ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: "กฐิน" ไม่มีเจ้าภาพร่วม | กฐินสามัคคี นั่นคือ บริวารกฐิน  (อ่าน 919 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



ความรู้เรื่องกฐิน

กฐิน คือ สังฆกรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งมีพระพุทธานุญาตไว้เพื่อขยายระยะเวลาทำจีวรให้ยาวออกไป โดยปกติระยะเวลาทำจีวรมีเพียงท้ายฤดูฝน ถ้าได้กรานกฐินแล้ว ระยะเวลาย่อมขยายออกไปตลอดฤดูหนาว ในกาลต่อมาได้กาหนดเป็นประเพณีทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญอันหนึ่งของชาวไทย ที่เป็นพุทธศาสนิกสืบต่อตกทอดมาแต่โบราณกาล เท่าที่มีหลักฐานทราบได้ มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี เรียกเป็นสามัญว่า “ประเพณีทอดกฐิน”

@@@@@@@

มูลเหตุของกฐิน

มูลเหตุที่จะให้เกิดมีเรื่องกฐินขึ้นนั้น ในคัมภีร์พระวินัยปิฎกกฐินขันธกะ กล่าวไว้เป็นใจความว่า สมัยหนึ่ง ภิกษุชาวเมืองปาฐาประมาณ ๓๐ รูป ถือธุดงควัตรเคร่งครัด มีประสงค์จะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ที่เมืองสาวัตถี จึงชวนกันเดินทางจากเมืองปาฐาไปเมืองสาวัตถี พอไปถึงเมืองสาเกตซึ่งอยู่ห่างจากเมืองสาวัตถีระยะทางประมาณ ๖ โยชน์ (๙๖ กม.) ก็พอดีถึงวันเข้าพรรษา จึงต้องพักจำพรรษาที่เมืองสาเกต

ในระหว่างสามเดือนที่จำพรรษาอยู่นั้นมีความร้อนรนกระวนกระวายใคร่จะเฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นกำลัง พอออกพรรษาปวารณาแล้ว ต่างก็รีบออกเดินทางจากเมืองสาเกตทันที เวลานั้นฝนยังชุกอยู่ ทางเดินจึงเป็นตมเป็นโคลนเปรอะเปื้อน พอถึงเมืองสาวัตถีก็รีบเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าได้ตรัสถามถึงการเดินทางและการอยู่จำพรรษาในเมืองสาเกตว่า มีความสะดวกสบายดีอยู่หรือ ภิกษุเหล่านั้นจึงกราบทูลถึงความตั้งใจที่จะรีบมาเฝ้า ตลอดจนความลาบากในการเดินทาง ต้องกรำแดดกรำฝนจนจีวรเปียกชุ่มและเปรอะเปื้อนให้ทรงทราบ

ครั้นพระองค์ได้ทรงทราบดังนั้นแล้ว จึงยกขึ้นเป็นเหตุ มีพระพุทธานุญาตให้กรานกฐิน คือ เมื่อมีผ้าเกิดขึ้นแก่สงฆ์พอจะทำเป็นจีวรผืนใดผืนหนึ่งได้ สงฆ์พึงประชุมพร้อมใจกันยกผ้าผืนนั้นถวายภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง เช่น ภิกษุผู้มีจีวรเก่า มีพรรษามาก หรือสามารถทำกฐินัตถารกิจได้ถูกต้อง ภิกษุผู้ได้รับผ้านั้นเอาไปทำจีวรผืนใดผืนหนึ่งให้แล้วเสร็จในวันนั้นแล้ว กลับมาบอกสงฆ์ผู้ยกผ้าให้นั้นเพื่ออนุโมทนา

การกรานกฐินนั้นโปรดให้ทำเป็นการสงฆ์ ในระยะเวลาหนึ่งเดือน นับแต่วันออกพรรษาถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ (วันลอยกระทง)โดยมีข้อกำหนดว่า ภิกษุผู้กรานกฐินนั้นต้องเป็นผู้จำพรรษาแล้วตลอดสามเดือน ไม่มีขาด ในวัดเดียวกัน ซึ่งมีจำนวนตั้งแต่ห้ารูปขึ้นไป


@@@@@@@

ควรจำไว้และเข้าใจให้ถูกต้อง

     ๑. กฐินเป็นกาลทาน คือ ทานที่จำกัดด้วยระยะเวลา จะทอดกฐินได้ตั้งแต่แรมค่ำ ๑ เดือน ๑๑ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ เท่านั้น ไม่ใช่ทอดกฐินกันได้ทั้งปีเหมือนทอดผ้าป่า

     ๒. วัดแต่ละวัด จะรับกฐินได้เพียงปีละครั้งเดียว โดยมีเจ้าภาพรายเดียวเท่านั้น เมื่อถวายแล้วก็เป็นอันแล้วเสร็จ จะมีเจ้าภาพมาถวายเป็นรายที่ ๒ ที่ ๓ ไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าจะมีเจ้าภาพหลายราย ก็ต้องรวมกันให้เป็นรายเดียว มีผ้ากฐินไตรเดียวหรือผืนเดียว ที่เรียกว่า "กฐินสามัคคี"

     ๓. พระสงฆ์ที่จะรับกฐินได้ ต้องจำพรรษาอยู่ในวัดเดียวกันโดยไม่ขาดพรรษา และมีจำนวนไม่น้อยกว่า ๕ รูป วัดที่มีพระจำพรรษาน้อยกว่า ๕ รูป รับกฐินไม่ได้ จะนิมนต์จากวัดอื่นมาให้ครบ ๕ รูปก็ใช้ไม่ได้

     ๔. การถวายและการรับกฐิน จะทำ ณ สถานที่ใดๆ ก็ได้ แต่เวลาสวดกรรมวาจา คือ การทำสังฆกรรมยกผ้ากฐินให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง และเวลากรานกฐิน คือประชุมสงฆ์เพื่ออนุโมทนา ต้องทำในเขตสีมา หรือจำง่ายๆ ว่า "ต้องทำในโบสถ์" เท่านั้น

     ๕. การกรานกฐิน คือ เมื่อรับผ้ามาแล้วนำไปทาตามกรรมวิธีที่กำหนดไว้ในพระวินัยบัญญัติจนสำเร็จเป็นจีวรผืนใดผืนหนึ่งแล้วนำมาเข้าที่ประชุมสงฆ์เพื่ออนุโมทนา ต้องทำให้เสร็จสิ้นภายในวันที่รับกฐิน คือ ก่อนรุ่งอรุณของวันใหม่ ไม่ใช่ ภายใน ๒๔ ชั่วโมง นับแต่เวลารับกฐินอย่างที่มักจะพูดกันเพลินไป

     ๖. สิ่งที่ทำให้สำเร็จเป็นกฐิน ก็คือ ผ้าผืนเดียว ซึ่งพอที่จะตัดเย็บเป็นสบง จีวร สังฆาฏิผืนใดผืนหนึ่งเพียงชนิดเดียว ผ้าดังกล่าวนี้จะเป็นผ้าขาวก็ได้ หรือผ้าที่ตัดเย็บสำเร็จรูปมาแล้วก็ได้ ของอื่นๆ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผ้าไตรอีกกี่สิบกี่ร้อยไตร แม้แต่เงิน ไม่ว่าจะกี่แสนกี่ล้าน ก็มีฐานะเป็นเพียง "บริวารกฐิน" เท่านั้น การให้ความสำคัญแก่บริวารกฐินมากกว่าผ้ากฐิน ถือว่าเป็นการบิดเบือนเบี่ยงเบนพุทธบัญญัติ

     ๗. กฐิน เป็นหน้าที่ของญาติโยมที่จะขวนขวายรวบรวมกันนำมาถวายสงฆ์ ไม่ใช่หน้าที่ของพระภิกษุสงฆ์ที่จะไปขวนขวายวิ่งเต้นบอกญาติโยมให้นำมาถวายแก่ตนเอง

     ๘. พระภิกษุจะเป็นเจ้าภาพทอดกฐินก็ได้ แต่ต้องทอดแก่วัดอื่น ไม่ใช่วัดที่ตนจำพรรษาในปีนั้น

     ๙. การรับกฐิน ก็ทำนองเดียวกับการรับนิมนต์ เมื่อบอกรับแก่เจ้าภาพรายใดแล้ว ก็ย่อมเป็นสิทธิ์แก่เจ้าภาพรายนั้น และเป็นหน้าที่ของสงฆ์จะต้องฉลองศรัทธาเจ้าภาพรายนั้น การบอกคืนเจ้าภาพรายเดิมเพื่อไปรับกฐินของเจ้าภาพรายใหม่ที่บอกว่า จะถวายเงินมากกว่า เป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ

   ๑๐. ผู้จะเป็นเจ้าภาพทอดกฐินวัดใด ควรสืบดูให้รู้ชัดว่า วัดนั้นรับจองกฐินของเจ้าภาพรายไหนไว้แล้วหรือยัง ถ้ามีผู้จองแล้ว และวัดนั้นรับการจองแล้ว ก็อย่าเป็นเจ้าภาพทอดที่วัดนั้นอีกในปีนั้น เว้นไว้แต่ท่านพอใจจะเป็นบริวารกฐิน หรือทำในลักษณะเป็นกฐินสามัคคี คือ มีเจ้าภาพหลายราย แต่พร้อมใจกันรวมเป็นคณะเดียว มีผ้ากฐินผืนเดียว(หรือไตรเดียว) และพร้อมใจกันทอดเป็นคณะเดียวกัน

@@@@@@@

สรุปความรู้เรื่องกฐิน

คำว่า "กฐิน" ตามศัพท์แปลว่า ไม้สะดึง คือ ไม้แบบสำหรับขึงเพื่อตัดเย็บจีวร
"กฐิน" หมายถึง ผ้าพิเศษที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตแก่ภิกษุสงฆ์ที่จำพรรษาครบสามเดือนแล้ว ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขต่างๆ ที่กำหนด

"กฐิน" เป็นประเพณีที่เกี่ยวข้องกับพุทธบัญญัติ ซึ่งจะต้องปฏิบัติตามกฎกติกา ห้าหนึ่งอย่างเคร่งครัด คือ หนึ่งปี หนึ่งเดือน หนึ่งวัด หนึ่งครั้ง หนึ่งเจ้าภาพ

   • หนึ่งปี คือ ปีหนึ่งทอดกฐินกันทีหนึ่ง
   • หนึ่งเดือน คือ ช่วงเวลาที่จะทอดกฐินได้มีเพียงเดือนเดียว คือ ตั้งแต่แรมค่ำ ๑ เดือน ๑๑ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒
   • หนึ่งวัด คือ พระที่จะรับกฐินต้องเป็นพระที่จำพรรษาอยู่ในวัดเดียวกัน มีจำนวนไม่น้อยกว่า ๕ (ห้า) รูป น้อยกว่านี้รับกฐินไม่ได้ ไปนิมนต์จากวัดอื่นมาให้ครบ ก็ใช้ไม่ได้
   • หนึ่งครั้ง คือ วัดหนึ่งทอดกฐินรับกฐินได้ครั้งเดียวในรอบปี
   • หนึ่งเจ้าภาพ คือ เจ้าภาพกฐินมีได้เพียงรายเดียว เมื่อรายหนึ่งทอดแล้ว รายอื่นๆ ไม่มีสิทธิ์มาทอดอีก






ขอขอบคุณ :-
ที่มา : https://cpc.rtaf.mi.th/images/PDF/dhammanusasana/039_Katin.pdf
อ้างอิง : นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย. ทอดกฐินให้ถูกวิธี. ๒๕๕๕
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ