ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สืบราก “อักษรไทย” จากอินเดียใต้ ณ จุดประชุมพลวานรของพระราม  (อ่าน 911 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

ศิลาจากรึกพ่อขุนรามคำแหง (ศิลาจารึกหลักที่ 1) ด้านที่ 1 และด้านที่ 2 (ภาพจาก ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร)


สืบราก “อักษรไทย” จากอินเดียใต้ ณ จุดประชุมพลวานรของพระราม

ภายหลังรัชกาลที่ 4 เมื่อครั้งยังทรงพระผนวชเป็นพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ ทรงค้นพบศิลาจารึกหลักที่ 1 หรือศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง การศึกษาจารึกทั้งในแง่ของการอ่าน การแปล ตีความ และหาที่มาของอักษรไทย แพร่หลายมากขึ้น มีผู้สนใจศึกษาจำนวนมาก เพราะการสืบค้นที่มาของภาษาไทย หรือ “อักษรไทย” ย่อมขยายความเข้าใจประวัติศาสตร์และความเป็นมาของชาติไทยไปในตัวด้วย

ตำนานอักษรไทย หนังสือของ ยอร์ช เซเดส์ น่าจะเป็นงานชิ้นแรก ๆ ที่อธิบายประวัติและวิวัฒนาการของอักษรไทยอย่างเป็นระบบ และมีอิทธิพลต่อการศึกษาของคนรุ่นต่อมา อย่างไรก็ตาม งานของเขาไม่ใช่ความพยายามแรกในการอธิบาย “รากเหง้า” ของอักษรไทย แต่มีการบันทึกเป็นหลักฐานที่สามารถใช้ประกอบการศึกษาได้ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จนถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์

ธนโชติ เกียรติณภัทร ผู้เขียนบทความ “สืบประวัติ ‘อักษรไทย’ ในแบบเรียนโบราณ” (ศิลปวัฒนธรรม ฉบับกุมภาพันธ์ 2566) ผู้ให้ความสนใจและศึกษาประวัติอักษรไทยอย่างจริงจัง โดยยกหลักฐานจาก จินดามณี และตำนานจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับวันวลิต รวมถึงตำนานพราหมณ์เมืองนครศรีธรรมราช ช่วยอธิบายที่มาของ อักษรไทย ว่าอาจเริ่มต้นจากบริเวณอินเดียใต้ ดังนี้ [จัดย่อหน้าใหม่และเน้นคำเพิ่มเติมโดยกองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม]




อักษรไทยมาแต่ “รามราฐ”

จินดามณี ฉบับสมุดไทยเลขที่ 121 หมู่ตำราภาพ เก็บรักษา ณ หอสมุดแห่งชาติ กรุงเทพฯ เนื้อหาโดยส่วนใหญ่คล้ายกับจินดามณี เล่ม 1 หรือจินดามณี ฉบับพระโหราธิบดี ซึ่งขึ้นต้นเนื้อหาด้วยส่วนอักษรศัพท์ แต่เนื้อหาในตอนท้ายกลับมีความแตกต่างจากจินดามณีฉบับอื่น เนื่องจากมีการแทรกตัวอย่างคำประพันธ์จากตำรากาพย์สารวิลาสินี และแบบอักษรต่าง ๆ ได้แก่ อักษรเฉียงคฤนถ์ อักษรเฉียงพราหมณ์ และอักษรไทยสมัยพ่อขุนรามคำแหง

สันนิษฐานว่า สมุดไทยเล่มนี้อาจคัดลอกหลัง พ.ศ. 2376 อันเป็นปีที่พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ ทรงค้นพบจารึกพ่อขุนรามคำแหง (หลักที่ 1) และเชิญลงมาไว้ในกรุงเทพฯ [1]

ความพิเศษอีกประการหนึ่งของจินดามณี เลขที่ 121 คือ โคลงท้ายสมุดไทยจำนวน 10 บท กล่าวถึงที่มาของอักษรไทย ซึ่งไม่ปรากฏในจินดามณีฉบับอื่น โคลงชุดนี้เริ่มจากการนมัสการพระพุทธเจ้า แล้วจึงอธิบายระบบตัวอักษร ดังนี้

๏ นะโมความนอบน้อม   นมะการ
โมแห่งเราเริ่มงาน   เร่งเร้า
อัตถุทั่วไตรยทวาร   มีเถิด
พุทธัศะแด่พุทธเจ้า   ตรัสรู้สรรพธรรม์

๏ อักษรแส้งสืบสร้าง   สรรมา
ต่างต่างชนนานา   ย่อมใช้
โดยประเทศภาษา   หลายอย่าง เจียวแฮ
เขียนอ่านออกโอฐได้   รอบรู้เรื่องราว

๏ อักษรสังเขปเข้า   เปนสอง
หย่างหนึ่งหมายคำของ   อรรถใช้
หย่างหนึ่งนักปราชญ์ตรอง   นับแต่ เสียงนา
แล้วจึ่งรวมตัวให้   ถูกถ้อยคำคน

๏ หย่างว่าแรกนั้นอัก   ษรเจ็ก จีนญวน
ตัวมากนักฤๅเด็ก   จักรู้
ยุมย่ามใหญ่ไม่เล็ก   ดั่งผัก ชีนา
ลูกสิศศึกษาสู้   สืบสิ้นสี่ปี

๏ หย่างหลังที่ว่านั้น   อักษร
ชนอเนกนับนิกร   ห่อนได้
ไทยพม่าเขมนมอญ   แม้นแขก ฝรั่งแฮ
ฮีนดู่สิ่งหฬใช้   แยกย้ายยักผสม
[2]

@@@@@@@

โคลงข้างต้นสรุปได้ว่า นักปราชญ์ไทยในอดีตแบ่งอักษรเป็น 2 ประเภท คือ อักษรแทนคำ และอักษรแทนเสียง

1. อักษรแทนคำ ได้แก่ อักษรจีน และญวน อักษรประเภทนี้ถือตัวเขียนระบบสัญลักษณ์รูปคล้าย (logograph) ดัดแปลงมาจากอักษรระบบภาพที่เหมือนจริงมาเป็นภาพที่คล้ายจริง มีลักษณะเป็นลายเส้นที่เรียบง่ายไม่ละเอียดเหมือนอักษรภาพ ในระบบนี้กำหนดให้ 1 สัญลักษณ์ หรือ 1 ตัวอักษร มีความหมายแทน 1 คำ ดังตัวอย่างอักษรจีน เช่น อักษร 馬 มีความหมายว่า ม้า อักษร 山 มีความหมายว่า ภูเขา ฯลฯ

โคลงในจินดามณีเลขที่ 121 กล่าวว่าอักษรจีนและญวนมีตัวอักษรเป็นจำนวนมาก (เนื่องจากอักษรหรือสัญลักษณ์ 1 ตัวแทน 1 คำ) อีกทั้งยังใช้เวลานานในการศึกษา ดังความว่า “ตัวมากนักฤๅเด็ก จักรู้” และ “ลูกสิศศึกษาสู้ สืบสิ้นสี่ปี”

2. อักษรแทนเสียง ได้แก่ อักษรไทย พม่า เขมร มอญ แขก และฝรั่ง เป็นอักษรที่ใช้สัญลักษณ์แต่ละตัวแทน 1 เสียง เมื่อจะประกอบเป็นคำนั้นต้องนำอักษรแต่ละตัวมาประสมเข้าเป็นคำ จัดอยู่ในตัวเขียนระบบแทนเสียงหรือตัวอักษร (alphabet)


@@@@@@@

หลังจากอธิบายประเภทระบบอักษรแล้ว โคลงท้ายสมุดไทยจินดามณีเลขที่ 121 จึงกล่าวถึงที่มาของอักษรไทยว่าพราหมณ์จากเมือง “รามราฐ” นำเข้ามาแล้วดัดแปลงมาเป็นอักษรไทย ดังนี้

๏ อักษรไทยหย่างนี้   เดิมพหรามณ์
จรจากแต่เมืองราม   ราฐโพ้น
ต่อตั้งอยู่ยังสยาม   ประเทศ  นี้แล
แปลงรูปยักหย่างโน้น   จึ่งให้ไทยเรียน
[3]

เมือง “รามราฐ” หรือราเมศวรัม ตั้งอยู่ในอินเดียใต้ ชายฝั่งโจฬมณฑล มีที่ตั้งอยู่ปลายแหลมใกล้กับเกาะลังกา ขุนวิจิตรมาตราอธิบายความศักดิ์สิทธิ์ของเมืองนี้ไว้ในหนังสือภูมิศาสตร์สุนทรภู่ว่า ตามตำนานเมืองนี้เป็นบริเวณที่พระรามประชุมพลวานรจองถนนข้ามไปยังเกาะลังกา จึงได้นามเมืองว่า “ราเมศวร์”

ส่วนสะพานที่จองถนนข้ามไปนั้นมีชื่อว่า “รามเสตุ” คือสะพานของพระราม (เสตุ หมายถึง สะพาน) หลังจากเสร็จสงครามแล้ว มีผู้ขอให้พระรามทำลายสะพาน เนื่องจากเกรงว่ายักษ์ที่ลังกาจะข้ามมาทำร้ายผู้คนบนแผ่นดินใหญ่ พระรามจึงใช้ศรทำลายสะพาน อย่างไรก็ดี บริเวณรามเสตุนั้นยังถือเป็นจุดที่มหาสมุทรอินเดียมาบรรจบกับสมุทรมโหทาธิ (อ่าวเบงกอล) พวกฮินดูถือกันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ถือกันว่าหากผู้ใดมาอาบน้ำทะเลที่รามเสตุย่อมเกิดความสวัสดิมงคลแก่ผู้นั้น [4]

เมืองรามรัฐยังปรากฏอยู่ใน พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับวันวลิต ว่า ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 พระเจ้าแผ่นดินเมืองรามรัฐ ซึ่งมีพระนามว่ารามาธิบดีเหมือนกันนั้น หมายจะปลงพระชนม์พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา จึงกระทำอุบายต่าง ๆ ถึง 3 ครั้ง แต่ไม่สามารถทำร้ายสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ได้แม้สักครั้งเดียว

ในครั้งที่ 1 พระเจ้าแผ่นดินรามรัฐซัดหอกอาคมหมายปลงพระชนม์ แต่หอกตกมาอยู่เบื้องล่างพระราชบัลลังก์ ครั้งที่ 2 พระเจ้าแผ่นดินรามรัฐส่งนกไม้แกะสลักซึ่งลงอาคมพร้อมด้วยทหาร 4 คนมาปลงพระชนม์ แต่ทหารที่ลอบเข้าไปในห้องบรรทมเกิดอาการ “ตัวแข็ง” ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ และครั้งที่ 3 พระเจ้าแผ่นดินรามรัฐส่งช่างโกน พร้อมหีบกลมายังกรุงศรีอยุธยา แต่เมื่อเปิดหีบกลนั้น ปรากฏเป็นรูปพ่อมดถือปืนขึ้นมาขู่เพื่อปลงพระชนม์ แต่เอ็นที่เชื่อมร่างกายหุ่นพ่อมดกลับแตกเป็นเสี่ยง ๆ ส่วนช่างโกนนั้น เมื่อจะโกนพระเกศาและพระมัสสุ ก็คิดใช้มีดโกนนั้นลอบปลงพระชนม์ แต่เกิดอาการตัวสั่นจนหมดแรงทำให้แผนการล้มเหลว [5]

ในที่สุดพระเจ้าแผ่นดินรามรัฐเห็นว่าสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 มีบุญญาธิการ จึงส่งพระราชสาส์นมาเจริญพระราชไมตรี พร้อมส่งพราหมณ์ 2 คนมาประกอบพิธีโล้ชิงช้าในกรุงศรีอยุธยา วันวลิตกล่าวถึงผลจากเหตุการณ์ครั้งนั้นไว้ว่า “ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ก็มีพราหมณ์จากที่ต่าง ๆ เดินทางมาสู่สยามโดยเฉพาะมาจากเมืองรามรัฐ และพราหมณ์เหล่านี้ได้รับความยกย่องนับถือในหมู่พระเจ้าแผ่นดิน เจ้าชาย พระบรมวงศานุวงศ์ และประชาชน” [6]

@@@@@@@

ตำนานพราหมณ์เมืองนครศรีธรรมราช เป็นอีกหลักฐานหนึ่งที่กล่าวถึงพราหมณ์รามรัฐ ในตำนานระบุว่านายสำเภาจากเมือง “รามราช” เดินทางมายังกรุงศรีอยุธยาในสมัยของ “สมเด็จองค์นารายณ์เป็นเจ้ารามาธิบดีศรีเอกาธิราช” ใน “ศักราช 712 ปีขาลนักกษัตร” (ตรงกับ พ.ศ. 1893 สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 อู่ทอง) ต่อมาองค์นารายณ์เป็นเจ้ารามาธิราช แห่งเมืองรามราชส่งคณะทูตมาเจริญสัมพันธไมตรี โดยมีเครื่องราชบรรณาการเป็นเทวรูป พระนารายณ์ พระลักษมณี พระอิศวร หงส์ และชิงช้าทองแดง

พร้อมกับ “ชีพ่อพราหมณ์เป็นภาษา 5 เหล่า มอบให้แดงธรรมนารายณ์เป็นหัวหน้า”

พราหมณ์ภาษา 5 เหล่า หมายถึง ปัญจทราวิท คือ มหาราษฎร์ ทมิฬ กรณาฏกะ คุชราต และอานธระ [7] เรือสำเภาเดินทางเข้ามาถูกพายุซัดเข้าปากแม่น้ำตรัง เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชรายงานไปกราบบังคมทูล สมเด็จพระรามาธิบดี จึงมีพระบรมราชโองการให้อัญเชิญเทวรูปไปกรุงศรีอยุธยา แต่เกิดลมพายุ 7 วัน 7 คืน เนื่องจากเทวรูปสำแดงฤทธิ์ เป็นเหตุให้ต้องประดิษฐานอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราชสืบมา [8]

วรรณคดีเรื่องอื่น ๆ กล่าวถึงบทบาทพราหมณ์รามรัฐ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญความรู้ด้านพิธีกรรมต่าง ๆ ดังเช่น โคลงภาพคนต่างภาษา จารึกวัดพระเชตุพน บรรยาย “พราหมณ์รามเหศร์” ไว้ดังนี้

๏ รามเหศร์หุติชาติเชื้อ   รามรัฐ
สบสิพาคมเพียร   เพียบรู้
ทวาทศพิธียัช   ชุเวท  ก็ดี
อาจผูกอาจแก้กู้   เก่งมนตร์ ฯ
[9]

โคลงข้างต้นอธิบายได้ว่า พราหมณ์จากเมืองรามรัฐเป็นผู้เชี่ยวชาญใน “หุติ” คือการบูชา มีความรู้ใน “สิพาคม” คือ ไสพาคม หมายถึงคัมภีร์อาถรรพ์เวทในศาสนาพราหมณ์ ถือเป็นพระเวทที่ 4 ที่เพิ่มจากไตรเพท (ฤคเวท ยชุรเวท และสามเวท) ตลอดจนความรู้ใน “ทวาทศพิธี” คือพระราชพิธีสิบสองเดือน รวมทั้งชำนาญในคัมภีร์ยชุรเวท ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่กล่าวถึงมนตร์และวิธีใช้มนตร์ต่าง ๆ


@@@@@@@

หลักฐานจากตำนานและวรรณคดีเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงบทบาทของพราหมณ์รามรัฐ หรือพราหมณ์จากอินเดียใต้ในฐานะผู้นำความรู้ด้านศาสนาพราหมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องพิธีกรรมต่าง ๆ มาเผยแพร่ในดินแดนไทย และข้อมูลจากจินดามณีเลขที่ 121 ที่ระบุว่าอักษรไทยกำเนิดจากอักษรของพราหมณ์รามรัฐ ถือเป็นความรู้ด้านประวัติอักษรไทยที่ส่งต่อมาจากสมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ที่แสดงให้เห็นว่าอักษรไทยมีวิวัฒนาการ “แปลงรูปยักหย่างโน้น” มาจากอักษรอินเดียใต้

สอดคล้องกับการศึกษาในปัจจุบันที่ระบุว่าอักษรไทย มีจุดเริ่มต้นมาจากอักษรปัลลวะที่แพร่กระจายมายังดินแดนไทยในช่วงพุทธศตวรรษที่ 11-12 จากนั้นจึงพัฒนามาเป็นอักษรที่เรียกว่าหลังปัลลวะ (พุทธศตวรรษที่ 13-15) และส่งอิทธิพลให้เกิดอักษรขอมโบราณ (พุทธศตวรรษที่ 15-18) และอักษรมอญโบราณ (พุทธศตวรรษที่ 17-18)

อักษรทั้งสองนี้ ส่งอิทธิพลต่อการกำเนิดอักษรไทยสมัยสุโขทัย ซึ่งเป็นมีพัฒนาการมาจนถึงอักษรไทยในปัจจุบัน

อ่านเพิ่มเติม :-
    - “ภาษาไทย” ยังไม่มีตระกูล ภาษาไทยจัดอยู่ในตระกูลใดกันแน่?
    - อักษรไทยมาจากไหน? อ่านฝรั่งคลั่งสยามค้นข้อมูลเรื่องที่มาของ “อักษรไทย”





เชิงอรรถ :-
[1] พีระ พนารัตน์. “จินดามณี สมุดไทยเลขที่ 121 (เอกสารสมุดไทยเลขที่ 121 หมู่ตำราภาพ),” อธิบายจินดามณี และ จินดามณี ฉบับนายมหาใจภักดิ์ ฉบับพญาธิเบศ. (กรุงเทพฯ : สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, 2564), น. 340.
[2] “จินดามณี ฉบับพระโหราธิบดี,” สมุดไทยดำ, อักษรขอม-ไทย, ภาษาบาลี-ไทย, เส้นหรดาล, เลขที่ 121, หมวดตำราภาพ, หมู่ตำราภาพ, หอสมุดแห่งชาติ.
[3] เรื่องเดียวกัน.
[4] ขุนวิจิตรมาตรา [กาญจนาคพันธุ์]. ภูมิศาสตร์สุนทรภู่. (กรุงเทพฯ : ต้นอ้อ 1999, 2542), น. 94-95.
[5] วันวลิต. พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับวันวลิต พ.ศ. 2182. แปลโดย วนาศรี สามนเสน. พิมพ์ครั้งที่ 3. (กรุงเทพฯ : มติชน, 2548), น. 30-34.
[6] เรื่องเดียวกัน, น. 34.
[7] ขุนวิจิตรมาตรา, [กาญจนาคพันธุ์]. ภูมิศาสตร์วัดโพธิ์ เล่ม 3. พิมพ์ครั้งที่ 2. (กรุงเทพฯ : รวมสาส์น, 2518), น. 348.
[8] ตำนานพราหมณ์เมืองนครศรีธรรมราช, (พระนคร : โสภณพิพรรฒธนากร, 2473. พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ อำมาตย์เอก พระยารัษฎานุประดิษฐ์ (สินธุ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) 2473), น. 1-5.
[9] ประชุมจารึกวัดพระเชตุพน, พิมพ์ครั้งที่ 7. (กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2554), น. 695.

ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
เผยแพร่ : วันอังคารที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ.2566
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 18 กรกฎาคม 2566
URL : https://www.silpa-mag.com/culture/article_113077?utm_source=dable
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ