« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มิถุนายน 06, 2024, 07:48:55 am »
0
.
รูปแบบการเปรียบดอกบัวกับการเรียนรู้ของเวไนยสัตว์
จากการศึกษาเหตุการณ์ในพุทธประวัติ เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณทรงมีความท้อพระทัยที่จะสั่งสอนเวไนยสัตว์ ทรงพิจารณาเห็นว่าธรรมที่ได้ตรัสรู้นั้น เป็นธรรมอันลึกซึ้ง สุขุมคัมภีรภาพ ยากที่มนุษย์และสรรพสัตว์ผู้ยินดีในกามคุณจะรู้ตามได้ แต่เพราะอาศัยพระมหากรุณาในหมู่สัตว์ พระองค์ทรงพิจารณาดูอัธยาศัยเวไนยสัตว์ก็ทรงทราบว่าผู้มีกิเลสเบาบาง ที่อาจรู้ตามพระองค์ได้ก็มี พระองค์ทรงเปรียบเทียบระดับสติปัญญาของมนุษย์กับการเจริญเติบโตของบัว 3 เหล่า (พระไตรปิฎกภาษาไทย 4/9/14) คือ บัวเกิดในน้ำ บัวเสมอน้ำและบัวพ้นน้ำ จึงมีคำอุปมาเวไนยสัตว์เหมือนดอกบัว แบ่งเป็น 4 เหล่าตามอัธยาศัย คือ
ก. อุคฆฏิตัญญู ผู้มีกิเลสน้อยเบาบาง มีอินทรีย์กล้า เพิ่งสอนให้รู้ได้โดยง่าย อาจรู้ธรรมพิเศษ ได้ฉับพลัน เปรียบเหมือนดอกปทุมชาติ ที่โผล่พ้นจากพื้นน้ำขึ้นจากพื้นน้ำมาแล้ว คอยสัมผัสรัศมีพระอาทิตย์อยู่ จักบานในวันนี้
ข. วิปจิตัญญู ผู้มีกิเลสค่อนข้างน้อย เมื่อได้รับอบรมในปฏิปทาอันเป็นบุพภาค จนมีอุปนิสัยแก่กล้า ก็สามารถบรรลุธรรมพิเศษได้ เปรียบเหมือนดอกบัวซึ่งยังตั้งอยู่เสมอพื้นน้ำ จักบานในวันพรุ่งนี้
ค. เนยยะ ผู้มีกิเลสเบาบาง ก็ยังควรได้รับคำแนะนำในธรรมปฏิบัติไปก่อน เพื่อบำรุงอุปนิสัยจนกว่าจะแรงกล้าจึงจะบรรลุธรรมพิเศษ เปรียบเหมือนดอกบัวที่ยังจมอยู่ในน้ำ คอยเวลาที่จะบานในวันต่อๆ ไป
ง. ปทปรมะ ผู้มีกิเลสหนา ปัญญาหยาบ หาอุปนิสัยมิได้เลย ไม่สามารถจะบรรลุธรรมพิเศษได้ เปรียบเหมือนดอกบัวที่จมอยู่ใต้น้ำและเป็นภักษาหารแห่งปลาและเต่า (พระไตรปิฎกภาษาไทย 21/133/202)
@@@@@@@
นอกจากนี้ พระอรรถกถาจารย์ กล่าวสาเหตุที่ภิกษุสามเณรจะพินาศเพราะพรหมจรรย์ต้องละเพศไปสู่ฆราวาส ท่านว่าเพราะอันตราย 5 ประการ เทียบกับอันตรายของดอกบัว คือ
ก. ดอกบัวย่อมเป็นอันตรายด้วยพายุใหญ่พัดเอาหักโค่น เปรียบด้วยพระภิกษุสามเณรผู้ต้องลมปาก คือคำชักชวนของคนพาล มาชักน้ำเกลี้ยกล่อมให้จิตใจเห็นเคลิบเคลิ้มในโลกียวิสัยหน่ายรักจากพระศาสนา ต้องละเพศพรหมจรรย์ไป
ข. ดอกบัวย่อมเป็นอันตรายด้วยถูกกิมิชาติ คือหนอนเข้าเบียดเบียนกัดต้นกินใบ เปรียบเหมือนพระภิกษุสามเณรผู้ตั้งใจประพฤติพรหมจรรย์ แต่ถูกโรคาพาธต่างๆ เข้ามาเบียดเบียนตัดรอน จนไม่อาจประพฤติพรหมจรรย์ได้
ค. ดอกบัวย่อมเป็นอันตรายด้วยถูกฝูงกินนรีเก็บเอาไปเชยชม คือมีผู้มาเด็ดไปจากต้นเปรียบเหมือนพระภิกษุสามเณร ถูกมาตุคามล่อให้ลุ่มหลงสิ้นศรัทธาในพระศาสนา ต้องละเพศพรหมจรรย์
ง. ดอกบัวย่อมเป็นอันตราย ด้วยถูกเต่าและปลากัดกินเป็นอาหาร เปรียบเหมือนพระภิกษุสามเณรผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ถูกพระยามัจจุราชคือความตายมาตัดรอนคร่าเอาชีวิตไปเสีย
จ. ดอกบัวย่อมเป็นอันตรายด้วยน้ำและโคลนตม ไม่บริบูรณ์เหือดแห้งหดไป เปรียบเหมือนพระภิกษุสามเณรผู้ประพฤติพรหมจรรย์ด้วยความตั้งอกตั้งใจ แต่เพราะกุศลหนหลังและวาสนาปัจจุบันไม่มี ก็เผอิญให้มีอุปสรรคขัดข้องต่างๆ ไม่สามารถทรงจำพระธรรมวินัยได้ เป็นเหตุให้ท้อถอยต้องลาเพศพรหมจรรย์ไป
@@@@@@@
บุคคลที่อาจจะแนะนำให้สำเร็จมรรคผลได้ มีชื่อว่า “เวเนยฺย” (พระอัคควังสเถระ และ พระธรรมโมลี,2545) หมายถึง เวไนยสัตว์ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเห็นอุปนิสัยของเวไนยสัตว์ในการบรรลุธรรมแล้ว จึงแบ่งเวไนยบุคคลออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
ภัพพบุคคล คือ บุคคลที่ควรบรรลุธรรมพิเศษได้ และ
อภัพพบุคคล คือ บุคคลที่ไม่อาจบรรลุโลกุตตรธรรมได้
อภัพพบุคคลนั้น แม้พระพุทธเจ้า 100 พระองค์แสดงธรรม ก็ไม่อาจตรัสรู้ธรรมได้(พระไตรปิฎกพร้อมอรรถกถาภาษาไทย 47/345)
พระพุทธองค์ทรงแบ่งภัพพบุคคลออกเป็น 6 ประเภทตามจริต (ความประพฤติ) ของแต่ละกลุ่มบุคคลในการบรรลุธรรม ดังที่ปรากฏในวรรณคดีบาลีว่า
“บุคคลนี้มีราคจริต บุคคลนี้มีโทสจริต บุคคลนี้มีโมหจริต บุคคลนี้มีวิตกจริต บุคคลนี้มีสัทธาจริต บุคคลนี้มีญาณจริต” (พระไตรปิฎกภาษาไทย 29/156/430)
พระพุทธโฆสาจารย์ อธิบายลักษณะของภัพพบุคคล 6 ประเภทไว้ ดังนี้
- ราคจริต คือ บุคคลผู้มีอุปนิสัยโน้มเอียงไปในทางรักสวยรักงาม
- โทสจริต คือ บุคคลผู้มีอุปนิสัยโน้มเอียงไปในทางมักโกรธ
- โมหจริต คือ บุคคลผู้มีอุปนิสัยโน้มเอียงไปในทางซึมเซา
- วิตกจริต คือ บุคคลผู้มีอุปนิสัยโน้มเอียงไปในทางฟุ้งซ่าน
- สัทธาจริต คือ บุคคลผู้มีอุปนิสัยโน้มเอียงไปในทางเลื่อมใสง่าย เชื่อง่าย
- ญาณจริต หรือพุทธิจริต คือบุคคลผู้มีอุปนิสัยโน้มเอียงไปในทางใช้ความคิดพิจารณาหาเหตุผล (พระพุทธโฆสาจารย์, 2546)
อนึ่ง พุทธวิธีในการสั่งสอนบุคคลต่างๆ พระพุทธเจ้าทรงใช้วิธีที่แตกต่างกัน เมื่อพระองค์จะทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์ประเภทใด จะทรงศึกษาความประพฤติ คือ จริตของบุคคลเหล่านั้น ถ้าบุคคลเหล่านั้นยังมีอินทรีย์ ยังไม่แก่กล้า ไม่บรรลุมรรคผลได้ ก็จะทรงคอยเวลาให้อินทรีย์ของเวไนยสัตว์ โดยมีรูปแบบที่จะได้เปรียบเทียบไว้ดังต่อไปนี้
1. เปรียบดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ของผู้ปฏิบัติธรรม ในการปฏิบัติธรรม เมื่อบุคคลละสิ่งที่ขัดขวางจิตไม่ให้ก้าวหน้าในธรรม ได้แก่ นิวรณ์ จิตย่อมเกิดปีติ กายย่อมเกิดความสงบ เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น สงัดจากกามและอกุศลธรรม ความสุขใดๆ ในโลกียธรรมนั้น ย่อมเปรียบไม่ได้กับความสุขที่เกิดจากการปฏิบัติธรรม
ดังนั้น ในการปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบความสุขที่เกิดจากการบรรลุตติยฌานกับดอกบัวไว้ ดังนี้
“เปรียบเหมือนในกอบัวเขียว (อุบล) กอบัวหลวง (ปทุม) หรือกอบัวขาว (บุณฑริก) ดอกบัวเขียว ดอกบัวหลวง หรือดอกบัวขาว บางเหล่าที่เกิดเจริญเติบโตในน้ำ ยังไม่พ้นน้ำจมอยู่ใต้น้ำ มีน้ำหล่อเลี้ยงไว้ ดอกบัวเหล่านั้นชุ่มชื่นเอิบอาบซาบซึมด้วยน้ำเย็นตั้งแต่ยอดถึงเหง้า ไม่มีส่วนไหนที่น้ำเย็นจะไม่ถูกต้อง ฉันใด ภิกษุทำกายนี้ให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มด้วยสุขอันไม่มีปีติ รู้สึกซาบซ่านอยู่ ไม่มีส่วนไหนของร่างกายที่สุขอันไม่มีปีติจะไม่ถูกต้อง ฉันนั้น” (พระไตรปิฎกภาษาไทย 9/230-231/76-77)
นอกจากนี้ พระพุทธโฆสาจารย์อธิบายถึงเหตุที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญผู้ได้บรรลุธรรมขั้นตติยฌานนี้ไว้ว่า ผู้ที่บรรลุตติยฌานซึ่งเป็นยอดสุดแห่งความสุข เป็นผู้มีสติตั้งมั่น เป็นผู้เห็นเสมอกัน มีสติ อยู่เป็นสุข (พระพุทธโฆสาจารย์, 2546)
@@@@@@@
2. เปรียบดอกบัวด้วยสัญลักษณ์แห่งการตรัสรู้ธรรม จากการศึกษาพบว่า ในวรรณคดีบาลีมีเรื่องราวเกี่ยวกับผู้บรรลุธรรมจำนวนมาก หลากหลายวิธี ซึ่งสัญลักษณ์แห่งการบรรลุธรรมสูงสุด ดอกบัวที่เป็นสัญลักษณ์แห่งการบรรลุธรรมของพระจูฬปันถกและการบรรลุธรรมของศิษย์พระสารีบุตร ดังนี้
พระมหาปันถก เมื่อบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว ได้รับความสุขจากการหลุดพ้น สิ้นจากกิเลส (สิ่งที่ทำให้จิตเศร้าหมอง) และอาสวะ (กิเลสที่หมักหมมหรือดองอยู่ในสันดาน) ทั้งปวง มีความปรารถนาจะให้จูฬปันถกผู้เป็นน้องชายมีความสุขเช่นนั้นบ้าง จึงได้ขออนุญาตธนเศรษฐีผู้เป็นตาผู้ซึ่งมีศรัทธาในพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว ได้อนุญาตให้จูฬปันถกออกบวช จูฬบันถกก็ได้รับอนุญาตจากธนเศรษฐีให้ออกบวชได้ พระมหาปันถกผู้พี่ชายได้สอนคาถาพรรณนาคุณ บทหนึ่งแก่พระจูฬปันถก ความว่า
“ดอกบัวชื่อโกกนุท บานในเวลาเช้า ยังไม่สิ้นกลิ่น ยังหอมอยู่ ฉันใด ท่านจงดูพระอังคีรส ผู้ไพโรจน์อยู่ เหมือนดวงอาทิตย์รุ่งโรจน์อยู่ในอากาศ ฉันนั้น” (พระไตรปิฎกภาษาไทย 15/123/145)
เพียงคาถาบทเดียวนี้เท่านั้น พระจูฬปันถกเรียนอยู่นานถึง 4 เดือนก็ยังจำไม่ได้ พระมหาปันถกผู้พี่ชายพยายามให้เธอเรียนอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ในที่สุดเห็นว่าพระน้องชายเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา จึงตำหนิพระน้องชายแล้วขับไล่ออกจากสำนักไป
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องนี้จึงเสด็จไปเทศนา ได้ประทานผ้าขาวผืนหนึ่งให้แก่ พระจูฬปันถก ตรัสบอกให้บริกรรมด้วยคาถาว่า “รโชหรณํ รโชหรณํ” (ผ้าเช็ดธุลี ผ้าเช็ดธุลี) พร้อมกับให้พระจูฬปันถกลูบคลำผ้าผืนนั้นไปด้วยขณะบริกรรมคาถา ในเวลาไม่นาน พระจูฬปัน ถกได้บรรลุพระอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ คือ ปัญญาอันแตกฉาน 4 ประการ ได้แก่
- อัตถปฏิสัมภิทา (ปัญญาแตกฉานในอรรถ)
- ธัมมปฏิสัมภิทา (ปัญญาแตกฉานในธรรม)
- นิรุตติปฏิสัมภิทา (ปัญญาแตกฉานในนิรุกติ คือ ภาษา)
- ปฏิภาณปฏิสัมภิทา (ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ)
และได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าให้เป็นหนึ่งในอสีติมหาสาวก (พระสาวกผู้ใหญ่ 80 องค์) ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุผู้เป็นสาวกของเรา ผู้เนรมิตกายสำเร็จด้วยใจ 1 ผู้ฉลาดในการเปลี่ยนแปลงทางใจ 1 จูฬปันถกเป็นเอตทัคคะแล.....” (พระไตรปิฎกพร้อมอรรถกถาภาษาไทย 44/574)
@@@@@@@
อีกเรื่องหนึ่ง อดีตนายช่างทองซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกของพระสารีบุตร เมื่อบวชเป็นภิกษุ พระสารีบุตรเข้าใจว่าภิกษุหนุ่มอดีตนายช่างทองรูปนี้อายุยังน้อย จิตใจจะต้องน้อมอยู่ในการรักความสวยงาม จึงให้ภิกษุหนุ่มพิจารณาอสุภกรรมฐาน เธอพยายามพิจารณาอสุภกรรมฐานอยู่ตลอด 4 เดือน ยังไม่พบคุณวิเศษแต่ประการใด
พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระสัพพัญญุตญาณ คือพระปรีชาญาณหยั่งรู้ ทั้งที่เป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ว่า ภิกษุหนุ่มผู้นี้เคยเป็นนายช่างทองมาแล้วถึง 500 ชาติ การทำงานอยู่กับทองซึ่งเป็นสิ่งของสวยงาม ประกอบกับมีอุปนิสัยละเมียดละไมรักสวยรักงาม (ราคจริต) จึงควรนำสิ่งที่สวยงามเช่นดอกบัวเพื่อใช้เป็นอารมณ์กรรมฐาน วันหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงพาภิกษุนั้นเที่ยวจาริกไปในวิหาร แล้วทรงนิรมิตสระโบกขรณีสระหนึ่งในอัมพวัน และนิรมิตดอกปทุมใหญ่ดอกหนึ่งในกอปทุม แม้นั้น แล้วรับสั่งให้นั่งลงด้วยพระดำรัสว่า ภิกษุ เธอจงนั่งแลดูดอกปทุมนี้ (พระไตรปิฎกพร้อมอรรถกถาภาษาไทย55/295)
ดอกปทุมนั้นมีขนาดเท่าจักร พระพุทธองค์ทรงทำให้เหมือนมีหยาดน้ำหลั่งลงมาจากใบและก้านเพื่อให้เหมาะกับอัธยาศัย ภิกษุหนุ่มได้นำดอกบัวไปวางไว้ที่กองทรายท้ายวิหารนั่งขัดสมาธิตรงหน้า แล้วบริกรรมว่า “โลหิตกํ โลหิตกํ” (สีแดง สีแดง) จากนั้น ขณะที่ท่านกำลังเพลิดเพลินอยู่กับสีแดงอันสวยสดของดอกบัวนั้น พระพุทธองค์จึงทรงเนรมิตให้ดอกบัวซึ่งมีความสวยสดงดงามค่อยๆ เหี่ยวเฉาลง สักครู่เดียวเกสรดอกบัวก็ร่วงไปเหลืออยู่เพียงฝักบัว เป็นเหตุให้ภิกษุหนุ่มพิจารณาเปรียบเทียบถึงความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาของสังขารทั้งหลายว่า เป็นของไม่เที่ยงถาวรเช่นกัน
เมื่อจิตของภิกษุนั้นลงสู่วิปัสสนาญาณ แล้ว พระพุทธองค์จึงทรงเปล่งโอภาส (แสงสว่าง) ไป ได้ตรัสว่า
“เธอจงตัดความสิเนหาของตนเสีย เหมือนคนตัดดอกโกมุทอันเกิดในสารทกาล เธอจงพอกพูนทางแห่งความสงบ เพราะนิพพาน ตถาคตแสดงไว้แล้ว” (พระไตรปิฎกพร้อมอรรถกถาภาษาไทย 55/295)
จากการที่ภิกษุหนุ่มใช้ดอกปทุมทองเป็นเครื่องหมายกรรมฐาน และได้น้อมนำจิตใจให้เลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะปฏิบัติกรรมฐาน จึงทำให้ได้สำเร็จอรหัตตผลในเวลาไม่นาน
@@@@@@@
3. เปรียบดอกบัวกับพระนิพพาน พระนิพพาน คือสภาพธรรมเป็นที่พ้นไปจากตัณหา(ความอยากมีอยากเป็น) ซึ่งเป็นตัวหุ้มห่อรึงรัดให้สัตว์ได้รับทุกข์ ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารอย่างไม่มีวันสิ้นสุด (พระเทพมุนี (วิลาศ ญาณวโร), 2532) พระนิพพานเป็นภาวะไม่มีทุกข์ และเป็นเครื่องส่งผลให้ประสบความสุขชั่วนิรันดร์ พระนิพพานมีคุณลักษณะเป็นมหาสุญญตาคือสงบเงียบที่สุดในโลก ปราศจากความทุกข์ทั้งปวงโดยสิ้นเชิง บุคคลผู้ถึงพระนิพพานย่อมมีจิตผ่องแผ้ว ปราศจากกิเลส “พระนิพพานเป็นสิ่งที่พึงรู้ได้ด้วยใจเพียงทางเดียว” (พระเทพมุนี (วิลาศ ญาณวโร), 2532)
การจะรู้พระนิพพานได้ ต่อเมื่อได้บำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน (พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), 2543 ก) ทำวิปัสสนาญาณให้เกิดขึ้นเป็นลำดับไป จนกระทั่งสามารถข้ามโคตรปุถุชนก้าวสู่แดนอริยชนได้สำเร็จเป็นพระอริยเจ้า พระธรรมปิฎก(ป.อ.ปยุตฺโต) กล่าวว่าพระนิพพานนั้นเป็นจุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา พระนิพพานเป็นภาวะที่มนุษย์สามารถประจักษ์แจ้งได้ในชีวิตปัจจุบัน (พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), 2543 ข)
4. ดอกบัวกับความเชื่อในพุทธศาสนา “บัว” มีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของคนไทยมายาวนาน “บัว” จึงปรากฏอยู่ในภาษาวรรณคดี และวรรณกรรมไทย สำนวน สุภาษิต ปริศนาคำทาย รวมทั้งความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้า ด้านความเชื่อเกี่ยวกับการตั้งชื่อ คนไทยเรามีความเชื่อว่า ชื่อที่เกี่ยวข้องกับ “บัว” จะอำนวยความสุขความเจริญให้กับตนได้
นอกจากนี้ “บัว” ยังมีความสัมพันธ์กับโภชนาการ อาหารการกินของไทย อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่เก่าแก่อย่างหนึ่งในสังคมไทย
“บัว” ถือเป็นพืชไม้น้ำที่มีความเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต ความเชื่อทางศาสนา และเทพเจ้า ศักดิ์สิทธิ์และความเบิกบาน ซึ่งเห็นได้จากการนำดอกบัวมาใช้ประกอบพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาอยู่เสมอ
“บัว” เป็นดอกไม้ที่เกี่ยวข้องกับพุทธประวัติอยู่หลายตอน หลายเหตุการณ์
เหตุการณ์แรก : เมื่อพระโพธิสัตว์ ซึ่งต่อมาคือเจ้าชายสิทธัตถะ เสด็จจากสวรรค์ชั้นดุสิตเพื่อเข้าสู่พระครรภ์พระมารดา วันที่เสด็จลงมาบังเกิดนั้น คืนนั้น พระนางสิริมหามายา พระมารดาทรงมีพระสุบินนิมิตว่า พระนางได้เข้าไปอยู่ในป่าหิมพานต์ ได้มีช้างเผือกเชือกหนึ่ง ลงมาจากยอดเขาสูง เข้ามาหาพระนางปฐมสมโพธิ พรรณนาเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ว่า “มีเศวตหัตถีช้างหนึ่ง…ชูงวงอันจับปทุมชาติสีขาว มีเสาวคนธ์หอมฟุ้งตรลบ แล้วร้องโกญจนาทเข้ามาในกนกวิมาน แล้วกระทำประทักษิณพระองค์อันบรรทมถ้วนครบสามรอบแล้ว เหมือนดุจเข้าไปในอุทรประเทศ ฝ่ายทักษิณปรเศว์แห่งพระราชเทวี…” ในขณะนั้น ได้เกิดบุพนิมิตขึ้น 32 ประการ ประการที่เกี่ยวกับดอกบัวคือ มีดอกบัวปทุมชาติหรือบัวหลวง 5 ชนิด
เหตุการณ์ที่สอง : เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติ เมื่อทรงก้าวลงจากพระครรภ์ ทรงผินพระพักตร์ไปยังทิศอุดร ชี้พระดรรชนีขึ้นฟ้า แล้วเสด็จดำเนินไป 7 ก้าว แต่ละก้าวมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับ และทรงเปล่งอาสภิวาจา(วาจาอย่างองอาจ)ว่า “เราเป็นผู้เลิศของโลก เป็นผู้ใหญ่ที่สุดของโลก เป็นผู้ประเสริฐที่สุดของโลก นี้เป็นการเกิดครั้งสุดท้าย ไม่มีการเกิดใหม่อีกต่อไป” ดอกบัวที่ผุดขึ้นมารับพระบาทนี้ หมายถึงพระองค์จะเป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากกิเลสโดยสิ้นเชิง
ราชบัณฑิตยังให้ความเห็นเกี่ยวกับการที่พระพุทธองค์สามารถตรัสได้ทันทีที่ประสูติต่อคำถามที่ว่า เป็นเพียงสัญลักษณ์เปรียบเทียบถึงอะไร หรือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ท่านตอบว่ามีเขียนไว้ในพระไตรปิฎก โดยพระพุทธองค์ตรัสเล่าให้สาวกฟังด้วยพระองค์เอง โดยทรงสรุปสั้นๆว่า “เป็นธรรมดาของพระโพธิสัตว์” โดยท่านยกขึ้นเปรียบเทียบกับเด็กชาย ที่ได้บันทึกไว้ในกินเนสส์บุค คือ คริสเตียน ไฮเนเก้น ที่เกิดมาสองชั่วโมงก็พูดได้ อายุ 4 ขวบ ก็พูดได้ 7 ภาษา พออายุ 7 ขวบ สามารถแสดงปาฐกถาเรื่องอภิปรัชญาชั้นสูงให้ที่ประชุมปราชญ์ได้ทึ่ง
เหตุการณ์ที่สาม : เมื่อทรงมีพระชนมายุได้ 7 พรรษา พระราชบิดาโปรดให้ขุดสระโบกขรณี 3 สระ สำหรับให้ทรงลงเล่นน้ำ โดยปลุกอุบลบัวขาบสระหนึ่ง ปทุมบัวหลวงสระหนึ่ง และบุณฑริกบัวขาวอีกสระหนึ่ง และเมื่อทรงตรัสรู้ ทรงเปรียบเวไนยสัตว์ อุปมาดังบัว สี่เหล่า คือ ดังที่ครูอิงได้เสนอไปแล้วในบันทึกก่อนนี้
เหตุการณ์ที่สี่ : ครหทินน์เจ็บใจที่สิริตุตถ์หลอกอาจารย์เดียรถีร์ของตนให้ตกลงไปในหลุมอุจจาะ จึงคิดแก้แค้น หลอกพระพุทธเจ้าอันเป็นอาจารย์ของสิริคุตถ์บ้าง โดยล่อให้ตกลงไปในหลุมที่ก่อไฟด้วยไม้ตะเคียน ปรากฏว่ามีดอกบัว ผุดขึ้นมารับพระบาทพระองค์
@@@@@@@
คนไทยส่วนใหญ่มักจะใช้ดอกบัว ในการบูชาพระอยู่เสมอ แต่บัวที่เรานิยมปลูกไว้ภายในบ้านเพื่อความเป็นสิริมงคล คือ บัวหลวง บัวผัน บัวฝรั่ง บัวสาย และบัวกระด้ง
ความเชื่อในทางพุทธศาสนา ตั้งแต่สมัยโบราณว่า ดอกบัวก็เหมือนกับคนเรานี้เอง ดอกบัวที่ชูดอกพ้นจากผิวน้ำขึ้นมารับแสงสว่างได้นั้น ก็เหมือนกับ ผู้ที่หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง กลายเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม ซึ่งถือเป็นความหมายอันลึกซึ้งและเป็นมงคลยิ่งนัก คนโบราณจึงมีความเชื่อว่า ครอบครัวใดที่ปลูกบัวเอาไว้ประจำบ้าน ก็จะช่วยให้คนครอบครัวนั้น มีจิตใจที่บริสุทธิ์ สะอาด และเบิกบานแจ่มใสเช่นเดียวกับดอกบัว
และยังเชื่ออีกว่า สายใยของบัวที่ยืดยาวนั้น คือสายสัมพันธ์ของครอบครัวจะทำให้ทุกคนมีความห่วงใยรักใคร่ และผูกพันต่อกันอย่างแนบแน่น ครอบครัวนั้น ก็จะมีแต่ความสุข เพราะความรักใคร่ปรองดองของคนในครอบครัวทุกคน
5. ดอกบัวกับอิทธิพลความเชื่อในสังคมไทย ศิลปกรรมไทยมีรากฐานมาจากพระพุทธศาสนา ซึ่งรับอิทธิพลมาจากประเทศอินเดีย นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่า จิตรกรรมไทยปรากฏขึ้นในสมัยสุโขทัย ซึ่งได้รับอิทธิพลจากขอมนำมาประยุกต์ร่วมกับรูปแบบศิลปกรรมของลังกาและศรีวิชัย ส่วนเนื้อหาของศิลปกรรมไทยนั้น ล้วนเป็นเรื่องที่มาจากคติความเชื่อเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา
ในศิลปกรรมไทย ดอกบัวได้รับการออกแบบเป็นลวดลาย ประดับอยู่แทบจะทุกส่วนของอาคารสถาปัตยกรรม นับตั้งแต่ส่วนฐานของอาคารขึ้นไปถึงปลียอด เพราะความนิยมนับถือว่าดอกบัวเป็นดอกไม้สำคัญในพระพุทธศาสนา จึงมีการออกแบบลายดอกบัวลายกลีบบัวที่มีแบบประณีต สวยงาม ละเอียดอ่อน สะท้อนให้เห็นถึงการถ่ายทอดจิตและวิญญาณของช่างลงในผลงานสำหรับถวายเป็นพุทธบูชา
ดอกบัวในวรรณกรรมไทย วรรณคดีเป็นหนังสือที่คนส่วนมากในชาตินิยมยกย่องว่า เป็นหนังสือที่แต่งดี ทำให้ผู้อ่านเกิดความซาบซึ้ง มีความไพเราะทั้งการใช้ถ้อยคำและสำนวนโวหาร ในวิทยานิพนธ์นี้ ได้ศึกษาวรรณคดีที่บรรยายถึงดอกบัว 3 เรื่อง คือเรื่องพระมาลัย เรื่องกามนิต และเรื่องท้าวศรีจุฬาลักษณ์
นอกจากนี้ประเพณีโยนบัว เป็นงานประเพณีที่เกี่ยวเนื่องกับพุทธศาสนาซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีเป็นงานประเพณีที่ยิ่งใหญ่มากเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นอย่างดี วันจัดงานตรงกับวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 คือก่อนออกพรรษา 1 วัน ที่จัดก่อนวันออกพรรษาเพราะวันออกพรรษาจะเป็นวันที่พุทธศาสนิกชนทำบุญกัน แต่วันงานประเพณีโยนบัว จะเป็นวันที่ทุกคนสนุกสนานรื่นเริงเปรียบเหมือนการเฉลิมฉลองก่อนเทศกาลออกพรรษา
เมื่อถึงวันงานประเพณี ประชาชนทุกเพศทุกวัย ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ คนเฒ่าคนแก่ และทั้งหญิงชายทุกหมู่บ้าน รวมไปถึงนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติจะพากันตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อมาชมงานแต่สำหรับคนที่เข้าร่วมงานคือเข้าร่วมขบวนแห่เรือด้วยก็จะแต่งการชุดไทยสวยงาม งานจะเริ่มตั้งแต่ 6 โมงเว้า เริ่มจากพิธีแห่ขบวนเรือ ล่องมาตามคลองบางพลีซึ่งจะตั้งต้นจากวัดบางพลีใหญ่ล่องมา จนถึงที่ว่าการอำเภอบางพลี เรือลำแรกที่เป็นหัวขบวนจะเป็นเรือพระโดยอัญเชิญหลวงพ่อโตประดิษฐาน มาในเรือ และมีฝีพายแจวเรือล่องมาอย่างช้าๆ เพื่อให้ประชาชนที่ยืนอยู่ตลอดสองฝั่งคลองได้โยนดอกบัวที่เตรียมมาลงในเรือพระและคนที่อยู่ในเรือก็จะคอยรับเอาดอกบัวรวบรวมไปวางไว้หน้าตักหลวงพ่อโต เปรียบเสมือนกับการนำเอาดอกไม้มากราบไหว้บูชาพระพุทธรูปนั่นเอง
นอกจากโยนดอกบัวลงในเรือแล้ว ยังมีบางคนโยนข้าวต้มมัดลงมาในเรือด้วยเพื่อให้ฝีพายและคนที่ร่วมอยู่ในขบวนแห่ได้กิน แก้หิวกันไปพลางก่อนที่จะเสร็จพิธีขบวนเรือ
ในพิธีนี้จะประกอบด้วย เรือพระที่เป็นหัวขบวนและมีเรือติดตามอีกสองสามลำ ต่อจากเรือติดตามนี้จะเป็นเรือที่เข้าร่วมพิธีที่มาจากหมู่บ้านทั้ง 15 หมู่บ้านของตำบลบางพลี โดยแต่ละหมู่บ้านจะส่งเรือเข้าร่วมพิธีหมู่บ้านละ 3 ลำ ซึ่งนอกจากจะเข้าร่วมพิธีแห่แล้วยังถือเป็นการประกวดแข่งขันกันด้วย การประกวดเรือนี้ จะมีทั้งประเภทสวยงาม ความคิดและตลกขบขัน แต่ละหมู่บ้านจึงพิถีพิถันในการแต่งเรือประกวดของตนให้สวยงามเป็นพิเศษ ทำให้ขบวนเรือแห่นี้เป็นขบวนแห่ที่ยิ่งใหญ่สวยงามละลานตาเป็นที่ชื่นชอบและประทับใจแก่ผู้ที่เข้าชมงานมาก จนเป็นที่กล่าวขวัญถึงอยู่เสมอ
การประกวดแข่งขันในประเพณีโยนบัวนี้ นอกจากแข่งขันประกวดเรือแล้วยังมีการประอย่างอื่นอีก เพื่อเป็นการเพิ่มสีสันและดึงดูดความสนใจแก่ผู้ร่วมงานรวมไปถึงนักท่องเที่ยว การประกวดแข่งขันเหล่านี้ ได้แก่ การประกวดแจวเรือ การแข่งขันกินข้าวต้มมัด การแข่งขันชักคะเย่อเรือ การแข่งขันพายเรือถัง และการประกวดขวัญใจแม่ค้า การประกวดแข่งขันต่างๆ นี้เปิดโอกาส ให้ทุกคนเข้าร่วมได้ เพราะสามารถจะส่งเข้าประกวดในนามตำบล หน่วยงานหรือบุคคลก็ได้ ทั้งยังไม่จำกัดอายุและเพศอีกด้วย ยกเว้นการประกวดขวัญใจแม่ค้า
@@@@@@@
แต่อย่างไรก็ตาม พิธีแห่ขบวนเรือและการประกวดแข่งขันกันนี้ ต้องเสร็จสิ้นก่อน 11 โมง เพราะแดดร้อนจัด ทำให้คนดูและคนแข่งขันทนแดดไม่ไหว งานก็จะหมดสนุกจึงต้องเลิกงานก่อน 11.00 นาฬิกา
งานประเพณีโยนบัวนี้นอกจากจะมีพิธีเกี่ยวเนื่องกับศาสนาแล้วยังเป็นประเพณีที่นำเอาภูมิปัญญาไทยเสริมสร้างความสามัคคีให้เกิดในชุมชนด้วย เพราะการที่ประชาชนได้เข้าร่วมงานไม่ว่าจะในฐานะผู้ชมหรือผู้มีส่วนร่วมงานก็ตาม ล้วนทำให้เกิดพลังสามัคคีในหมู่บ้านของตนเกิดความภาคภูมิใจและความรักท้องถิ่น
ส่วนการที่ให้มีการโยนบัวเพื่อสักการะพระพุทธรูป หรือ หลวงพ่อโตนั้นก็เป็นกลยุทธ์ในการส่งเสริมการค้าอย่างหนึ่ง เพราะในชุมชนจะมีนาบัวซึ่งมีดอกบัวจำนวนมาก เมื่อถึงวันงานประเพณีดอกบัวก็จะขายได้ราคาดีขึ้น และขายได้ในจำนวนมากขึ้นด้วย เท่ากับเป็นการช่วยเหลือให้ผู้ทำนาบัวมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปกติปีละครั้ง เพื่อเป็นกำลังใจให้ประกอบอาชีพนี้ต่อไป
ชื่ออำเภอและจังหวัดของไทย ที่เกี่ยวข้องกับบัว ชื่อต่างๆ ในประเทศไทยที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์เกี่ยวกับบัว ได้แก่
- จังหวัดปทุมธานี, อำเภอบุณฑิริก อำเภอจังหวัดอุบลราชธานี, อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม,
- อำเภอบัวลาย อำเภอบัวใหญ่ เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดนครราชสีมา, อำเภอปทุมรัตต์ เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดร้อยเอ็ด,
- อำเภอบัวขาว จังหวัดกาฬสินธุ์, ปทุมราชวงศา ชื่ออำเภอในจังหวัดอำนาจเจริญ,
- หนองบัว ชื่ออำเภอในจังหวัดนครสวรรค์ หมายถึงหนองน้ำที่มีบัวขึ้นอยู่, หนองบัวแดง ชื่ออำเภอในจังหวัดชัยภูมิ ตั้งชื่อตามหนองน้ำ "หนองบัวแดง",
- หนองบัวระเหว ชื่ออำเภอในจังหวัดชัยภูมิ ระเหว มาจากชื่อลำห้วยระเหว, อุบลรัตน์ ชื่ออำเภอในจังหวัดขอนแก่น แปลว่าบัวสายที่ยอดเยี่ยมดังแก้ว ความจริงแล้วชื่ออำเภอนี้ตั้งชื่อตามชื่อเขื่อน ซึ่งได้ชื่อมาจากพระนามของเจ้าฟ้าหญิงอุบลรัตน์ราชกัญญาสิริโสภาพรรณวดี,
- กมลาไสย (อ่านว่า กะ-มะ-ลา-ไส) ชื่ออำเภอในจังหวัดกาฬสินธุ์ แปลว่าที่อยู่ของบัว, บัวเชด ชื่ออำเภอในจังหวัดสุรินทร์ คำว่า “เชด” สันนิษฐานว่าเป็นชื่อของบุคคล
- และบางบัวทอง ชื่ออำเภอในจังหวัดนนทบุรี นอกจากนี้ยังมีชื่อตำบลและหมู่บ้าน เป็นต้นอื่นอีกมากมาย
(ยังมีต่อ..)