้ไปถวายเทวดาประจำต้นไทรพร้อมกับอธิษฐานขอบุตร หลังจากนั้นภรรยาของเศรษฐีก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชาย เศรษฐีตั้งชื่อบุตรชายคนนี้ว่า “ธรรมบาลกุมาร” (นิยะดา เหล่าสุนทร, 2544, น.289)

จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่กล่าวมาชี้ให้เห็นว่า การบนมีมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เช่น การบนวิญญาณบรรพบุรุษ พลังแห่งธรรมชาติ และเทพยดา ความเชื่อเช่นนี้มีกระจายอยู่ในทุกมุมของโลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แม้กระทั่งในสมัยพุทธกาลก็มีความเชื่อนี้ปรากฏ แม้กระทั่งคัมภีร์พระพุทธศาสนายังกล่าวถึงเป็นหลักฐาน เช่น การบนรุกขเทวดาของนางสุชาดากับมหาสุวรรณเศรษฐี (บิดาของมหาปาละ หรือพระจักขุปาลเถระ) และเศรษฐีในตานานมหาสงกรานต์ ซึ่งเป็นการกระทำที่แสดงออกให้เห็นถึงความต้องการที่พึ่งทางใจของมนุษย์




2.2 หลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับการบน

การบนโดยทั่วไปเป็นลักษณะของการอ้อนวอนขอต่ออานาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์บางอย่าง ซึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นมีทั้งในและนอกพระพุทธศาสนา ทำให้มีความเชื่อมโยงและผสานกันระหว่างความเชื่อทั้ง พุทธ พราหมณ์ และผี ในที่นี้จึงแบ่งหลักธรรมในพระพุทธศาสนาเป็น 6 หัวข้อ เพื่อหาความสอดคล้องและไม่สอดคล้องของหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ดังนี้

2.2.1 เทวดา

พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ได้ให้ความหมายของ “เทวดา” ไว้ว่า ชาวสวรรค์มีกายทิพย์ ตาทิพย์ หูทิพย์ และอาหารทิพย์ เป็นโอปปาติกะ (ราชบัณฑิตยสถาน,2556, น. 582)

ส่วนพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พ.ศ. 2556 ให้ความหมายของ “เทวดา” ว่า หมู่เทพชาวสวรรค์ เป็นคำรวม เรียกชาวสวรรค์ ทั้งเพศชายและเพศหญิง (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต), 2556, น.138)

นอกจากนี้ เทวดา ยังหมายถึง ชื่อของอุบัติเทพ ซึ่งเป็นเทพจำนวนหนึ่งในเทพ 3 จำพวกคือ
    - สมมติเทพ เป็นเทวดาโดยสมมติ เช่น พระราชา พระเทวี พระราชกุมาร พระราชธิดา
    - อุบัติเทพ เป็นเทวดาโดยกำเนิด คือ เทวดาในสวรรค์และพรหมโลก และ
    - วิสุทธิเทพ เป็นเทพโดยความบริสุทธิ์ คือ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย (มหามกุฏราชวิทยาลัย, 2528, น.201)

ตามคำอธิบายนี้แสดงว่า เทวดาในความหมายกว้างครอบคลุมทั้งเทวดาในสวรรค์และพระพรหมในพรหมโลกด้วย

พระมหาเกรียงไกร แก้วไชยะ ได้ให้ความหมาย คาว่า “เทวะหรือเทวดา” ไว้ว่า หมายถึง ผู้ที่เป็นใหญ่ หรือผู้ทีประเสริฐ และหรือผู้ที่เพลิดเพลินอยู่ด้วยกามคุณ หมายเอาทั้งผู้ที่เป็นอยู่ในโลกมนุษย์และที่เป็นอยู่ในโลกสวรรค์

ส่วนพระธรรมโกศาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) ได้ให้คำอธิบายที่แตกต่างออกไปว่า อุบัติเทวดา คือ การเกิดขึ้นของจิตที่ดีงามมิใช่เทวดาในสวรรค์ เราควรสร้างจิตให้เป็นพรหมเป็นเทวดา เป็นผู้ประเสริฐสร้างธรรมะขึ้นในจิตใจ (ปัญญานันทภิกขุ, 2510, น.43)

ซึ่งในการปฏิบัติต่อเทวดานั้นตามหลักของพระพุทธศาสนาเถรวาท ถือว่าเทวดามี 3 จาพวก ดังที่ได้อธิบายมาอุบัติเทพ ก็คือ เทวดาในสวรรค์ เราควรปฏิบัติด้วยการอุทิศส่วนกุศลไปให้ แต่ถ้าหวังความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป ควรปฏิบัติตนด้วยการรักษาศีล 5 เพื่อจะได้ไปเกิดในสวรรค์ร่วมกับเทวดา ดังพุทธพจน์ที่ว่า
    "ภิกษุทั้งหลาย บุคคลประกอบด้วยธรรม 5 ประการ ย่อมดำรงอยู่ในสวรรค์ เหมือนได้รับเชิญไปประดิษฐานไว้ ธรรม 5 ประการ คือ
    1. เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์
    2. เป็นผู้เว้นขาดจากการลักทรัพย์
    3. เป็นผู้เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม
    4. เป็นผู้เว้นจากการพูดเท็จ
    5. เป็นผู้เว้นจากการเสพของมึนเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นเหตุแห่งความประมาท" (องฺ.ปญฺจก.22/145/242)

ผู้ที่จะเป็นเทวดาต้องรักษาศีล 5 เพื่อทำกาย วาจา มีความเรียบร้อย แต่โดยสรุปแล้ว ก็คือต้องประพฤติปฏิบัติตามคุณธรรมของเทวดา ด้วยการมีหิริหรือความละอายแก่บาป และโอตตัปปะคือความเกรงกลัวต่อบาป ดังที่พระโพธิสัตว์ได้แสดงเทวธรรมแก่ยักษ์ตนหนึ่งว่า
     "บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยหิริและโอตตัปปะ ตั้งมั่นอยู่ในสุกกธรรม (กุศลธรรม) เป็นผู้สงบระงับ เป็นคนดีงาม ท่านเรียกว่า ผู้มีเทวธรรมในโลก" (ขุ.ชา.27/6/3)

เมื่อชาวพุทธได้ ประพฤติปฏิบัติด้วยความมีหิริโอตตัปปะ ย่อมทำให้มีความสะอาดบริสุทธิ์ มีความประเสริฐในโลกมนุษย์นี้ และเมื่อตายไปแล้วย่อมส่งผลให้บังเกิดเป็นเทวดาในสรวงสวรรค์ (พระมหาเกรียงไกร แก้วไชยะ, 2546, น.96)

เทวดาตามคำสอนของพระพุทธศาสนามีหลายระดับ เพราะสวรรค์มี 6 ชั้น และพรหมโลก โดยเฉพาะรูปพรหมมีถึง 16 ชั้น เทวดาจึงมีฤทธานุภาพต่างกันไป แต่กล่าวโดยรวมได้ว่า เทวดาสามารถให้คุณและโทษหรือสามารถทำร้ายและช่วยเหลือมนุษย์ได้

ดังปรากฏเรื่องเล่าในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา เช่น เทวดาบางองค์ที่เป็นเทวดาอันธพาลหรือเทวดาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิแกล้งให้คนระแวงกันก็มี เทวดาที่เป็นมารในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตีจะคอยขัดขวางไม่ให้คนทำดี ส่วนเทวดาที่มีความโดดเด่นในการช่วยเหลือมนุษย์คือ ท้าวสักกะหรือพระอินทร์ (พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต), 2555, น. 956-958)

จากเนื้อหาที่กล่าวมา สังเกตได้ว่า คำสอนที่เกี่ยวเนื่องกับเทวดาในลักษณะที่เทวดาสามารถช่วยเหลือคนได้ ความเชื่อนี้ ก็อาจเป็นความเชื่อหนึ่งของการบนบานศาลกล่าวก็เป็นได้ ทั้งนี้ความเชื่อเรื่องการบนจะมีความสอดคล้องกับคำสอนเรื่องเทวดาในพระพุทธศาสนาหรือไม่อย่างไร ซึ่งจะกล่าวถึงในบทที่ 4 ต่อไป

@@@@@@@

2.2.2 พุทธานุภาพ

พุทธานุภาพ คือ ความศักดิ์สิทธิ์อันเกิดจากพระพุทธเจ้า (เปลื้อง ณ นคร, 2548,น.348) หมายถึง พลังหรืออำนาจพิเศษหรืออำนาจลี้ลับของพระพุทธเจ้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์และอิทธิวิธีในพระพุทธศาสนา ซึ่งตามความเชื่อหรือคำสอนนี้ พระพุทธเจ้ารวมทั้งพระภิกษุที่ได้อภิญญาจะมีอานาจพิเศษหรือฤทธิ์ที่จะดลบันดาลให้เกิดสิ่งที่คนธรรมดาทำไม่ได้ และตามความเชื่อของชาวพุทธ พลังอานาจดังกล่าวยังคงอยู่แม้ในปัจจุบัน และปัจจุบันยัง หมายถึง พลังศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในวัตถุมงคลอย่างพระเครื่อง ที่เกิดจากการปลุกเสกของพระเกจิอาจารย์ที่ทรงคุณวุฒิ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับแนวคิดเรื่อง อิทธิปาฏิหาริย์

ทั้งนี้ในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน ภาค 2 มีปรากฏเนื้อความที่กล่าวถึงพุทธานุภาพของพุทธองค์ว่า ด้วยพุทธานุภาพ พิณที่ไม่ถูกทำเพลง ไม่ถูกเคาะ ก็บรรเลงขึ้นได้เอง ป่าใหญ่โพลงไป ด้วยพุทธานุภาพ เราเห็นปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า ได้โดยสะดวกทีเดียว ด้วยพุทธานุภาพ พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ครั้งนั้น เราเห็นพุทธานุภาพนั้นแล้ว เป็นผู้อัศจรรย์ใจ จึงได้บรรพชานั้น เราได้พบพุทธานุภาพจึงออกบวช เราเจริญธรรม 4 ประการ มาด้วยพุทธานุภาพ บางพวกที่ฉลาดในฤทธิ์ก็มาด้วยฤทธิ์ต่างช่วยกัน หม่อมฉันได้เห็นพระพุทธานุภาพและได้ฟังธรรมมีคุณเป็นที่ประชุม (ขุ.อป. 23/28/63)

ทั้งนี้พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ ได้อธิบาย ถึงพุทธานุภาพ ในความหมายที่ว่า อานุภาพของพระพุทธเจ้ายังคงมีอยู่ในโลก อาจสังเกตได้ เช่น คนที่มีความทุกข์ร้อนขุ่นหมอง เมื่อเข้าไปในโบสถ์แล้วเห็นพุทธปฏิมา ความทุกข์ร้อนอาจคลายลงไปได้ ซึ่งผิดกับการเห็นรูปปั้นหินศิลาหรือรูปปั้นอื่นๆ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะอานุภาพของพระพุทธเจ้าที่สิงสถิตอยู่ในรูปของพระองค์ หรือแม้กระทั่งคนที่เจ็บใกล้ถึงมรณกรรมแล้ว ญาติพี่น้องนิมนต์พระมาสวดต่ออายุ ก็เคยมี บางครั้งที่คนเหล่านั้นมีชีวิตยืนยาวไปอีกได้ กระนั้น ผู้ที่จะสามารถได้รับผลแห่งพุทธานุภาพได้ ก็จำเป็นต้องเป็นผู้มีพุทธานุสติ ระลึกถึงพระองค์อยู่เสมอ และการยกมือไหว้พระ หรือเคารพนบนอบบูชาพระพุทธปฏิมากร เจดียสถาน อันเป็นอนุสาวรีย์สาหรับพระพุทธเจ้านั้นเป็นทางที่เราจะได้ระลึกถึงพระองค์ และที่จะได้รับอานุภาพของพระองค์มาคุ้มครองได้ (พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ,2514, น.110-112)

ทรรศนะดังกล่าว เป็นความเชื่อที่มีอยู่ในสังคมไทยคือ เชื่อว่ามีพลังหรืออำนาจพิเศษที่ไม่สามารถมองได้ด้วยตาเปล่า หนึ่งในนั้นคือ พลังอำนาจของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่า “พุทธานุภาพ” พุทธานุภาพ คือ พลังของพระพุทธเจ้าที่บริสุทธิ์ การที่พลังของพระองค์ช่วยให้ผู้อื่นสมหวังตามที่ปรารถนาได้หรือไม่ และจะเป็นการแย้งกับคำสอนเรื่องกรรมของพระองค์หรือไม่ ซึ่งจะกล่าวถึงในบทที่ 4 ต่อไป

2.2.3 บูชา

พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายคำว่า บูชา ว่า การแสดงความเคารพบุคคลหรือสิ่งที่นับถือด้วยเครื่องสักการะ มีดอกไม้ธูปเทียน เป็นต้น เช่นบูชาพระ บูชาเทวดาบูชาไฟ การยกย่องเทิดทูนด้วยความนับถือหรือเลื่อมใสในความรู้ ความสามารถ เช่นบูชาวีรบุรุษ บูชาความรู้ บูชาฝีมือ (ราชบัณฑิตยสถาน, 2542,น.634)

ส่วน ปิ่น มุทุกันต์ ได้อธิบายว่า การบูชา หมายถึง การปฏิบัติ 3 อย่าง คือ
    1. ปัคคัยหะ คือ การยกย่องเชิดชู สนับสนุน เชียร์
    2. สักการะ คือ การบูชาด้วยสิ่งของมีดอกไม้ ธูป เทียน โคมไฟ ธงทิว และอื่นๆ ตามความนิยม
    3. สัมมานะ คือ การบูชาด้วยการยอมรับนับถือ เช่น ชาวพุทธยอมรับนับถือพระรัตนตรัย ชาวคริสต์ยอมรับนับถือพระยะโฮวาห์หรือพระเยซู เป็นต้น (ปิ่น มุทุกันต์, 2502, น.160)

ดังนั้นการบูชา จึงหมายถึง การแสดงความเคารพต่อบุคคลหรือสิ่งที่ควรเคารพ ที่แสดงออกด้วยการปฏิบัติ

ส่วนในทางพระพุทธศาสนาได้จำแนกการบูชาออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
    1) อามิสบูชา หมายถึง การแสดงความเคารพบูชาด้วยวัตถุสิ่งของต่างๆ มีการบูชาด้วยปัจจัย 4 และการ
บูชาด้วยเครื่องสักการะได้แก่ดอกไม้ ธูปเทียน เป็นต้น
    2) ปฏิบัติบูชา หมายถึง การแสดงความเคารพ บูชาด้วยการปฏิบัติสิ่งที่เป็นธรรม หรือการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ในพระไตรปิฎกเรียกปฏิบัติบูชาว่า “ธรรมบูชา” (องฺ.ทุก. 20/401/117)

การนำสิ่งของไปบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างพระพุทธรูปในปัจจุบัน จึงจัดเป็นอามิสบูชาแบบหนึ่งได้ ทั้งนี้หลักการบูชาในพระพุทธศาสนายังมีการบูชาในลักษณะ “บูชาบุคคลที่ควรบูชา” ที่จัดอยู่ในมงคล 38 ประการ

จากที่กล่าวมา การบน คือ การขอความสำเร็จสมหวังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ด้วยการมอบวัตถุเป็นสิ่งตอบแทน เมื่อคำขอนั้นสัมฤทธิ์ผล ซึ่งการถวายของแด่สิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้เรียกว่า “บูชา” ในพระพุทธศาสนามีคำสอนเรื่องการบูชา แต่ในกรณีของการบนจะตรงหรือขัดแย้งกับคำสอนเรื่องนี้หรือไม่ ซึ่งจะกล่าวถึงในบทที่ 4 ต่อไป

2.2.4 อนุสสติ

อนุสติ หมายถึง ความระลึกถึงอารมณ์อันควรระลึกถึงเนืองๆ มี 10 ข้อ ได้แก่
     1. พุทธานุสติ ระลึกถึงพระพุทธเจ้า คือ น้อมจิตระลึกถึงและพิจารณาคุณของพระองค์
     2. ธัมมานุสติ ระลึกถึงพระธรรม คือ น้อมจิตระลึกถึงและพิจารณาคุณของพระธรรม
     3. สังฆานุสติ ระลึกถึงพระสงฆ์ คือ น้อมจิตระลึกถึงและพิจารณาคุณของพระสงฆ์
     4. ศีลานุสติ ระลึกถึงศีล คือ น้อมจิตระลึกถึงพิจารณาสิ่งของตนที่ได้ประพฤติปฏิบัติ บริสุทธิ์ ไม่ด่างพร้อย
     5. จาคานุสติ ระลึกถึงการบริจาค คือ น้อมใจระลึกถึงทานที่ตนได้บริจาคแล้ว และพิจารณาเห็นคุณธรรมคือความเผื่อแผ่เสียสละนี้ที่มีในตน
     6. เทวตานุสติ ระลึกถึงเทวดา คือ น้อมจิตระลึกถึงเทวดาทั้งหลายที่ตนเคยรู้ และพิจารณาเห็นคุณธรรมอันทำบุคคลให้เป็นเทวดานั้นๆ ตามที่มีอยู่ในตน
     7. มรณานุสติ ระลึกถึงความตายอันจะต้องมีมาถึงตนเป็นธรรมดา พิจารณาที่จะให้เกิดความไม่ประมาท
     8. กายคตาสติ สติอันไปในกาย คือ กำหนดพิจารณากายนี้ ให้เห็นว่าประกอบด้วยส่วนต่างๆ อันไม่สะอาด ไม่งาม น่ารังเกียจ เป็นทางรู้เท่าทันสภาวะของกายนี้ มิให้หลงใหลมัวเมา
     9. อานาปานสติ สติกำหนดลมหายใจเข้าออก
   10. อุปสมานุสสติ ระลึกถึงธรรมเป็นที่สงบ คือ ระลึกถึงและพิจารณาคุณของพระนิพพานอันเป็นที่ระงับกิเลสและความทุกข์ (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), 2553, น.246-247)

จากข้อความข้างต้น ในขณะที่กาลังขอความสำเร็จจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จิตน้อมเป็นกุศล สงบ นิ่ง เพื่อให้มีแรงระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขณะนั้นคงไม่ต่างจากการอธิษฐาน การบนจะสามารถสอดคล้องกับคำสอนเรื่องการระลึก(อนุสติ 10) ได้หรือไม่ ซึ่งจะกล่าวถึงในบทที่ 4 ต่อไป




2.2.5 หลักกรรมและการพึ่งตนเอง

    2.2.5.1 หลักกรรม
    พจนานุกรมพุทธศาสตร์ประมวลธรรม ได้ให้ความหมายของ กรรม ว่าหมายถึง การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา ทางกายก็ตาม ทางวาจาก็ตาม ทางใจก็ตาม ซึ่งประกอบด้วย กุศลกรรมและอกุศลกรรม โดยที่ กุศลกรรม หมายถึง กรรมที่เป็นกุศลหรือกรรมดี และอกุศลกรรม หมายถึง กรรมที่เป็นอกุศลหรือกรรมชั่ว (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต), 2553, น.60)

     ดังมีในพุทธพจน์ว่า
    “ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวเจตนาว่า เป็นกรรม บุคคลคิดแล้ว จึงทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ” (องฺ.ฉก. 22 /63/577)
     หมายถึง กรรมที่บุคคลทำโดยมีเจตนา ดังนั้น กรรมจึงเกิดจากการกระทำของตัวเราเอง ไม่ใช่มีใครมากำหนด การกระทำดี เรียกว่า กรรมดีหรือบุญ การกระทำชั่ว เรียกว่า กรรมชั่วหรือบาป ในการกระทำทุกอย่างย่อมมีผล เรียกว่า วิบาก ที่บุคคลผู้กระทำจะต้องเป็นผู้รับ ดังมีข้อความว่า
    “บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้ผลชั่ว” (ส.ส. 15/256/374)

นอกจากนั้นศาสตราจารย์วัชระ งามจิตรเจริญ ได้แสดงทัศนะเรื่องนี้ไว้ว่า ตามคำสอนเรื่องกรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาท มนุษย์ล้วนเป็นไปตาม “กรรมลิขิต” ไม่ใช่ “พรหมลิขิต” หรือ “พระเจ้าลิขิต” และสามารถแก้ไขหรือกำหนดวิถีชีวิตใหม่ได้ ซึ่งจากคำสอนนี้เอง ทำให้มนุษย์มีสถานภาพสูงส่ง เพราะสามารถกำหนดวิถีชีวิตตนเองว่าจะเป็นไปอย่างไร ไม่ต้องอาศัยการอ้อนวอนและการดลบันดาลจากสิ่งอื่นใด

ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในอาหารสูตรว่า เรามี “อารัพภธาตุ” คือ ความริเริ่มหรือการเริ่มต้นใหม่ (ส .ม. 19/232/164) ซึ่งแสดงนัยว่า เราสามารถเลือกหรือกำหนดวิถีชีวิตของตัวเองได้ (วัชระ งามจิตรเจริญ, 2552, น.267)

ทุกคนย่อมเกี่ยวข้องกับกรรมหรือการกระทำที่ตนทำไว้ทั้งสิ้น โดยส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากกรรมเก่าที่เคยกระทำไว้ในอดีตชาติ อีกส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากกรรมใหม่ที่สร้างขึ้นเอง ไม่ว่าจะเป็นทางกายทางวาจาและใจ ซึ่งทำให้ชีวิตของทุกคนแตกต่างกันไป โดยบุคคลจะมีชีวิตที่เจริญขึ้นหรือเสื่อมลง มีทุกข์หรือสุขนั้น ย่อมเป็นผลมาจากกรรมหรือการกระทำของตนเองทั้งสิ้น ไม่มีใครจะสามารถมาดลบันดาลให้เราได้

     2.2.5.2 การพึ่งตนเอง
     การพึ่งตนเอง หมายถึง การทำตนให้เป็นที่พึ่งของตนได้ พร้อมที่จะรับผิดชอบตนเอง ไม่ทำตัวให้เป็นปัญหาหรือเป็นภาระให้แก่บุคคลอื่น การพึ่งตนเองโดยไม่คอยแต่พึ่งบุคคลอื่น หรือการคอยอ้อนวอนจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ให้ช่วยเหลือตนเอง เมื่อเกิดความลำบาก หรือความทุกข์ใจ ดังมีพุทธสุภาษิตว่า
     "ตนแล เป็นที่พึ่งของตน คนอื่น ใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้ ก็บุคคลมีตนฝึกฝนแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้ยาก" (ขุ. ธ.25/160/82)

คำว่า ตน นั้น แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ กายกับใจ ประกอบกันเข้า ใน 2 ส่วนนี้ ใจนับว่าเป็นใหญ่ เป็นประธาน ดังคำพังเพยที่ว่า "ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว" คือ ใจเป็นความรู้สึกนึกคิด กายเป็นผู้กระทำตาม เพราะฉะนั้น พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้ฝึกจิต อบรมจิตให้ตั้งอยู่ในกุศลธรรม คุณงามความดี พยายามอบรมบ่มนิสัยของตนด้วยตนเอง เพราะตนเท่านั้น เป็นที่พึ่งของตนได้ คือ คนทุกคนย่อมจะสร้างบุญกุศล คุณงามความดี ซึ่งได้ชื่อว่าที่พึ่ง  เพราะคนอื่นไม่สามารถจะทำที่พึ่งให้กับบุคคลอีกคนหนึ่งได้ เช่น พ่อแม่สั่งสอนอบรมบุตรธิดาให้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ แต่ตรงกันข้ามบุตรธิดากลับประพฤติเลวทราม ผลดีก็ย่อมไม่เกิด

     แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสว่า
    “เธอทั้งหลายควรทำความเพียรเองเถิด ตถาคตเป็นเพียงผู้ชี้บอกเท่านั้น” (ขุ.ธ. 25/276/117)
     พระพุทธดำรัสนี้ชี้ให้เห็นว่า ตนเท่านั้นที่ตนเองจะพึ่งได้ เห็นได้ชัด เช่น การรับประทานอาหาร ตนเองรับประทานเอง ย่อมอิ่มเองและคนอื่นจะรับประทานอิ่มแทนเราก็ไม่ได้ เมื่อพุทธองค์ทรงชี้แนะแล้วพุทธบริษัทก็พึงประพฤติปฏิบัติตามด้วยความเพียร ให้ตั้งอยู่ในศีลในธรรม ผู้ไม่มีศรัทธาให้มีศรัทธา ผู้มีความตระหนี่ให้ถึงพร้อมด้วยการบริจาค ก็จะได้ที่พึ่งที่ได้ยาก คือบุญกุศล ตลอดจนมรรค ผล นิพพาน เป็นที่สุด ซึ่งใครๆก็ไม่สามารถจะดลบันดาลให้ได้นอกจากตัวเราเอง

จากที่กล่าวมาข้างต้น กรรมคือ การกระทำทั้งกุศลและอกุศล ซึ่งสามารถส่งผลให้แก่บุคคลผู้กระทำได้ แต่การส่งผลระหว่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์บันดาลกับกรรมบันดาลที่เกี่ยวเนื่องกับการบน สิ่งใดจะให้ผลหรือจะเป็นไปได้ไหมว่า เรื่องนี้จะเป็นเรื่องเดียวกันกับคำสอนเรื่องกรรม ซึ่งจะกล่าวถึงในบทที่ 4 ต่อไป

@@@@@@@

2.2.6 อธิษฐาน

ในพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ได้นิยามคำว่า “อธิษฐาน” หมายถึง ความตั้งใจมั่น, การตัดสินใจเด็ดเดี่ยว, ความมั่นคงเด็ดเดี่ยว, แน่วแน่ในทางดำเนินและจุดมุ่งหมายของตน ในภาษาไทยมักใช้ในความหมายว่า ความตั้งใจมุ่งผลอย่างใดอย่างหนึ่ง, ความตั้งจิตปรารถนา (พระธรรมปิฎก ป.อ.ปยุตโต, 2543, น.364)

ส่วนในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้นิยามความหมายของ “อธิษฐาน” ว่า หมายถึง การตั้งใจมุ่งผลอย่างใดอย่างหนึ่ง, ตั้งจิตปรารถนา, ตั้งจิตขอร้องต่อสิ่งที่ตนถือว่าศักดิ์สิทธิ์เพื่อผลอย่างใดอย่างหนึ่ง (ราชบัณฑิตยสถาน, 2542, น.1325)

อีกทั้งพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้กล่าวถึงเรื่องอธิษฐานกับการอ้อนวอนไว้ว่า เวลานี้ คนไทยทั่วไปก็เข้าใจคาดเคลื่อนผิดพลาดไปในความหมายของ “อธิษฐาน” มักนึกถึงอธิษฐานในความหมายที่เป็นการอ้อนวอนปรารถนา (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), 2541, น.331)

ซึ่งจะเห็นว่า ความหมายแรกตรงกับความหมายของคาสอนทางพระพุทธศาสนา ดังปรากฏในพจนานุกรมพุทธศาสตร์ที่กล่าวมาแล้ว ส่วนในสองความหมายหลังเป็นความหมายในภาษาไทยหรือตามความเข้าใจของคนไทย

อนึ่ง ในวิทยานิพนธ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ยังให้ความหมายของอธิษฐานตามคำสอนทางพระพุทธศาสนาไว้อีกว่า
     1. การยืนหยัดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
     2. การกำหนดความตั้งใจ รวมทั้งความคิดหรือความรู้สึกของตนเองอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างมั่นคง
     3. การตั้งใจปฏิบัติการหรือดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด ตามที่ตนเองกำหนด อย่างมั่นคง (สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา, 2534, น.75-76)

นอกจากนั้น อธิษฐานในพระไตรปิฎกยังหมายถึง ธรรมหรือสิ่งที่ควรตั้งไว้ในใจ มี 4 ประการคือ
     1. ปัญญาธิษฐาน (ธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ คือ ปัญญา)
     2. สัจจาธิษฐาน (ธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ คือ สัจจะ)
     3. จาคาธิษฐาน (ธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ คือ จาคะ)
     4. อุปสมาธิษฐาน (ธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ คือ อุปสมะ) (ที.ปา. 11/311/290)

พระธรรมปิฎกได้อธิบายขยายความหมายของ อธิฐานธรรม 4 ว่าหมายถึง ธรรมเป็นที่มั่น, ธรรมอันเป็นฐานที่มั่นคงของบุคคล, ธรรมที่ควรใช้เป็นที่ประดิษฐานตน เพื่อให้สามารถยึดเอาผลสาเร็จสูงสุดอันเป็นที่หมายไว้ได้ โดยไม่เกิดความสำคัญตนผิด และไม่เกิดสิ่งมัวหมองหมักหมมทับถมตน, บางทีแปลว่า ธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ ประกอบด้วย
     - ปัญญา (ความรู้ชัด) คือ หยั่งรู้ในเหตุผล พิจารณาให้เข้าใจในสภาวะของ สิ่งทั้งหลายจนเข้าถึงความจริง
     - สัจจะ (ความจริง) คือ ดำรงมั่นในความจริงที่รู้ชัดด้วยปัญญา เริ่มแต่จริงวาจาจนถึงปรมัตสัจจะ
     - จาคะ (ความสละ) คือ สละสิ่งอันเคยชิน ข้อที่เคยยึดถือไว้ และสิ่งทั้งหลายอันผิดพลาดจากความจริงเสียได้ เริ่มแต่สละอามิสจนถึงสละกิเลส
     - อุปสมะ (ความสงบ) คือ ระงับโทษข้อขัดข้องมัวหมองวุ่นวาย อันเกิดจากกิเลสทั้งหลายแล้ว ทำจิตให้สงบได้ (พระธรรมปิฎก, 2546, น.174)

@@@@@@@

จากที่กล่าวมาข้างต้น คำว่า "อธิษฐาน" มีความหมายที่ตรงกันคือการตั้งจิตปรารถนาโดยมีความแน่วแน่ เด็ดเดี่ยวและมีจุดมุ่งหมายเพื่อผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ในตัวอย่างสำคัญของการอธิษฐาน หรือการตั้งใจมั่นในการปฏิบัติธรรมหรือทำในสิ่งที่ดีงาม คือ ในราตรีแห่งวันที่จะตรัสรู้ เมื่อพระโพธิสัตว์ลงประทับนั่งใต้ร่มมหาโพธิ์ ก็ได้อธิษฐานพระทัยว่า ถ้าไม่บรรลุโพธิญาณ จะไม่ทรงลุกขึ้น แม้ว่าเลือดเนื้อจะแห้งเหือดไป (องฺ. ทุก. 20/251)

เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์เมื่อครั้งก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ พุทธองค์ยังคงเป็นพระโพธิสัตว์พระองค์ใช้ปณิธาน คือ ตั้งจิตมุ่งมั่นที่จะกระทำการนั้นๆ และในการตั้งปณิธานนั้น การอธิษฐานเป็นสิ่งที่สาคัญการอธิษฐานจิต คือตั้งใจเด็ดเดี่ยวปักแน่วลงไปที่จุดเริ่มต้นว่า จะต้องทำเป้าหมายนี้ให้สำเร็จ จะต้องทำความดีงามนี้ให้สาเร็จ (พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), 2539, น.231)

สังเกตได้ว่า การขอความสำเร็จสมหวังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เหมือนจะไม่ต่างจากการมีความตั้งใจให้ไปถึงจุดหมาย ในพระพุทธศาสนาเรียก การตั้งเป้าหมายเพื่อให้ไปถึงนั้นว่า “อธิษฐาน” อธิษฐานในทรรศนะของพระพุทธศาสนา ไม่เหมือนกับความหมายที่เราเข้าใจกันทั่วไป การบนจะสอดคล้องกับคำสอนเรื่องอธิษฐานในพระพุทธศาสนาหรือไม่ ซึ่งจะได้วิเคราะห์ในบทที่ 4 ต่อไป






ขอขอบคุณที่มา :-
Photo : pinterest
วิทยานิพนธ์ : เรื่อง การบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธในสังคมไทย โดย นางสาวยุพารักษ์ ชนะบวรวัฒน์
วิทยานิพนธ์นี้วิทยานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพุทธศาสนศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปีการศึกษา 2560
URL : ethesisarchive.library.tu.ac.th/thesis/2017/TU_2017_5606031648_7398_8305.pdf
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 12, 2023, 10:34:21 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28906
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: หลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับ "การบน"
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2023, 10:30:27 am »
0


บทที่ 4 : วิเคราะห์การบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธในสังคมไทย ตามคำสอนในพระพุทธศาสนา

ความเชื่อในเรื่องอำนาจเหนือธรรมชาติ อิทธิปาฏิหาริย์และพฤติกรรมทางไสยศาสตร์ต่างๆ เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่ประชาชนพยายามแก้ปัญหาสร้างความสันติสุขให้แก่ตนเองและชุมชน ความพยายามดังกล่าวทาให้ลัทธิวิญญาณนิยม (Animism) แทรกซึมเข้าสู่พระพุทธศาสนาในเวลาต่อมา และได้แปรเปลี่ยนพระพุทธศาสนาแนวจารีตนิยมไปเป็นพระพุทธศาสนาแบบผสมผสาน(Syncretic Buddhism)

ซึ่งหมายถึง พระพุทธศาสนาที่นับถือทั้งพระรัตนตรัย ผีสางเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์เวทมนต์คาถา ตลอดจนพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ต่างๆ และผู้ที่เชื่อในพระพุทธศาสนาแบบผสมผสานนี้ เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เป็นประชาชนทั่วไปทั้งในเมืองและในในชนบท จึงเรียกพระพุทธศาสนาแนวนี้ได้อีกอย่างหนึ่งว่า "พระพุทธศาสนาแบบประชานิยม" (Popular Buddhism) (ภัทรพร สิริกาญจน, 2553 น.38)

จากปรากฏการณ์การบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธในสังคมไทยในปัจจุบันพบว่า มีชาวพุทธไทยบางส่วนที่ยอมรับนับถืออานาจดลบันดาล และหวังพึ่งอิทธิปาฏิหาริย์ ทำให้เป็นสิ่งที่ผู้วิจัยจะได้ศึกษาในบทนี้ เพื่อหาความสอดคล้องหรือขัดแย้งกับหลักคาสอนของพระพุทธศาสนาในเรื่อง เทวดา พุทธานุภาพ บูชา อนุสสติ หลักกรรม และการพึ่งตนเอง รวมทั้งวิเคราะห์หาแนวทางการบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เหมาะสมตามหลักการพระพุทธศาสนา ดังนี้

4.1 ความสอดคล้องและความไม่สอดคล้องของการบนกับคำสอนในพระพุทธศาสนา

เนื่องจากในพระพุทธศาสนาไม่มีคำสอนในเรื่องการบนโดยตรง และในทางปฏิบัติชาวพุทธไทยในสังคมปัจจุบันก็ยังมีวัฒนธรรมในเรื่องการบนบานศาลกล่าวนี้อยู่ ฉะนั้น ผู้วิจัยจึงหวังจะศึกษาความสอดคล้องและไม่สอดคล้องของการบนกับคำสอนทางพระพุทธศาสนา ซึ่งจะนำไปสู่การวิเคราะห์ว่า การบนและการแก้บนลักษณะใดที่ไม่เหมาะสม และการบนและการแก้บนใดที่เหมาะสม หรือที่พระพุทธศาสนาพอรับได้ เพื่อหาความเหมาะสมหรือทางออกของปัญหาเกี่ยวกับการบน และการแก้บนตามหลักพระพุทธศาสนา

4.1.1 เทวดา

การบนของชาวพุทธในสังคมไทยมีความเกี่ยวข้องกับคำสอนหรือความเชื่อเรื่องเทวดา กล่าวคือ ชาวพุทธไทยเชื่อว่า การบนเพื่อขอให้สมปรารถนาในสิ่งที่หวังเป็นไปได้ด้วยอำนาจของเทวดา ซึ่งจัดเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประเภทหนึ่งตามความเชื่อของชาวพุทธไทย การบนด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับเทวดาจะเป็นการบนที่พออนุโลมได้ เพราะแม้ไม่ได้เข้ากับคำสอนของพระพุทธศาสนาโดยตรง

เนื่องจากพระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้บนเทวดา แต่ก็ไม่ได้ขัดแย้งอย่างรุนแรง เพราะเทวดาอาจจะช่วยเหลือผู้บนได้ ภายใต้เงื่อนไขของกฎแห่งกรรม การบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธในสังคมไทยเกิดขึ้น เพราะมีความเชื่อว่า รูปเคารพอย่างพระพุทธรูปมีเทวดาสิงสถิตหรือรักษาอยู่ และมีเทวดาที่สิงสถิตอยู่ในต้นไม้หรือสถานที่ต่างๆ โดยเชื่อว่า เทวดาเหล่านี้มีฤทธิ์ มีความสามารถจะช่วยเหลือ ผู้ที่มาบนหรือผู้ที่มาขอความช่วยเหลือได้

ดังที่พระเมธาวินัยรส (สุเทพ ปสิวิโก) ได้ให้ทรรศนะที่แสดงถึงความเกี่ยวข้องระหว่างเรื่องเทวดาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนเคารพนับถือ ความว่า การบนรูปเคารพกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หรือการบนรูปเคารพรัชกาลที่ 5 เคยมีคนบนแล้ว คิดว่าได้สำเร็จดังที่ขอ การบนแล้วสำเร็จ สำคัญที่มีเทวดาศักดิ์สิทธิ์สิงสถิตอยู่ตรงนั้นหรือไม่ แล้วเทวดาเขาจะช่วยเรา (พระเมธาวินัยรส (สุเทพ ปสิวิโก), สัมภาษณ์, 21 กุมภาพันธ์ 2561)

ความเชื่อและการบนตามความเชื่อในลักษณะดังกล่าวนี้ ถือได้ว่า มีความสอดคล้องกับคำสอนทางพระพุทธศาสนาในเรื่องเทวดา เพราะพระพุทธศาสนาสอนว่ามีเทวดา ซึ่งในที่นี้คืออุบัติเทพอยู่จริง เทวดาเหล่านี้มีฤทธานุภาพสามารถทำร้ายและช่วยเหลือมนุษย์ได้

อย่างไรก็ตาม การบนจะสำเร็จขึ้นได้อาจสัมพันธ์กับเรื่องกรรมในอดีต และกรรมในปัจจุบันของแต่ละบุคคล หากบุญกุศลกรรมที่ทำมาในอดีตมีไม่พอ เทวดาจะไม่สามารถช่วยเหลือได้ แต่หากมีบุญกุศลกรรมที่บำเพ็ญมาดี เทวดาย่อมให้ความอนุเคราะห์ช่วยเหลือได้

สาหรับกรรมในปัจจุบัน หากผู้ที่บนมีนิสัยเกียจคร้าน ชอบประมาท กระทำแต่อกุศลกรรม เทวดาย่อมไม่ช่วยเหลือเพราะไม่เห็นซึ่งการมีความเพียรพยายาม ส่วนหากผู้บนมีความมุ่งมั่นตั้งใจ กระทำด้วยความเพียรด้วยพละกาลังจากตนเองส่วนหนึ่ง เทวดายินดีพร้อมให้ความช่วยเหลือ จึงมีกุศลกรรมดีมาแต่อดีตชาติด้วยแล้ว จึงช่วยส่งผลให้การบนนั้นสัมฤทธิ์ผลได้ (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), 2555, น.958)

ดังนั้น การบนและการแก้บนจะสอดคล้องกับคำสอนเรื่องเทวดาได้ หากมีความเชื่อและการปฏิบัติที่สอดคล้องกับหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา คือ แม้จะบนด้วยความเชื่อเรื่องเทวดาก็จริง แต่ควรเข้าใจว่าต้องมีกุศลกรรมคือ ผลบุญ (กรรมในอดีต) และการกระทำความดีในขณะปัจจุบัน (กรรมในปัจจุบัน ) ได้แก่ ความเพียรพยายาม มุ่งมั่น ตั้งใจกระทำสิ่งนั้น เทวดาจึงจะให้ความช่วยเหลือ บันดาลให้เป้าหมายที่เราวางไว้สาเร็จ แสดงว่า ชาวพุทธสามารถบนบานศาลกล่าวเทวดาได้ แต่ไม่ควรรอคอยให้มันสาเร็จ เพราะฤทธิ์ของเทวดาบันดาลเพียงอย่างเดียว

ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพระมหาชนก เดินทางไปยังสุวรรณภูมิหมายที่จะทำการค้า แต่เรือกลับอัปปางเพราะเจอลมมรสุม พ่อค้าทั้งหลายต่างพากันบนบานของให้เทพยดาช่วย แต่พ่อค้าเหล่านั้นกลับจมหายไปในกระแสคลื่น ทำไมเทพยดาจึงไม่ช่วยเหลือพ่อค้าเหล่านั้น แต่พระมหาชนกกลับเสวยอาหารให้อิ่มท้อง มุ่งแหวกว่ายเพื่อให้ไปถึงฝั่งด้วยความเพียรพยายาม ผ่านไปถึง 7 คืน ด้วยอกุศลกรรมในอดีตชาติของพระมหาชนก ทำให้นางมณีเมขลา เทพธิดาผู้ตรวจตรามหาสมุทรลืมทำหน้าที่ตรวจตรามหาสมุทรไปถึง 7 วัน

หลังจากนั้น กุศลกรรมของพระนางมหาชาติที่บำเพ็ญมา จึงส่งผลให้นางมณีเมขลาระลึกได้ว่า ต้องตรวจตรามหาสมุทร จึงเหาะจากวิมานมาตรวจตรามหาสุมทรตามหน้าที่ทันที จนได้มาพบพระมหาชนกทรงกำลังแหวกว่ายอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร แล้วอุ้มพระมหาชนกไปส่งยังกรุงมิถิลา

จากเรื่องมหาชนกชาดกสามารถเปรียบเทียบกับคำสอนเรื่องเทวดากับการบน ว่า หากเรามีความมุ่งมั่นตั้งใจ เทวดาก็พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ ดังพระมหาชนกที่ไม่ได้ร้องขอให้เทพยดาช่วย พระองค์ทรงลงมือทำด้วยความเพียรของพระองค์ แต่ด้วยกุศลกรรมที่ทรงบาเพ็ญมาหลายพระชาติ ส่งให้นางมณีเมขลามาพบเข้าแล้วให้ความช่วยเหลือ

ดังนั้น การบนและการแก้บนจะสอดคล้องกับคำสอนเรื่องเทวดาได้ หากมีความเชื่อและการปฏิบัติที่สอดคล้องกับหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา คือ แม้จะบนด้วยความเชื่อเรื่องเทวดา แต่ก็ต้องเข้าใจว่าควรทำอย่างไร เทวดาถึงจะช่วยมนุษย์ได้ เราควรพยายามช่วยตนเองและทำความดีก่อน ไม่ใช่นั่งรอให้เทวดามาช่วย หากบนด้วยความเชื่อและการปฏิบัติในลักษณะตรงกันข้าม จะเป็นการบนที่ขัดแย้งกับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาอย่างรุนแรง

4.1.2 พุทธานุภาพ

ในปัจจุบันยังมีความเชื่อเกี่ยวกับพุทธานุภาพ ในลักษณะที่ว่าแม้พระพุทธองค์จะปรินิพพานไปนานแล้วก็ตาม แต่พลังอำนาจหรือพุทธานุภาพของพุทธองค์ยังคงหลงเหลืออยู่ ชาวพุทธไทยเราก็มักจะเชื่อว่ารูปเคารพที่เป็นตัวแทนสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า คือ พระพุทธรูปนั้น มีพลังอำนาจหรือที่เรียกว่าพุทธานุภาพ สามารถดลบันดาลให้ผู้ที่บนบานศาลกล่าวนั้น ประสบผลสาเร็จได้ตามต้องการ

ดังนั้น การบนด้วยความเชื่อเรื่องพุทธานุภาพจึงดูไม่ขัดกับหลักธรรมเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์และอิทธิวิธีมากนัก แม้จะยังไม่มีหลักฐานยืนยันความมีจริงของพุทธานุภาพในปัจจุบันอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม การบนด้วยความเชื่อเรื่องพุทธานุภาพถึงจะขัดแย้งกับคำสอนทางพระพุทธศาสนา เพราะพุทธานุภาพไม่สามารถฝืนกฎแห่งกรรมได้ (เช่นเดียวกับเทวดา) กล่าวคือ หากเราบนในสิ่งที่เกินวิสัย เช่น บนขอให้สุขภาพแข็งแรง แต่ตัวเองไม่ดูแลสุขภาพเลย พุทธานุภาพแม้จะมีจริง ก็ไม่สามารถทำให้การบนนั้นสาเร็จ และหากบุญเก่าเราไม่มี และไม่ได้พยายามทำความดีหรือพยามแก้ปัญหาด้วยตนเองเลย พุทธานุภาพก็ไม่สามารถช่วยได้เช่นกัน เพราะเป็นการขัดแย้งต่อหลักธรรมเรื่องกรรม

อนึ่ง พุทธานุภาพเป็นพลังอานาจที่เกิดจากพระพุทธเจ้า เป็นพลังที่บริสุทธิ์และแรงกล้า เพราะพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ปราศจากแล้วซึ่งกิเลสทั้งปวง ด้วยเหตุนี้ในการบนบานศาลกล่าวเพื่อจะขอบารมีจากท่านนั้น เราในฐานะปุถุชนหากหวังพึ่งพลังอันบริสุทธิ์จากพระพุทธองค์ ควรขอในสิ่งที่ดีงาม และควรขอในสิ่งที่เป็นไป เพื่อการละความชั่ว ทาความดี ทาจิตใจให้บริสุทธิ์ แล้วควรน้อมนำคุณงามความดีของพุทธเจ้ามาปฏิบัติตาม ให้อยู่ในศีลธรรม แล้วการปฏิบัติตามนี้ จะทำให้เกิดพลังบุญส่งผลให้สอดรับกับพลังอำนาจของพระพุทธเจ้า ส่งผลให้เกิดความสำเร็จในสิ่งที่ตนปรารถนาได้

4.1.3 บูชา

การบนของชาวพุทธในสังคมไทยมีความเกี่ยวข้องกับการบูชา เพราะในการบนนั้นมีการบูชาอยู่ด้วย คือการนำดอกไม้ ธูป เทียน อาหารหรือของคาวหวาน ไปบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เนื่องจากเชื่อว่า การบูชาดังกล่าวมีส่วนช่วยให้การบนของตนสาเร็จ การบูชาในลักษณะที่มีการบนบานอยู่ด้วย จึงมีส่วนที่สอดคล้องกับคำสอนเรื่องการบูชา หากทำด้วยความเชื่อว่า บุญที่เกิดจากการบูชา รวมทั้งอำนาจของเทวดาหรือพุทธานุภาพ จะสามารถช่วยให้สาเร็จได้หากตนเองพอมีบุญเก่าที่ทำให้อำนาจเหล่านั้นช่วยได้ และตนเองก็พยายามทำความดีพร้อมทั้งช่วยเหลือตัวเองไปด้วย ไม่ได้รอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือเพียงอย่างเดียว

พระราชปริยัติมุนี (เทียบ สิริญาโณ) ได้แสดงทรรศนะเกี่ยวกับการบูชาไว้ว่า พระพุทธองค์ตรัสว่า
    ปูชา จ ปูชะนียานัง เอตัมมังคละมุตมัง
    บูชาบุคคลที่ควรบูชา ก็จะมีความเจริญ
ในที่นี้ ความหมายของการบูชานั้นไม่ได้บูชาในลักษณะของศักดิ์สิทธิ์ แต่ควรบูชาในคุณงามความดีของท่าน ปฏิปทาของท่าน แล้วก็น้อมนำคุณธรรมของท่านมาประพฤติปฏิบัติ แล้วจะเป็นมงคลจะเจริญ

ยกตัวอย่าง เรากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างเช่นพระพุทธรูป หรือแม้แต่วีรบุรุษอะไรก็ตาม เราไปกราบไปไหว้เราไม่ได้ไหว้ในฐานะว่าสิ่งนี้ศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น ในกรณีที่เราไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างหลวงพ่อโสธร ไหว้แล้วเราก็บนบานศาลกล่าว เป็นความเชื่อของคนไทย แต่จริงๆ เราไปไหว้หลวงพ่อโสธรหรือไหว้พระ มีจุดประสงค์คือ ไหว้ความดีของท่าน แล้วเอาความดีของท่านมาประพฤติปฏิบัติมันก็จะเป็นมงคลต่อชีวิต (พระราชปริยัติมุนี, สัมภาษณ์, 20 มีนาคม 2561)

ทรรศนะของพระราชปริยัติมุนี ท่านแนะการบูชาที่ถูกต้องในหลักของพระพุทธศาสนา นั้นคือ บูชาคุณงามความดีของบุคคลที่ควรบูชา ดูคุณธรรมของบุคคลนั้นๆเป็นตัวอย่าง แล้วนำมาปฏิบัติตาม ชีวิตเราก็จะมีความเจริญยิ่งขึ้นนั้นคือมงคลที่เกิดกับตัวเรา

อย่างไรก็ตาม นอกจากการบูชาด้วยการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีผลต่อการให้สิ่งที่เราปรารถนาสำเร็จแล้ว ตามหลักธรรมเรื่องกรรม บุญที่เกิดจากการบูชาด้วยการปฏิบัติตามที่กล่าวมานั้น และการบูชาด้วยอามิส มีดอกไม้ เป็นต้น ยังอาจช่วยให้สิ่งที่เราปรารถนาสำเร็จได้ด้วยเช่นกัน การบูชาด้วยอามิสและการปฏิบัติจึงมีส่วนช่วยให้การบนสำเร็จได้ หากบุญเก่ามีพอและไม่มีวิบากของอกุศลกรรมที่มีกำลังมาขัดขวาง

ดังนั้น การบนของชาวพุทธในสังคมไทยด้วยความเชื่อเรื่องการบูชา แม้จะไม่สอดคล้องกับคำสอนทางพระพุทธศาสนาโดยตรง เนื่องจากไม่ได้มีคำสอนให้บนและให้บูชา เพื่อขอสิ่งที่ปรารถนา แต่ไม่ถึงกับขัดแย้งกันอย่างรุนแรง หากมีความเชื่อและการปฏิบัติที่ถูกต้องตามหลักการของพระพุทธศาสนา เพราะมีส่วนที่สอดคล้องกับคำสอนเรื่องการบูชาและคำสอนอื่น ๆ มีคำสอนเรื่องกรรม เป็นต้น ของพระพุทธศาสนา

4.1.4 อนุสสติ

การระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในการบนของชาวพุทธในสังคมไทย ยังมีความเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติอนุสติบางประเภทของพระพุทธศาสนา การบนให้เหมาะสมควรเป็นกุศโลบายในการทำบุญด้วยอย่างหนึ่ง คือ การมีอนุสติ (ระลึก) ซึ่งการระลึกเป็นสมถกรรมฐานชนิดหนึ่งในพระพุทธศาสนา และบุญที่เกิดจากการบำเพ็ญอนุสติดังกล่าว อาจมีส่วนช่วยให้การบนสำเร็จได้ตามเงื่อนไขของคำสอนเรื่องกรรม

อนุสสติในมหานามสูตรเป็นพระสูตรซึ่งพระพุทธเจ้าทรงสอนหลักอนุสสติกัมมัฏฐาน 6 ประการ ได้แก่ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติและเทวตานุสสติ พระพุทธเจ้าตรัสว่า อริยสาวกย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ (องฺ.ปญฺจก. 22/10/421-425)

บางคนอาจเข้าใจว่า การบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องเดียวกันกับพุทธานุสสติ ซึ่งผู้วิจัยจะวิเคราะห์ให้เข้าใจหลักการของวิธีการเจริญพุทธานุสสติ การเจริญพุทธานุสสตินี้ มิใช่การสวดสาธยายเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องรู้จักความหมายของพระพุทธคุณแต่ละบทด้วย จึงจะชื่อว่า เป็นพุทธานุสสติ

วิธีปฏิบัติ คือ ผู้ปฏิบัติไปสู่สถานที่สงัด รักษาจิตไว้ไม่ให้ถูกรบกวน ไม่ฟุ้งซ่าน ตั้งใจระลึกถึงพระพุทธคุณทั้งหมดหรือบทใดบทหนึ่ง พระพุทธคุณ 9 บท ตามที่สาธยายว่า

    “อิติปิ โส ภควา อรห สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสาน พุทฺโธ ภควา”
     แปลว่า แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น จึงทรงเป็นพระอรหันต์ ทรงเป็นผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง ทรงเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ทรงเป็นผู้เสด็จไปดี ทรงเป็นผู้รู้แจ้งโลก ทรงเป็นผู้หักทำลายโทษทั้งหลาย

ซึ่งในพระพุทธคุณทั้ง 9 บท ยังมีการอธิบายโดยละเอียด เช่น บทว่า อรห ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค อธิบายบทว่า อรห ไว้ดังนี้
    (1) เป็นผู้ไกลจากกิเลสทั้งหลาย
    (2) เป็นผู้กำจัดอริทั้งหลาย
    (3) เป็นผู้หักซึ่งกำทั้งหลาย
    (4) เป็นผู้ควรแก่ปัจจัย เป็นต้น
    (5) ไม่มีที่ลับในการทำบาป (สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ), 2554, น.343-345)

ดังยกมากล่าวข้างต้น การจะทำพุทธานุสติไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่เพียงการสวดมนต์อ้อนวอนขอพรจากพระพุทธเจ้า  แต่พุทธานุสติคือ การระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงมีพระปัญญาธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ และพระบริสุทธิคุณ ที่พระองค์ทรงแสวงหาหนทางดับทุกข์ได้ และได้ตรัสสอนมวลมนุษย์ให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวง ดังนั้น การบนบานต่อพระพุทธเจ้าไม่ถือว่า เป็นพุทธานุสติ

เช่นเดียวกันการจะทำอนุสสติ ที่เรียกว่าสังฆานุสตินั้น ต้องเป็นการระลึกถึงพระสงฆ์คือ น้อมจิตระลึกถึงและพิจารณาคุณของพระสงฆ์ ซึ่งการบนบานต่อพระสงฆ์นั้นบางครั้งเราไม่ได้ตระหนักในพระคุณของท่าน หากแต่เราบนบานต่อท่านเพียงเพื่อหวังผลบางประการจากท่าน การบนบานต่อพระสงฆ์จึงไม่ถือเป็นการทำสังฆานุสติที่ถูกต้อง

ส่วนในเรื่องเทวตานุสตินั้น เป็นการระลึกถึงเทวดาคือ น้อมจิตระลึกถึงเทวดาทั้งหลายที่ตนเคยรู้และพิจารณาเห็นคุณธรรมอันทำให้บุคคลเป็นเทวดา ฉะนั้น การที่ระลึกถึงเทวดา แต่ไม่ตระหนักในพระคุณและคุณธรรมของเทวดาอย่างแท้จริง ก็ไม่ถือว่าเป็นการทำเทวตานุสติ

การบนบานที่คนไทยเข้าใจว่า เป็นกุศโลบายในการทำกรรมฐานเรื่องอนุสสติ ผู้วิจัยเห็นว่า เป็นความเชื่องมงาย เชื่อแบบตามๆ กัน การจะเคารพนับถือในสิ่งใดนั้น ควรที่จะเคารพในคุณธรรมและพระคุณของท่านที่มีต่อเรา ไม่ควรสร้างเงื่อนไขในการเคารพ เช่น ถ้าสมปรารถนาตามที่บนบาน จะสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ การแสดงความเคารพแบบมีเงื่อนไขเช่นนี้ เป็นการลดทอนศรัทธาที่ดีงาม ที่มีในจิตใจของเราให้ไม่มีความเจริญงอกงาม

ดังนั้น การบนในลักษณะเป็นกุศโลบายเพื่อให้ได้ทำอนุสสติ จึงไม่ได้ขัดแย้งกับคาสอนทางพระพุทธศาสนาอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่ใช่การทำอนุสสติที่ถูกต้อง



4.1.5 กรรมและการพึ่งตนเอง

หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาสอนให้พุทธศาสนิกชนเชื่อในเรื่องของกรรม คือ เมื่อกระทำการเช่นใด ก็ย่อมได้รับผลเช่นนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของแต่ละคน จึงเป็นเรื่องของกรรมที่ตัวเองทำไว้ ชีวิตและความปรารถนาต่างๆ ในชีวิต จึงเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับตัวเองหรือต้องพึ่งตนเอง การบนหรือการขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้ได้ในสิ่งที่ปรารถนา จึงเกี่ยวข้องกับเรื่องกรรมและการพึ่งตนเอง กล่าวคือ การบนจะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับกรรมและความเพียรของตัวผู้บนเอง การดลบันดาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างเทวดา ก็ขึ้นอยู่กับเรื่องกรรมและการพึ่งตนเองเช่นกัน

ปัญหาที่เกิดกับชาวพุทธไทยในเรื่องความสำเร็จของการบน คือ ความเข้าใจผิดหรือความสงสัยว่า การบนนั้นสำเร็จได้ด้วยอำนาจบุญของตนหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันแน่ เพราะสาหรับชีวิตของคนไทยที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ยังมีความเชื่อในเรื่องสิ่งลี้ลับหรือพลังอำนาจพิเศษ ที่สามารถดลบันดาลสิ่งต่างๆให้เกิดขึ้นได้ เช่น เทวดา ผี และวิญญาณทั้งหลาย ทำให้บางครั้งสิ่งที่มนุษย์เราบนบานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วสาเร็จผลอย่างเหลือเชื่อนั้น เป็นที่น่าสงสัยว่า เกิดจากสิ่งใด หรืออาจด้วยเพราะอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดลบันดาล หรือเป็นเพราะผลจากการกระทำ(กรรม) ของตัวเราเอง

ซึ่งในความเป็นจริงตามหลักการทางพระพุทธศาสนา สิ่งเหล่านี้มีความสัมพันธ์กันโดยมีเรื่องกรรมและการพึ่งตนเอง เป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จหรือไม่ของการบน ในทางพระพุทธศาสนาได้ให้ความหมายและมุมมองเกี่ยวกับหลักกรรมและการพึ่งตนเองไว้ ดังนี้

    4.1.5.1 หลักกรรม
    การบนนั้นเป็นอีกหนึ่งทางที่จะเรียกขวัญและกำลังใจในการสร้างกรรมดี เพื่อให้ส่งผลในทางที่ดีหรือเป็นอีกกำลังที่จะส่งผลให้การบนนั้น มีโอกาสที่จะประสบผลสำเร็จได้

    อย่างไรก็ตาม หากสิ่งศักดิ์สิทธิ์สามารถช่วยดลบันดาลให้แก่ผู้ที่บนบานศาลกล่าวได้จริง คงต้องมีเงื่อนไข นั่นคือ อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม เพราะมนุษย์ทุกคนบนโลกไม่มีใครสามารถหนีกฎแห่งกรรมได้ ฉะนั้น หากไม่ช่วยเหลือตัวเองก่อน ไม่มีความพยายามเสียก่อน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คงจะมีขอบเขตในการช่วยเหลือ เราจึงควรต้องสร้างกรรมดี ประพฤติปฏิบัติให้อยู่ในศีลในธรรม แล้วกุศลเหล่านั้นจะส่งผลประกอบกับอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือพระรัตนตรัย ย่อมช่วยให้ผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สำเร็จประโยชน์ในทางที่ชอบได้

    ดังนั้น การบนด้วยความเข้าใจในเรื่องกรรมอย่างถูกต้อง จึงไม่ได้ขัดแย้งกับหลักการทางพระพุทธศาสนาอย่างรุนแรง เพราะผู้บนเห็นว่า การบนเป็นเพียงกุศโลบายหรือเครื่องมือในการทำบุญและให้กำลังใจ เนื่องจากความสำเร็จของการบนขึ้นอยู่กับกรรมของตนเองทั้งที่เป็นอดีตและปัจจุบัน หากบนแล้ว เกียจคร้านหรือทำชั่ว การบนนั้นก็ยากจะสำเร็จ

     4.1.5.2 การพึ่งตนเอง
     ตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ให้รู้จักการพึ่งตนเอง มิใช่ให้เป็นการร้องขอเพื่อให้ผู้อื่นช่วยเหลือ แต่ในสังคมไทยในปัจจุบันเป็นที่น่าสังเกตว่า บุคคลในสังคมนิยมร้องขอเพื่อให้สิ่งที่ตนเองนับถือช่วยเหลือมากกว่าการที่จะพยายามทำสิ่งต่างๆด้วยตนเอง เมื่อมนุษย์มีความเชื่อในการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งที่มนุษย์หาคำอธิบายไม่ได้ ต่อมาเมื่อมีพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นและความเชื่อเดิมยังคงอยู่ ความคิดเก่าและความคิดใหม่ก็ปะปนกัน

     หนังสือพุทธธรรมของท่านพระพรหมคุณาภรณ์ ป.อ. ปยุตโต (2538) ได้อธิบายไว้ว่า พระพุทธศาสนาของชาวบ้านที่ปรากฏในสังคมไทย เป็นพุทธศาสนาที่ยังมีความเชื่อในเรื่องผีสางเทวดา เพราะแต่ก่อนคนไทยยังเชื่อเรื่องผีสางเทวดา ตามแนวคิดของศาสนาพราหมณ์ ซึ่งมีลักษณะของการวิงวอน ขอร้อง และมีการตอบแทนบุญคุณต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างแพร่หลาย

     ในปัจจุบันหากคนใดไม่รู้จักพึ่งตนเอง คอยแต่ตระเวนบนบานศาลกล่าวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่ลงมือกระทำอะไรเลย รอหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาล สิ่งที่บนบานหรือที่หวังก็ไม่อาจเกิดผลได้ เพราะคอยแต่โชคลาภวาสนา

     ดังทรรศนะของแม่ชีกฤษณา รักษาโฉม ความว่า ถ้าบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วบุคคลนั้น ก็จะไม่ขวนขวายในการทำงานในการดาเนินชีวิตในทางสร้างสรรค์ คอยแต่โชควาสนาให้ดลบันดาล ส่วนหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาสอนให้พึ่งตนเอง ทำด้วยตนเอง มีตนเป็นที่พึ่ง เช่น ถ้าเป็นนักเรียนอยากสอบได้คะแนนดีๆ ต้องขยัน หรือถ้าอยากรวยก็ต้องขยันหมั่นเพียร

     หลักธรรมที่ทำให้รวย คือ
     1. อุฏฐานสัมปทา ขยันเกาะติดสถานการณ์
     2. อารักขสัมปทา รักษาทรัพย์ที่หาได้มา
     3. กัลยาณมิตตตา มีเพื่อนดีแนะนำทางที่ดี
     4. สมชีวิตตา มีความเสมอต้นเสมอปลาย

เมื่อรวยแล้ว ให้ใช้จ่ายทรัพย์อย่างระมัดระวัง เหมือนโบราณว่า ถ้าอยากรวยแล้วอยู่อย่างคนรวยจะไม่รวย ถ้าอยากรวยอยู่อย่างคนจนแล้วจะรวย

     หลักอิทธิบาท 4 เป็นหลักธรรมที่ทำให้บุคคลประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน คือ
     หลักฉันทะ ความรักในวิชาการหรืออาชีพนั้นๆ ฝึกให้มีความชำนาญมีความรักในอาชีพนั้นในศิลปะนั้น
     หลักวิริยะ ความขยันในการเรียน การทำงาน การประกอบอาชีพต่างๆ ความขยันจะทำให้ประสบความสำเร็จดังความสำเร็จของพระมหาชนก ที่เรือแตกกลางมหาสมุทรคนในเรือตายหมด แต่พระมหาชนกยังมีความเพียรพยายามว่ายหาฝั่ง ถึงแม้ว่าจะยังไม่เห็นฝั่ง ท้ายที่สุดก็ชนะอุปสรรคไปได้
     หลักจิตตะ จิตใจที่มุ่งมั่นและหนักหน่วงในสิ่งที่ทำการงานที่ได้รับมอบหมาย
     หลักวิมังสา ใช้ปัญญาไตร่ตรองเหตุและผลประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ ปัญญานำพาให้มีความสุข (แม่ชีกฤษณา รักษาโฉม, สัมภาษณ์, 20 กุมภาพันธ์ 2561)

นอกจากนี้ พระธรรมกิตติเมธี (เกษม สญฺญโต) ยังให้ทรรศนะที่สอดคล้องกันว่า คนเราควรรู้จักพึ่งตนเองก่อน ก่อนที่จะพึ่งใครหรือพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ความว่า แม้พระพุทธเจ้าเองก็ไม่ได้แนะนำให้ นับถือพระองค์อย่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่นับถืออย่างว่าพระองค์ทรงค้นพบสัจธรรมแล้วนำมาบอกให้ เรียกว่า เป็นผู้มีคุณูปการ มีการที่จะให้ชีวิตเราดีขึ้นด้วยการปฏิบัติ พระองค์ค้นหามันได้ด้วยการปฏิบัติ ไม่ใช่ไปนั่งบนบานกับใครที่ภูเขาในถ้ำไหน ต้องฝึกกันชนิดที่ว่าแทบเอาชีวิตไม่รอด แต่พอได้มาแล้วพระองค์ก็ทรงมองเห็นแล้วว่า มันยากแต่ในที่สุดก็สอน ในที่สุดก็มีผู้เห็นตาม

เพราะฉะนั้น พระพุทธก็ดี พระธรรมก็ดี พระสงฆ์ก็ดี เป็นผู้ที่มีหลักการยืนยันชัดเจนแล้ว แต่เรามาทำให้มันขัดกันกับคำสอนของพระพุทธเจ้าซะเอง เพราะปฏิบัติไม่จริงจัง จึงได้ผลไม่จริงจัง พอได้ผลไม่จริงจัง ก็จึงคิดไปว่าเราพึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วไม่ได้อะไร เพื่อนเขาไปบนหลวงพ่อศรีสุทโธ แล้วรู้สึกว่าได้ดีกว่า ถูกหวยบ่อยก็เลยแห่กันไป

ในทำนองนี้ส่วนที่ไม่ได้ก็มีมาก แต่ไม่ได้มีใครพูด ไม่ได้มากกว่าได้ แต่คนเป็นพันเป็นหมื่นมันก็ต้องมีที่แทงเลขได้บ้าง และพอมีคนถูกก็ไปมองว่าสิ่งนั้นศักดิ์สิทธิ์ สิ่งนี้คือความเข้าใจผิด ที่ไม่พึ่งกำลังของตัวเอง ถ้าจะขยันหมั่นเพียร มันสาเร็จได้ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสสอนให้พึ่งตัวเอง อัตตา หิอัตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งของตน (พระธรรมกิตติเมธี (เกษม สญฺญโต) สัมภาษณ์ , 13 กุมภาพันธ์ 2561)

@@@@@@@

พระพุทธศาสนาของชาวบ้านก็จะมีเรื่องของการวิงวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเคารพนับถือ มีการกราบไหว้ การขอร้อง ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรก็ตาม เช่น เรื่องการเจ็บป่วยก็ขอให้หายป่วย เรื่องการงานก็ขอให้ได้ตำแหน่งเลื่อนขั้น ขึ้นเงินเดือน แม้แต่การทาเกษตรก็ขอให้มีผลผลิตมากๆ ค้าขายก็ขอให้ร่ำรวยเงินทอง แม้กระทั่งเรื่องของโชคลาภยังต้องอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์

พุทธศาสนาของชาวบ้านมีความเชื่อในสิ่งที่เหนือธรรมชาติ โดยเฉพาะการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มนุษย์เชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีอำนาจเหนือมนุษย์ มีปาฏิหาริย์เมื่อตัวเราเคารพ ก็จะทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาและช่วยเหลือ จึงทำให้มีการบนบานเกิดขึ้น ทั้งนี้สิ่งที่ชาวพุทธส่วนใหญ่ซึ่งเป็นชาวไร่ ชาวนาและผู้ใช้แรงงานต้องการมากที่สุด ก็คือ ความสุขในโลกปัจจุบัน หรืออนาคตอันใกล้ ไม่ใช่ชีวิตในอุดมคติอันห่างไกล

ตราบใดที่นิพพานซึ่งเป็นอุดมคติทางพระพุทธศาสนา ยังมีความหมายไม่ชัดเจนสำหรับพวกเขา และพวกเขารู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เกินความสามารถในการพากเพียรให้บรรลุได้ พวกเขาก็ไม่สนใจและไม่ปรารถนาในการเข้าถึงแต่อย่างใด สิ่งที่ชาวพุทธส่วนใหญ่ในสังคมไทยปรารถนาก็คือ การเกิดใหม่ในสภาวะที่ดีกว่าเดิม เช่น เกิดในครอบครัวที่มั่งคั่งหรือในสรวงสวรรค์ หรือแม้แต่ในโลกพระศรีอาริย์ผู้จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป (ภัทรพร สิริกาญจน, 2553 น.42)

ผู้วิจัยมีความเห็นว่า การพึ่งตนเองโดยมีหลักอิทธิบาท 4 คือ มีความพอใจในวิชาชีพของตน มีความขยัน มีความตั้งใจ และใช้ปัญญาไตร่ตรองเหตุและผลนั้นจะสาเร็จประโยชน์ได้มากขึ้น เพราะอิทธิบาท คือ ทางแห่งความสำเร็จ หากผู้ที่ยังต้องหวังที่พึ่งจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ ก็ควรศึกษาหรือลองปฏิบัติในธรรมข้ออิทธิบาท 4 นี้ เป็นการพึ่งตนเองไปก่อน โดยที่ไม่ต้องรอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นบันดาลผลให้ เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราเคารพนับถือนั้น จะบันดาลให้สมประสงค์ได้เมื่อใด อีกทั้งหากคนเรามัวแต่รอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือ แต่ตนเองไม่กระทำอันใดเลย ย่อมไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่คนผู้นั้นต้องการ

ซึ่งหากกล่าวไปแล้วนั้น หลักการพึ่งตนเองนี้ ก็สอดคล้องกับหลักกรรม เพราะการที่ผู้คนกระทำการใดๆ คนผู้นั้นย่อมได้ตามที่ตนกระทำ ดั่งคากล่าวที่ว่า “ทำอย่างไร ได้อย่างนั้น”

ตามหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนาที่กล่าวมาข้างต้น หากจะพิจารณาว่า การบนนั้นสอดคล้องหรือขัดกับหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาหรือไม่ ผู้วิจัยได้ศึกษาจากทรรศนะของผู้ทรงคุณวุฒิที่หลากหลาย สามารถแบ่งออกได้เป็นสองความเห็น

ดังนั้น กรณีที่เห็นว่า การบนนั้นขัดกับหลักธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนาอย่างชัดเจน ดังทรรศนะของแม่ชีกฤษณา รักษาโฉม ที่มองว่า การบนนั้นขัดกับหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากหากใช้หลักกรรมและการพึ่งตนเองแล้วย่อมขัด เพราะถ้าหากคนบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วคอยแต่ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาล ก็จะทำให้คนผู้นั้นไม่ขวนขวายในการดำเนินชีวิต (แม่ชีกฤษณา รักษาโฉม, สัมภาษณ์, 20 กุมภาพันธ์ 2561)

นอกจากนี้ เดโชพล เหมนาไลย ได้ให้ทรรศนะเพิ่มเติมที่สนับสนุนความเห็นว่า การบนนั้นขัดกับหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ความว่า การบนนั้นผิดที่ความเข้าใจผิดตั้งแต่แรก และที่สำคัญที่สุดคือมันผิดหลักการ เพราะการบนถือว่าขัดแย้งกับเรื่องกรรมวาท กิริยาวาท คือ การที่ต้องลงมือกระทำตามหลักการของพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น การบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมถือว่าขัดแย้งตามหลักนี้อย่างชัดเจน การบวงสรวงอ้อนวอนแบบลัทธิบูชาพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งมันเป็นทิฏฐิที่พระพุทธศาสนาปฏิเสธทั้งสิ้น (เดโชพล เหมนาไลย, สัมภาษณ์, 19 มีนาคม 2561)

(ยังมีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 14, 2023, 10:43:20 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28906
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: หลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับ "การบน"
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2023, 10:35:21 am »
0
@@@@@@@

(ต่อจากด้านบน)

จากทรรศนะของผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่านข้างต้น ชี้ให้เห็นว่า การบนนั้นถือว่าขัดกับหลักธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนาอย่างชัดเจน หากมองในเรื่องหลักกรรมและการพึ่งตนเอง อีกทั้งในทางพระพุทธศาสนานั้นไม่ได้สอนให้คนงมงาย เชื่อไสยศาสตร์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่สอนให้ผู้คนกระทำดี ประพฤติดี รู้จักประกอบสัมมาอาชีพ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น

อย่างไรก็ตาม หากมองในสังคมพุทธไทยในปัจจุบันแล้ว การบนก็ไม่ได้ถือว่า ขัดกับหลักธรรมเสียทั้งหมด ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการบนของผู้บนเอง ดังทรรศนะของชาญณรงค์ บุญหนุน ความว่า การบนนั้นขัดในเรื่องกรรม แต่การเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มันอาจจะไม่ขัด เพราะว่า จริงๆ มี 2 ความเชื่อ ถึงแม้ว่าการบนอาจจะผิดหรืออาจจะไม่สอดคล้อง แต่ว่าความเชื่อว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นก็อาจจะไม่ผิด แต่หากถามว่าอะไรคือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามพระพุทธศาสนานั้น ก็สามารถบอกได้ การไหว้ต้นไม้ จอมปลวก ภูเขา ก็ถือว่าเป็นความเข้าใจผิด

แต่ว่าความเข้าใจผิด พระพุทธศาสนาก็ไม่ได้บอกว่าไม่ควร พุทธศาสนาไม่ได้ไปบอกหรือถึงกับห้ามทำ เพราะสิ่งเหล่านั้นถือเป็นวิถีชีวิตของชาวบ้าน ถ้าจะยึดตามหลักพระวินัยก็ถือเป็นเรื่องของชาวบ้าน ชาวบ้านจะเชื่อว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชื่อว่าอะไรก็เป็นเรื่องของเขา ชาวบ้านจะกราบไหว้บูชาสถูป ผีสางเทวดา ก็เรื่องของชาวบ้าน

ถ้าเอาตามจริงพระพุทธศาสนาก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่ว่าถ้าถามว่าเข้ากับหลักคำสอนหรือไม่นั้น คำตอบคือ ไม่เข้า ถ้าตัวหลักคาสอนหมายถึงว่า การไปบนมันก็ผิดกับหลักคำสอน เพราะมันต้องอาศัยกรรมเป็นตัวตัดสิน แต่หากถามว่าการเชื่อว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ เชื่อว่ามีผู้ที่สามารถทำให้เกิดอานุภาพได้ ในแง่หนึ่งพุทธศาสนาก็เชื่อ  แต่อีกแง่หนึ่งก็มีคำสอนให้ผู้ปฏิบัติคือ เน้นเรื่องกรรม จงมีต่อผู้อ่อนน้อมถ่อมตน หมายถึงว่า ความเคารพผู้ใหญ่ อายุ วรรณะ สุขะ พละ มันต้องเกิดขึ้นจากการกระทำของมนุษย์ มันก็จะขัดอยู่กับในความหมายแบบนี้ (ชาญณรงค์ บุญหนุน, สัมภาษณ์, 1 มีนาคม 2561)

ทรรศนะข้างต้นนั้น สอดคล้องกับที่ประเสริฐ รุนรา กล่าวไว้ ความว่า หากมองในมุมมองแบบพุทธอุดมการณ์ การบนก็ถือว่าขัด แต่ถ้ามองในมุมวิถีชีวิต วัฒนธรรมความเป็นอยู่แบบชาวบ้านก็ไม่ผิดนัก เนื่องจากสังคมไทยในปัจจุบันเป็นพุทธแค่เพียงภายนอก แต่ภายในยังมีความเชื่อที่เต็มไปด้วย ความเชื่อแบบวัฒนธรรมผี เทพเต็มไปหมดเลย เหมือนมีพุทธเป็นเปลือกหุ้มเท่านั้น ไม่ได้เป็นพุทธแท้ที่เป็นแก่นจริงๆ ฉะนั้น กระบวนการของเราชาวพุทธเพียงเปลือกนอก จึงมองแค่รูปแบบกระบวนการและรูปทรงมากกว่า ซึ่งก็ถือว่าไม่ได้ผิด เพราะว่ามันเป็นลักษณะเฉพาะของกลุ่มนี้ แต่ถ้าหากจะมองในหลักการของพุทธแล้ว ก็ถือว่าไม่ใช่เป้าประสงค์ของพุทธศาสนา (ประเสริฐ รุนรา, สัมภาษณ์, 22 มีนาคม 2561)

จากทรรศนะของผู้ทรงคุณวุฒิข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า หากจะกล่าวว่าการบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ “ขัดแย้ง” หรือ “ไม่ขัดแย้ง” นั้น ไม่อาจหาข้อสรุปได้อย่างชัดเจน แต่กระนั้นการบนแม้อาจไม่ตรงกับหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนานัก แต่พอจะอนุโลมได้เพราะมีประโยชน์และไม่ได้ขัดแย้งอย่างรุนแรงในบางกรณี เนื่องจากการบนเป็นเรื่องทางจิตวิทยาอย่างหนึ่ง เป็นกุศโลบายหรือเป็นสิ่งที่ให้กำลังใจคนได้ เพียงแต่ต้องทำให้ถูกวิธี คือผู้บนต้องพยายามด้วยตนเอง การบนหากทำถูกวิธีก็จะไม่ขัด หรือพอจะอนุโลมได้ตามคาสอนเรื่องการพึ่งตนเอง เรื่องกรรมและความเพียร ที่คนมักจะมองว่าขัดเพราะงมงาย ไม่ช่วยตัวเอง ทำให้ขัดกับพระพุทธศาสนาที่เป็นกรรมวาที วิริยวาที ต้องพึ่งตนเอง

4.1.6 อธิษฐาน

เรื่องอธิษฐานเป็นหลักคำสอนที่สาคัญ เป็นเรื่องที่พุทธศาสนิกชนต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง จากที่กล่าวไว้ในบทที่ 2 ทาให้เห็นกรอบที่ชัดเจนในเรื่องสัจจะอธิษฐาน คือ ยินยอมและปฏิบัติตามที่ตนได้กล่าวสัจจะไว้ทุกประการ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยทรัพย์สมบัติ ร่างกาย หรือแม้กระทั่งชีวิตยังถือในคำมั่นนั้นอย่างมั่นคงในศรัทธา แต่ในประเด็นเรื่องการบนนั้นไม่ใช่การทำสัจจะอธิษฐาน เนื่องจากการตั้งเงื่อนไขว่า หากเกิดความสมหวังดังปรารถนาจึงจะทำ เช่น หากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลให้ถูกสลากกินแบ่งรัฐบาล จึงจะแก้บนด้วยการปฏิบัติธรรม เอาความดีเป็นเงื่อนไขในการลงมือทำ

ดังนั้น ชาวพุทธไทยต้องเข้าใจหลักอธิษฐานให้ถูกต้อง เพราะการบนบานเป็นการกระทำสัจจะอธิษฐานได้ ถ้าปฏิบัติถูกต้อง ดังเช่น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตั้งสัจจะอธิษฐานว่า หากพระองค์ไม่ทรงบรรลุธรรมจะไม่ยอมลุกขึ้นจากโพธิบัลลังก์ แม้ว่าเลือดเนื้อของพระองค์จะแห้งเหือดไปก็ตาม จากการตั้งสัจจะอธิษฐานในครั้งนั้น พระองค์ไม่ทรงหวังพึ่งอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเหลือ หากแต่พระองค์ทรงลงมือปฏิบัติด้วยพระองค์เอง พระองค์ไม่ได้ทรงสร้างเงื่อนไขว่า ถ้าพระองค์บรรลุธรรมพระองค์ถึงจะตั้งพระทัยประทับนั่งสมาธิไม่ยอมลุกไปไหน แม้ต้องแลกด้วยชีวิต

การอธิษฐานตามหลักพระพุทธศาสนา เป็นการตั้งจุดมุ่งหมายหรือความปรารถนาต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือเพื่อกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยอาศัยการกระทำของตน กล่าวคือ เมื่อมีการตั้งความปรารถนาแล้ว ก็ดำเนินตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้อย่างแน่วแน่ มีหลักการและวิธีการปฏิบัติที่ชัดเจน เน้นการกระทำของตนเองเป็นสำคัญซึ่ง ต่างจากการอ้อนวอนซึ่งหลังจากอ้อนวอนแล้ว ก็ไม่มีหลักการที่แน่นอนว่าตนเองจะทำอะไร ให้ได้ในสิ่งที่อ้อนวอนนั้น ปล่อยให้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของเทพเจ้า

การนำอธิษฐานบารมีไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านสังคมเป็นสิ่งที่จำเป็น โดยเฉพาะแก้ปัญหาเรื่องการบนบานที่อยู่นอกเหนือกรอบของพระพุทธศาสนา อธิษฐานบารมีก่อให้เกิดผลดีงามต่อสังคมมากมาย ทั้งสังคมเล็กหรือสังคมใหญ่ กล่าวคือ สังคมที่น่าอยู่ มีสภาพแวดล้อมและบุคคลในสังคมดี คือ มีใจมั่นคง ตั่งมั่นในการทำความดีต่อกันในสังคม ที่ทำให้สังคมเกิดความมั่นคง สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสุขสงบเย็น

สรุปได้ว่า การอธิษฐานตามหลักของพระพุทธศาสนา หมายถึง การตั้งใจเพื่อจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือเพื่อจะเป็นอะไรด้วยจิตใจอันแน่วแน่มั่นคงมุ่งตรงต่อจุดหมาย เป็นบารมีข้อหนึ่งในบารมี 10 ข้อ ที่พระโพธิสัตว์จะต้องบำเพ็ญเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า และเป็นหลักธรรมที่มีความจำเป็นกับทุกคน ไม่เฉพาะพระโพธิสัตว์เท่านั้น กล่าวคือ การที่ทุกคนจะประสบความสำเร็จได้ก็ต้องมีความตั้งใจ มีการกำหนดจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน และดำเนินไปตามนั้นอย่างแน่วแน่ จึงจะสำเร็จได้



4.2 แนวทางการบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เหมาะสมตามคำสอนของพระพุทธศาสนา

ตามหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาไม่ได้สนับสนุน หรือห้ามเกี่ยวกับการบนไว้อย่างชัดเจน แต่ด้วยวิถีชีวิตความเป็นอยู่ การดำเนินชีวิตของสังคมไทยในปัจจุบัน ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า การบนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะการที่ผู้คนบนบานศาลกล่าวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็เพราะต้องการที่พึ่งทางใจ

ส่วนที่ดีหรือไม่ดีนั้น ก็อยู่ที่ความเชื่อและการปฏิบัติตนของผู้บน รวมทั้งวิธีของการแก้บนเสียมากกว่า หากบนด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องตามหลักธรรมเรื่องกรรมและการพึ่งตนเองเป็นต้น และพยายามทำความดี พร้อมทั้งมีความเพียรช่วยเหลือตัวเองด้วย ก็พอจะอนุโลมให้ทำได้ตามหลักการพระพุทธศาสนา และหากเป็นการบนแล้วแก้บนด้วยการกระทำที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองหรือส่วนรวม เช่น การแก้บนด้วยการปฏิบัติธรรม การทำบุญ ถวายทาน บริจาคสิ่งของ เหล่านี้ก็นับว่าไม่ผิดนัก แต่หากเป็นการแก้บนในลักษณะอนาจาร หรือสร้างความเดือดร้อน สร้างความเสียหายให้แก่ผู้อื่น ก็ถือว่าไม่สมควร

ในหัวข้อนี้ ผู้วิจัยวิเคราะห์เกี่ยวกับจุดประสงค์ที่เหมาะสมของการบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พร้อมทั้งวิธีการแก้บนที่เหมาะสมตามหลักการพระพุทธศาสนา จากทรรศนะของผู้ทรงคุณวุฒิ โดยมีรายละเอียดดังนี้

4.2.1 จุดประสงค์ที่เหมาะสมของการบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ชาวพุทธไทยในปัจจุบันต่างนิยมบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอในสิ่งที่ตนปรารถนา แม้พระพุทธศาสนาจะไม่ปฏิเสธอย่างชัดเจนในมุมมองของวิถีความเป็นอยู่ของชาวบ้าน แต่หากจะบนแล้ว จุดประสงค์ของการบนควรเป็นในลักษณะที่ส่งเสริมให้ผู้บนประพฤติปฏิบัติเองด้วย

โดยแม่ชีกฤษณา รักษาโฉม ได้ให้ทรรศนะเกี่ยวกันหลักเกณฑ์การบนที่เหมาะสม ความว่า

     เกณฑ์การบนที่เหมาะสม คือ
     1) เมื่อบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้องขยันในการขวนขวายด้วยตนเองด้วย ให้บนในสิ่งที่ดีๆ ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
     2) การบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องเข้าใจในสัจธรรม เรื่องความเปลี่ยนแปลง อนิจจัง เมื่อได้สิ่งที่บนมาแล้วถ้ามีการเปลี่ยนแปลงควรที่จะทำใจให้ยอมรับได้ และ
     3) ไม่ควรบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อการเบียดเบียนผู้อื่น (แม่ชีกฤษณา รักษาโฉม, สัมภาษณ์, 20 กุมภาพันธ์ 2561)

นอกจากนี้ พระเมธาวินัยรส (สุเทพ ปสิวิโก) ได้ให้ทรรศนะถึงความเหมาะสมและชาวพุทธไทยควรบนบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ ความว่า บนได้ แต่อย่าจริงจัง อย่าหวังจนเกินเหตุ แล้วก็อย่าให้เกินเลยกับกำลังของตัวเอง ที่จะต้องแก้บนหรือกำลังตัวเองว่า ถ้าเกิดผิดหวังมาแล้ว เราเสี่ยงบุญ บุญเราไม่ถึง แต่ถ้าได้ตามที่บนก็ทำตามเงื่อนไขและไม่เกินกาลังของเรา ถ้าหากผิดหวังก็ไม่เสียใจจนเกินไป แต่ที่สาคัญก็คือ เราควรเคารพในพระรัตนตรัย ให้การบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น เป็นเรื่องของขวัญและกำลังใจในชีวิต และทำให้การดำเนินชีวิตมีความสุขก็พอแล้ว (พระเมธาวินัยรส (สุเทพปสิวิโก), สัมภาษณ์, 21 กุมภาพันธ์ 2561)

จากทรรศนะข้างต้น หากจะกล่าวว่า จุดประสงค์การบนที่เหมาะสมเป็นเช่นใดนั้น ก็พอบอกได้ว่าต้องเป็นการบนที่ไม่ทำร้ายตนเองและผู้อื่น กล่าวอีกอย่างคือ จุดประสงค์หรือสิ่งที่ต้องการจากการบน ควรเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ ไม่ผิดศีลธรรม เพราะการบนที่ทำร้ายตนเองหรือผู้อื่นหรือผิดศีลธรรม เป็นการบนด้วยอกุศลเจตนา เป็นอกุศลกรรมหรือความชั่วที่ไม่ควรทา แต่ทางที่ดีก็ไม่ควรบนเลย ชาวพุทธไทยควรยึดถือปฏิบัติตามหลักธรรมคาสอนในทางพระพุทธศาสนา

ดังที่พระธรรมกิตติเมธี (เกษม สญฺญโต) ได้ให้ทรรศนะไว้ว่า ชาวพุทธเราไม่ควรบนเลย แต่ควรที่จะมั่นในพระรัตนตรัย และมั่นในตนเอง ตนเองนี่แหละ ทำให้ดีที่สุดตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าแนะนำไว้ แล้วเราจะมีโชคมีลาภและมีชีวิตที่มั่นคง (พระธรรมกิตติเมธี (เกษม สญฺญโต) สัมภาษณ์, 13 กุมภาพันธ์ 2561)

4.2.2 การแก้บนที่เหมาะสม

วิธีการแก้บนอย่างไรให้เหมาะสม หากอ้างตามหลักธรรมคำสอนแล้วก็ไม่อาจ สรุปได้อย่างชัดเจน แต่หากประยุกต์หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาให้เข้ากับความเชื่อของชาวพุทธไทยในปัจจุบัน ที่นิยมบนบานขอสิ่งต่างๆ จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็นับว่าพอจะสามารถอธิบาย หรือแนะนำได้ว่า ควรแก้บนอย่างไรให้เหมาะสม ตัวอย่างการแก้บนที่ค่อนข้างเข้าใจผิด หรือไม่เหมาะสม เช่น การแก้บนด้วยสุรา ยาสูบ การวิ่ง/รำแก้ผ้า การจุดประทัด เป็นต้น

ซึ่งผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่านได้ให้ทรรศนะเกี่ยวกับความเหมาะสมของการแก้บนเช่นนี้ไว้อย่างน่าสนใจ ดังเช่นทรรศนะของแม่ชีกฤษณา รักษาโฉม ความว่า การแก้บนด้วยการวิ่งแก้ผ้าเป็นการแก้บนที่ไม่ควรทำ เพราะการวิ่งแก้ผ้าสำหรับสตรีเพศ เป็นการกระทำที่ล่อแหลมอาจทำให้เกิดการคุกคามทางเพศ ส่วนบุรุษเพศนั้นคนทั้งหลายก็จะมองว่าเป็นการลามก ส่วนการจุดประทัดเป็นการแก้บนที่ไม่ควรทำเพราะอาจทำให้เกิดอัคคีภัยเกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ (แม่ชีกฤษณา รักษาโฉม,สัมภาษณ์, 20 กุมภาพันธ์ 2561)

เช่นเดียวกับทรรศนะของพระธรรมกิตติเมธี (เกษม สญฺญโต) ที่เห็นสอดคล้องกันโดยมีทรรศนะดังนี้ การแก้บนด้วยการวิ่งแก้ผ้าไม่ควรทำ เพราะไม่มีพระเจ้าองค์ไหนที่จะชอบแก้ผ้า หรือชอบคนแก้ผ้าราอยู่อย่างนี้ เพราะถือเป็นเรื่องพิลึก พิสดาร ทะลึ่ง และถือว่าล้าสมัยเป็นอย่างยิ่ง การวิ่งหรือรำแก้บน(แก้ผ้า) ถือเป็นการกระทำที่ไม่มีหิริโอตัปปะ ความละอายชั่วกลัวบาปอะไรต่างๆ หากต้องการแก้บนด้วยการแสดงควรหาวิธีการที่ไม่อุจาดตา หรือวิธีการที่เหมาะสม (พระธรรมกิตติเมธี (เกษม สญฺญโต) สัมภาษณ์, 13 กุมภาพันธ์ 2561)

จากทรรศนะของผู้ทรงคุณวุฒิทั้งสองต่างมองว่ าการแก้บนด้วยการวิ่ง/รำแก้บน การแก้บนด้วยอบายมุข การจุดประทัด ฯลฯ เป็นการบนที่ไม่เหมาะสมและไม่ควรทำ แต่กระนั้นก็มีผู้ทรงคุณวุฒิที่ให้ทรรศนะ เกี่ยวกับวิธีการแก้บนดังกล่าวไว้เพิ่มเติมได้อย่างน่าสนใจ เช่น

ชาญณรงค์ บุญหนุน ได้ให้ทรรศนะความว่า ถ้าเราเอาวิธีคิดแบบสังคมสมัยใหม่ที่เน้นเสรีภาพ ถ้าการแก้ผ้าไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แล้วไม่มีปัญหาอย่างอื่นตามมา ก็ทำได้ตามสิทธิ์ที่จะทำ แต่ต้องพิจารณาว่าการแก้ผ้าแก้บนมีปัญหาตามมาหรือไม่ เช่น แก้ผ้าแก้บนเสร็จแล้วก็กลับบ้านไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในแง่มุมของสังคมเสรี ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะทำได้ จะขี่ม้าก้านกล้วย จุดประทัด ก็ได้แล้วแต่จะแก้บน

     ซึ่งการแก้บนด้วยวิธีต่างๆ เหล่านี้นั้นล้วนขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน คิดสองแบบ คือ
     แบบแรก มองจากมุมสิทธิเสรีภาพของพลเมืองของแต่ละคน ที่ทุกคนมีสิทธิที่จะทำ แต่ถ้ามอง
     แบบที่สอง ในมุมของพุทธศาสนาคือ ถือว่าการแก้บนด้วยวิธีเหล่านี้นั้น ไม่สามารถทำได้
     โดยส่วนตัวแล้ว การแก้บนด้วยวิธีเหล่านี้ไม่ควร เพราะสถานที่หลายแห่งที่ผู้คนไปแก้บน เช่น วัดบนเจดีย์ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ไม่เหมาะสมทั้งสิ้น (ชาญณรงค์ บุญหนุน, สัมภาษณ์, 1 มีนาคม2561)

นอกจากนี้ พระเมธาวินัยรส (สุเทพ ปสิวิโก) ยังให้ทรรศนะเพิ่มเติม และสอดคล้องกับทรรศนะของชาญณรงค์ บุญหนุน ความว่า สมควรหรือไม่สมควรขึ้นอยู่ในเงื่อนไขในการบนของแต่ละบุคคล ยกตัวอย่าง มีพระพุทธรูปองค์หนึ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่บังเอิญว่าพระพุทธรูปองค์นี้มีเทวดาที่ชอบสนุกหน่อย อาจจะเคยเป็นผู้ที่มีจิตคึกครื้น บนหัวหมูอะไรก็ไม่ให้ บนถวายกล้วย ถวายอะไรก็ไม่ให้ แต่พอมีคนบนแก้ผ้า เกิดถูกใจดันให้ แล้วไม่มาแก้บนก็ไม่ได้ เพราะเป็นคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ตอนบน พอมีคนหนึ่งบนได้ คนต่อไปก็ต้องบนตาม

หากต้องบอกว่า สมควรหรือไม่สมควร ก็แล้วแต่ว่าจะมองมิติใด ถ้ามองในมิติของคนที่ไม่ได้บนก็จะมองว่าไม่ควร เพราะพระพุทธรูปมีไว้กราบไหว้ แล้วการที่ไปแก้ผ้ารำต่อพระพุทธรูปนั้น จะดูเหมือนพวกตันตระเหมือนมหายานนอกพุทธศาสนา แต่ถ้ามองในแง่ของคนที่ไปบน ถ้าไม่รำ ไม่แก้บนก็ไม่ได้ เพราะกลัวเกิดเหตุไม่ดีขึ้นกับตน (พระเมธาวินัยรส (สุเทพ ปสิวิโก), สัมภาษณ์, 21 กุมภาพันธ์ 2561)

จากทรรศนะข้างต้นพบว่า วิธีการแก้บนนั้นล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณ และการให้ความเคารพต่อสถานที่ อีกทั้งหากจะห้ามไม่ให้มีการแก้บนด้วยวิธีการแก้ผ้า จุดประทัด เป็นต้น ล้วนแล้วแต่เป็นการยาก แต่ควรพึงระลึกถึงความเหมาะสมและความปลอดภัยของตนเอง โดยเฉพาะผู้หญิงหากจะทำการแก้บนด้วยการวิ่ง หรือรำแก้ผ้าแก้บน ควรต้องระวังและไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง

@@@@@@@

อย่างไรก็ตาม จากการอภิปรายที่ผ่านมาทั้งหมด เราอาจสรุปได้ว่า ตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา การบนและการแก้บนที่เหมาะสมมีแนวทางดังต่อไปนี้

    1) การบนต้องทำด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องตามหลักการหรือคำสอนทางพระพุทธศาสนาว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงสอนให้บนหรืออ้อนวอนขอสิ่งที่ตนปรารถนาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ทรงสอนให้ทำความดีและเพียรพยายามด้วยวิธีการที่ถูกต้องเหมาะสม การบนเป็นเพียงกุศโลบายที่มีผลทางจิตวิทยาให้มนุษย์หรือตนเองมีกำลังใจ และการบนอาจสาเร็จได้ เพราะกรรมของตนเองหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างเทวดาอาจช่วยได้ ด้วยอำนาจของกรรมและความเพียรที่ตัวเองทำทั้งในอดีตและปัจจุบัน การบนโดยไม่ทำความดีและไม่ใช้ความเพียรพยายามของตนเองเป็นการบนที่ขัดแย้งกับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา

     2) ผู้บนต้องพยายามทำความดีและใช้ความเพียรในการทำสิ่งที่เป็นปัจจัยให้เกิดผลในสิ่งที่ตนปรารถนาหรือสิ่งที่ตนได้บนขอไว้ ไม่ใช่เกียจคร้านหรือทำความชั่ว ซึ่งจะกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้สิ่งที่ตนบนนั้นเกิดได้ยากยิ่งขึ้น

     3) จุดมุ่งหมายขอการบนหรือสิ่งที่บนขอให้ได้นั้น ต้องเป็นสิ่งที่ไม่ทำอันตรายหรือเกิดผลเสียต่อตนเองและคนอื่น ต้องไม่ผิดศีลธรรมและกฎหมาย การบนที่ผิดศีลธรรมหรือผิดกฎหมาย เป็นสิ่งที่ไม่ควรบน เช่น การบนให้ได้ทรัพย์สมบัติหรือคนรักของคนอื่น การบนให้คนอื่นประสบความพินาศ และหากทำได้ ก็ไม่ควรบนในลักษณะที่ส่งเสริมให้กิเลสของตนเองเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะขัดกับคุณธรรมที่ควรให้เพิ่มมาขึ้น เช่น การบนขอให้มีทรัพย์สมบัติมากขึ้นอย่างไม่รู้จักพอ อันเป็นการเพิ่มความโลภ ทาให้ไม่รู้จักพอ ขัดแย้งกับหลักธรรมเรื่องความรู้จักพอ (สันโดษ) และความรู้จักประมาณ(มัตตัญญุตา) กล่าวอีกอย่างคือ ขัดขวางการมีความสันโดษและความรู้จักประมาณ (มัตตัญญุตา) ที่เป็นคุณธรรมที่ควรให้เกิดมีในตน

     4) การแก้บนไม่ควรใช้สิ่งที่ไม่เหมาะสม เพราะขัดกับหลักธรรมอย่างศีลและอบายมุข เช่น การแก้บนด้วยสุราที่ทำให้ผิดศีลข้อห้า และเกี่ยวข้องกับอบายมุขเรื่องการเป็นนักเลงสุรา หรือการแก้บนด้วยหัวหมูจำนวนมาก เพราะการใช้หัวหมูจำนวนมากต้องสั่งเป็นกรณีพิเศษ ทำให้เกิดการฆ่าสุกรจานวนมากตามความต้องการของผู้บนนั้น ซึ่งเป็นการผิดศีลข้อปาณาติบาต และไม่ควรแก้บนด้วยวิธีการที่ไม่เหมาะสมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์และสถานที่หรือผิดกฎหมาย เช่น การแก้บนด้วย การแก้ผ้าในบริเวณวัดซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และการแก้บนด้วยการยิงปืนที่กฎหมายห้าม

     5) หากแก้บนด้วยการทำความดีได้ ก็จะยิ่งดี เพราะการแก้บนด้วยการทำความดี หรือทำบุญอย่างการอุปสมบทเป็นพระภิกษุหรือการบวชเป็นชีพราหมณ์ การบริจาคทานให้แก่วัดโรงเรียน หรือคนยากจน การสร้างพระพุทธรูปมอบให้วัดหรือสถานศึกษา จะทำให้เราได้มีโอกาสทำบุญมากขึ้น และทำให้การบนเข้ากับหลักการทางพระพุทธศาสนามากขึ้น เรียกได้ว่า เป็นการใช้การบนเป็นกุศโลบายหรือเครื่องมือช่วยให้ได้ทำบุญมากยิ่งขึ้น

กล่าวโดยสรุป การบนไม่ใช่คำสอนของพระพุทธศาสนา แต่อาจพออนุโลมให้ทำได้ หากการบนนั้นไม่ขัดแย้งอย่างรุนแรงกับคำสอนทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากการบนมีทั้งที่เหมาะสมและไม่เหมาะสม เมื่อพิจารณาตามหลักการทางพระพุทธศาสนา

อย่างไรก็ตาม การบนไม่ใช่กิจกรรมตามคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนา ดังที่พุทธทาสภิกขุได้แสดงความเห็นในเรื่องนี้ไว้ว่า การบนเป็นพิธีบวงสรวง อ้อนวอนบรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่การบนไม่ใช่แนวทางในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธการกระทำเช่นนั้นโดยสิ้นเชิง (พุทธทาสภิกขุ, 2549, น.12)

สอดคล้องกับศาสตราจารย์ ดร.วัชระ งามจิตรเจริญ ได้อธิบายเรื่องการบนบานไว้ว่า ความเชื่อและพิธีกรรมที่ไม่ใช่ของพุทธศาสนาเหล่านี้มาปะปนอยู่กับความเชื่อและพิธีกรรมของพุทธศาสน าแม้จะไม่ถึงกับขัดแย้งกับหลักการของพุทธศาสนาเถรวาท แต่ก็มีส่วนทำให้คนไขว้เขวหรือเข้าใจผิดว่า เป็นความเชื่อหรือพฤติกรรมของพุทธศาสนา และทำให้คนห่างเหินจากแก่นแท้ของพุทธธรรม และยังนิยมการบนบานหรือขอความช่วยเหลือจากสิ่งที่ไม่ใช่ “สรณะ” หรือที่พึ่งตามหลักคำสอนของพุทธศาสนา เช่น ต้นไม้ จอมปลวก และสัตว์ที่มีลักษณะประหลาดหรือผิดปกติ การบูชาราหูเพื่อสะเดาะเคราะห์ที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน (วัชระ งามจิตรเจริญ, 2552, น.30)

ยิ่งไปกว่านั้น ตามแนวทางของพระพุทธศาสนา หากบุคคลต้องการจะประสบความสาเร็จหรือได้สิ่งที่ประสงค์ ต้องใช้หลักอธิษฐานคือ ความตั้งใจมั่น มีความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวในการพยายามที่จะให้บรรลุสิ่งที่หวังนั้น เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมี เพื่อบรรลุสัพพัญญุตญาณ และในพระชาติสุดท้ายก่อนจะตรัสรู้ก็ทรงใช้อธิษฐานธรรมในการบำเพ็ญเพียรจนตรัสรู้ในที่สุด

ชาวพุทธไทยจึงควรบำเพ็ญอธิษฐานธรรมมากกว่าการบน หรืออาจจะกล่าวว่า เป็น “การบนแนวพุทธ” ที่แท้จริงก็ได้ คือ เมื่อตั้งใจทำอะไร แล้วขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นกำลังใจช่วยให้สำเร็จ การกราบไหว้บูชาถือเป็นบุญที่ช่วยส่งเสริมหรือสนับสนุน ไม่ใช่ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยอย่างที่นิยมทำกัน





ขอขอบคุณที่มา :-
Photo : pinterest
วิทยานิพนธ์ : เรื่อง การบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธในสังคมไทย โดย นางสาวยุพารักษ์ ชนะบวรวัฒน์
วิทยานิพนธ์นี้วิทยานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพุทธศาสนศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปีการศึกษา 2560
URL : ethesisarchive.library.tu.ac.th/thesis/2017/TU_2017_5606031648_7398_8305.pdf
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 14, 2023, 10:46:59 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ