ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: รถยนต์ไฟฟ้าเตรียมแทนที่รถสันดาป ที่ชาร์จรถ EV ในไทยพร้อมแค่ไหน  (อ่าน 966 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



รถยนต์ไฟฟ้าเตรียมแทนที่รถสันดาป ที่ชาร์จรถ EV ในไทยพร้อมแค่ไหน

สำรวจที่ชาร์จรถ EV ในไทยพร้อมแค่ไหน หลังพบปัจจุบันไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้บริการ โดยในปี 2573 ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น

ยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ หรือ BEV กำลังเข้ามาทดแทนการใช้ยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน หรือ ICE เพราะนอกจากการใช้ BEV ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่า 37%-69% ซึ่งช่วยให้ประเทศ และองค์กร สามารถบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emission ได้ง่ายขึ้นแล้ว

ต้นทุนการใช้งานของยานยนต์ดังกล่าวยังมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะต่ำกว่ายานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2573 ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาใช้ยานยนต์มากขึ้นในระยะข้างหน้า

โดย Goldman Sachs คาดว่ายอดขาย BEV ของทั่วโลกจะเพิ่มจาก 2 ล้านคัน ในปี 2563 เป็น 70 ล้านคัน ในปี 2583 สอดคล้องกับประเทศไทย ที่คาดว่ายอดจดทะเบียนสะสมยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ หรือ BEV มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หลังจากภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนการใช้ยานยนต์ดังกล่าวทั้งในแง่ของการให้เงินอุดหนุนในการซื้อ และลดภาษีสรรพสามิต

ทำให้มีความต้องการยานยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV มากขึ้น นำมาซึ่งความต้องการในการใช้บริการสถานี และเครื่องอัดประจุไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตามด้วย

อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันไทยยังมีสถานี และเครื่องอัดประจุไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อความต้องการในปัจจุบัน จึงจำเป็นจะต้องเพิ่มเครื่องอัดประจุไฟฟ้า เพื่อรองรับการใช้บริการที่มีแนมโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต

บทความนี้จึงจะวิเคราะห์ถึงรายละเอียดรูปแบบของเครื่องอัดประจุไฟฟ้า จำนวนเครื่องประอัดประจุไฟฟ้าที่ควรเพิ่ม รวมถึงธุรกิจที่จะได้รับอานิสงส์จากขยายการลงทุนเครื่องอัดประจุไฟฟ้าในอนาคต





ทำความรู้จักกับเครื่องอัดประจุไฟฟ้า หรือที่ชาร์จอีวีที่นิยมในไทย

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับเครื่องอัดประจุไฟฟ้าประเภทต่างๆ โดยปัจจุบันเครื่องอัดประจุไฟฟ้าที่นิยมใช้ในบ้าน อาคารสำนักงาน สถานีอัดประจุไฟฟ้า และโรงแรมในไทย มีอยู่ 3 รูปแบบหลัก ดังนี้

1. เครื่องอัดประจุแบบช้าด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ Alternative Current หรือ AC Slow Charger เป็นเครื่องอัดประจุไฟฟ้าระดับ 1 (Level 1) ซึ่งสามารถอัดประจุด้วยกำลังไฟฟ้าสูงสุด 3-6 กิโลวัตต์ จึงทำให้ระยะเวลาในการชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าต่อครั้งนานราว 6-12 ชั่วโมง โดยเหมาะแก่การใช้ในบ้าน และอาคารสำนักงาน โดยราคาของรูปแบบดังกล่าวอยู่ราว 10,000 บาท/หัวชาร์จ

2. เครื่องอัดประจุแบบปกติด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternative Current หรือ AC Normal Charger) เป็นเครื่องอัดประจุไฟฟ้าระดับ 2 (Level 2) ซึ่งสามารถอัดประจุด้วยกำลังไฟฟ้าสูงสุด 7-22 กิโลวัตต์ จึงทำให้ระยะเวลาในการชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าต่อครั้งราว 4-7 ชั่วโมง

โดยเหมาะกับการใช้ในพื้นที่กึ่งสาธารณะ เช่น ลานจอดรถ ห้างสรรพสินค้า อย่างไรก็ตามสามารถติดตั้งเครื่องอัดประจุแบบนี้ในที่อยู่อาศัยได้เช่นเดียวกัน โดยราคาของเทคโนโลยีดังกล่าวอยู่ราว 35,000 -70,000 บาทต่อหัวชาร์จ

3. เครื่องอัดประจุแบบเร็ว (Fast Charger) ซึ่งมีอยู่ 2 รูปแบบ ได้แก่
    3.1 เครื่องอัดประจุแบบเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง (DC Fast Charge)
    3.2 เครื่องอัดประจุแบบเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Fast Charge) ซึ่งทั้งสองรูปแบบสามารถอัดประจุด้วยกำลังไฟฟ้าสูงสุด 43-150 กิโลวัตต์ ได้ถึง 80% ของความจุของแบตเตอรี่ จึงทำให้ระยะเวลาในการชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าต่อครั้งไม่เกิน 1 ชั่วโมง

อย่างไรก็ดี เครื่องดังกล่าวมีต้นทุนการติดตั้งที่สูงมาก เพราะเครื่องอัดประจุไฟฟ้าดังกล่าวมีราคาราว 650,000-1,360,000 บาทต่อเครื่อง หรือ 2 หัวชาร์จ

นอกจากนี้ ผู้ที่ต้องการติดตั้งรูปแบบดังกล่าวยังต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าหม้อแปลงไฟฟ้า ค่าบริการติดตั้ง ค่าก่อสร้าง จึงเหมาะกับการติดตั้งในสถานที่ที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมาก และเร่งด่วน เช่น สถานีอัดประจุไฟฟ้า





ปัจจุบันสถานี และเครื่องอัดประจุไฟฟ้า เพียงพอต่อความต้องการของไทยหรือไม่.?

ก่อนที่จะวิเคราะห์ว่าไทยมีสถานี และเครื่องอัดประจุไฟฟ้า เพียงพอต่อความต้องการหรือไม่ เราได้วิเคราะห์ถึงแนวโน้มยอดจดทะเบียนสะสมของยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ หรือ BEV ของไทย โดยประเมินว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 1.01 แสนคัน ในปี 2566 เป็น 1.29 ล้านคัน ในปี 2573 ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของ BMI Research ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของ Fitch Group Company โดยมีปัจจัยหนุน ดังนี้

1. ภาครัฐมีแนวโน้มที่จะออกนโยบายสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV ทั้งในแง่ของการให้เงินอุดหนุนในการซื้อยานยนต์ไฟฟ้าและลดภาษีสรรพสามิตรของยานยนต์ไฟฟ้าในช่วงปี 2567-2570 ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ต้นทุนยานยนต์ไฟฟ้าในไทยลดลง จึงมีแนวโน้มที่จะกระตุ้นให้เกิดความต้องการในการซื้อยานยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV ในช่วงเวลาดังกล่าว

2. ต้นทุนการใช้งาน (Cost of Ownership) ของยานยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV มีแนวโน้มลดลง ตามต้นทุนดังกล่าวโดยเฉลี่ยของอาเซียนที่สถาบันวิจัยเศรษฐกิจแห่งอาเซียน หรือ Economic Research Institute for ASEAN and East Asia (ERIA) คาดว่าจะลดลงจาก 144,500 บาทต่อปี ในปี 2563 จนเหลือเพียง 99,580 บาทต่อปี ในปี 2573 ซึ่งต่ำกว่ายานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในที่จะอยู่ราว 109,000 บาทต่อปี

เนื่องจากต้นทุนแบตเตอรี่ของยานยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มลดลง ซึ่งเป็นผลจากความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี และต้นทุนการผลิตที่จะลดลง ตามปริมาณการผลิต จึงมีแนวโน้มที่จะดึงดูดให้ผู้บริโภคหันมาใช้ยานยนต์ดังกล่าวมากขึ้นในอนาคต

@@@@@@@

Krungthai COMPASS ประเมินว่า ในปัจจุบัน ภูมิภาคของประเทศไทยส่วนใหญ่มีสถานีและเครื่องอัดประจุไฟฟ้าเพียงพอที่จะรองรับการให้บริการยานยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV อย่างไรก็ดี ยังมีบางภูมิภาคที่ขาดสถานี และเครื่องอัดประจุไฟฟ้า ได้แก่ ภาคเหนือ และภาคใต้

โดยการประเมินอยู่ภายใต้สมมติฐานที่ว่าผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าดังกล่าวของไทยอัดประจุไฟฟ้าทั้งหมด 10 ครั้งต่อเดือน ซึ่งเป็นไปตามผลสำรวจของโครงการจ้างสำรวจและวิเคราะห์ตลาดของ EV Charger ในประเทศไทย ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)

สำหรับปี 2573 คาดว่าความต้องการใช้บริการสถานี และเครื่องอัดประจุไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น ตามยอดจดทะเบียนสะสมของยานยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV ของไทย ซึ่งประเมินว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 1.01 แสนคัน ในปี 2566 เป็น 1.29 ล้านคัน ในปี 2573 จึงต้องเพิ่มเครื่องอัดประจุไฟฟ้าแบบ Fast Charger ราว 10,294 หัวชาร์จ หรือ 5,147 เครื่อง จากปัจจุบัน

ทั้งนี้ เพื่อให้บริการแก่ยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายของภาครัฐที่จะเพิ่มเครื่องอัดประจุไฟฟ้าดังกล่าวอีก 10,205 หัวชาร์จ จากปัจจุบันภายในปี 2573 โดยต้องเพิ่มเครื่องอัดประจุไฟฟ้านี้ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ราว 5,028 หัวชาร์จ (2,514 เครื่อง)

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) ราว 1,410 หัวชาร์จ (705 เครื่อง) ภาคใต้ ราว 1,076 หัวชาร์จ (538 เครื่อง) ภาคกลาง ราว 1,030 หัวชาร์จ (515 เครื่อง) ภาคเหนือ ราว 876 หัวชาร์จ (438 เครื่อง) ภาคตะวันออก ราว 502 หัวชาร์จ (251 เครื่อง) และภาคตะวันตก ราว 372 หัวชาร์จ (186 เครื่อง)

โดยการประเมินในครั้งนี้อยู่ภายใต้สมมติฐานที่ว่ายอดจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV ของแต่ละภูมิภาคจะเติบโตตามสัดส่วนของยอดจดทะเบียนสะสมรถยนต์ทั้งหมดของภูมิภาคเหล่านั้น.






Thank to :-
บทความโดย : พงษ์ประภา นภาพฤกษ์ชาติ Krungthai COMPASS
website : https://www.thairath.co.th/news/auto/evcar/2747349
12 ธ.ค. 2566 19:00 น. | ข่าว > ยานยนต์ > รถยนต์ไฟฟ้า > ไทยรัฐออนไลน์
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ