ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ทำไม ไอน์สไตน์ จึงพูดว่า "จินตนาการสำคัญกว่าความรู้."..?!  (อ่าน 2601 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



ทำไม ไอน์สไตน์ จึงพูดว่า จินตนาการสำคัญกว่าความรู้..?



 :96: :96: :96:

“จินตนาการสำคัญกว่าความรู้”

ว่ากันว่าประโยคสุดคมจนบาดลึกเข้าไปในใจใครต่อใครประโยคนี้ หลุดออกมาจากปากของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) นักวิทยาศาสตร์ผู้ประดิษฐ์สูตร E=mc2 จนทำให้คนอีกหลายๆ พันล้านคนเอาไปใช้อ้างอิงกันอย่างเอิกเกริก ในฐานะที่บุคคลที่ปราดเปรื่องที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์โลกบ้วนคำนี้ออกมาให้ใช้กัน

แต่ไอน์สไตน์พูดไว้เมื่อไหร่.?
พูดไว้ที่ไหน.? ในบริบทอะไร.?
มีเงื่อนไขอื่นๆ หรือไม่.? และไอน์สไตน์คิดอย่างนั้นจริงๆ หรือ.?

ผมพอจะมีคำตอบให้บ้างบางคำถามนะครับ
    “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” เป็นประโยคหนึ่งที่อยู่ในบทสัมภาษณ์ของไอน์สไตน์ ที่ชื่อ What Life Means to Einstein : An Interview by George Sylvester Viereck (อาจแปลไทยง่ายๆ ว่า ชีวิตคืออะไร.? สำหรับไอน์สไตน์ บทสัมภาษณ์โดย จอร์จ ซิลเวสเตอร์ วีเร็ค)

ในวารสารรายสัปดาห์ฉบับหนึ่งของสหรัฐอเมริกาที่ชื่อ Saturday Evening Post ฉบับประจำวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ.1929 เนื้อความเฉพาะช่วงที่กล่าวถึงประโยคดังกล่าวมีดังนี้


@@@@@@@

    “I believe in intuitions and inspirations. I sometimes feel that I am right. I do not know that I am. When two expeditions of scientists, financed by the Royal Academy, went forth to test my theory of relativity, I was convinced that their conclusions would tally with my hypothesis.
     I was not surprised when the eclipse of May 29, 1919, confirmed my intuitions.
     I would have been surprised if I had been wrong.
     Then you trust more to your imagination than to your knowledge.?
     I am enough of the artist to draw freely upon my imagination. Imagination is more important than knowledge. Knowledge is limited. Imagination encircles the world.”

แปลเป็นไทยได้ว่า

    “ผมเชื่อในสหัชญาณ (คือการหยั่งรู้ที่เกิดขึ้นในใจ) และแรงบันดาลใจทั้งหลาย บางครั้งผมรู้สึกว่ามันใช่ ผมไม่รู้หรอกว่ามันใช่อย่างไร เมื่อคราวที่ กลุ่มนักวิทยาศาสตร์เดินทางไปทดสอบทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไปของผม ด้วยทุนสนับสนุนจากรอแยล อคาเดมี ผมมั่นใจว่า ข้อสรุปของพวกเขาจะช่วยยืนยันสมมติฐานของผม
     ผมไม่ได้ประหลาดใจอะไรเลยเมื่อ (สุริย) คราส ในวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ.1919 จะยืนยันถึงสหัชญาณของผมเอง ผมจะแปลกใจก็ต่อเมื่อผมเป็นฝ่ายผิดต่างหาก
     แล้วตอนนี้คุณเชื่อใจในจินตนาการของตัวเองมากกว่าความรู้ที่คุณมีบ้างหรือยัง.?
     ผมมีความเป็นศิลปินมากพอที่จะแต่งแต้มอะไรลงไปในจินตนาการของผมอย่างอิสระ จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ความรู้มีข้อจำกัด จินตนาการเป็นสิ่งที่หมุนโลก”

@@@@@@@

เรื่องสุริยคราสที่ไอน์สไตน์พูดถึง คือการพยายามพิสูจน์ทฤษฎีของเขาเอง ไอน์สไตน์เชื่อว่า แสงเดินทางเป็นเส้นโค้ง (เพราะอวกาศมีขอบข่ายเป็นเส้นโค้ง) พูดง่ายๆ ว่า หากเราทดลองเอาไฟฉายส่องขึ้นสู่ท้องฟ้าจากสนามหน้าบ้านของเราเอง อีกหลายสิบปีต่อมาแสงจากไฟฉายอันเดียวกันนั้นอาจจะเดินทางย้อนกลับมาเยี่ยมสนามหน้าบ้านเราอีกครั้ง

ณ ห้วงขณะจิตนั้น นักวิทยาศาสตร์ทั้งโลกยังคงเชื่อว่า แสงเดินทางเป็นเส้นตรง พวกเขาจึงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จนต้องพากันไปทดสอบทฤษฎีของไอน์สไตน์ และนั่นเป็นที่มาของคณะเดินทางทดสอบทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไปทั้งสองครั้งที่ไอน์สไตน์กล่าวถึง

วิธีการที่พวกเขาใช้ในการตรวจสอบก็คือ การถ่ายภาพสุริยคราส เพราะโดยปกติแสงอาทิตย์มีความเข้มข้นสูง เราจึงไม่สามารถเห็นหรือถ่ายภาพแสงเดินทางผ่านดาวดวงต่างๆ ได้

แต่เมื่อดวงจันทร์โคจรมาบดบังพระอาทิตย์ไม่ให้แสงส่องมายังโลก การมองและถ่ายภาพการเดินทางของแสงก็กลับกลายเป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้นั่นเอง

ในปี ค.ศ.1914 คณะนักวิทยาศาสตร์พากันคำนวณและพบว่า จะเกิดสุริยคราสที่รัสเซีย คณะนักวิทยาศาสตร์เยอรมันพากันเอากล้องถ่ายรูปไปติดตั้งไว้ในจุดที่คำนวณแล้วว่าจะเกิดคราส น่าเสียดายที่สงครามโลกครั้งที่ 1 อุบัติขึ้นมาเสียก่อน


@@@@@@@

ไอน์สไตน์ต้องทนรอเวลาทดสอบทฤษฎีของเขาอีกนานถึง 5 ปีเศษ กว่าจะเกิดสุริยคราสเต็มดวงขึ้นอีกครั้งเมื่อโลกเดินทางมาถึง ค.ศ.1919 ในครั้งนี้นักวิทยาศาสตร์ได้ติดตั้งกล้องจำนวนมหาศาลไว้ที่สองมุมโลก มุมหนึ่งอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ ส่วนอีกมุมหนึ่งอยู่บนเกาะทางชายฝั่งด้านทิศตะวันตกของทวีปแอฟริกา

โดยที่ต้องลงทุนขนาดนี้เพราะบรรดานักวิทยาศาสตร์เกรงว่า จะมีเมฆพัดมาปกคลุมจนถ่ายภาพได้เห็นไม่ชัดเจนพอ จึงเผื่อเหลือเผื่อขาดไว้สองที่

วันที่ 7 พฤศจิกายน ในปีเดียวกันนั้นเอง มีผลประกาศออกมาอย่างเป็นทางการว่า แสงเดินทางเป็นเส้นโค้ง ไอน์สไตน์ได้รับการชูมือว่าเป็นฝ่ายชนะ และนี่คือ สหัชญาณที่ไอน์สไตน์เชื่อ

นี่คือจินตนาการที่ไอน์สไตน์หมายถึง สหัชญาณที่ก่อตัวขึ้นในใจของไอน์สไตน์ เกิดขึ้นจากความรู้จำนวนมหาศาลที่เขาสะสมอยู่ในตัว จินตนาการของไอน์สไตน์ หมายถึง ความกล้าที่จะคิดหลุดออกมาจากกรอบเดิมๆ เมื่อมีหลักฐาน ข้อเท็จจริง และเหตุผลรองรับที่เพียงพอ ไม่ใช่การเพ้อฝันไปโดยขาดหลักการและเหตุผล

@@@@@@@

ประโยคสุดคมอย่าง “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” ของไอน์สไตน์ถูกตัดทอน เชื่อมประโยคใหม่ และอีกสารพัดจากการอ้างอิงถึงบทสัมภาษณ์เดียวกันนี้ มาตั้งแต่สมัยเมื่อเกือบร้อยปีก่อนแล้ว และท้ายที่สุดเราก็รู้จักกันแต่ประโยคนี้เพียงประโยคเดียว

ในเมื่อเรากำลังอยู่ในยุคที่ “จินตนาการ” สำคัญกว่า “ข้อเท็จจริง”

และเราจะอยู่อย่างไรกันครับ ในสังคมที่จินตนาการ สำคัญกว่าขอเท็จจริง หรือตรรกะเหตุผล ในสังคมที่ผู้คนไม่สนใจขอเท็จจริงเท่าสิ่งที่ตัวเองอยากจะเชื่อ ในสังคมที่ผู้คนไม่สนใจจะใช้ทั้งข้อเท็จจริง และความรู้ในการคิดวิเคราะห์ เพื่อเสริมสร้างจินตนาการอย่างที่ถูก และที่ควรจะเป็น.?






ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 สิงหาคม 2562
คอลัมน์ : On History
ผู้เขียน : ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ
เผยแพร่ : วันอังคารที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ.2566
website : https://www.matichonweekly.com/column/article_224277
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ เพราะเป็น “หัวเทียน” แห่งความรู้



 :96: :96: :96:

Highlight

ศิลปะและวิทยาศาสตร์ เป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน

นี่เป็นความเชื่อลึกๆ อันหนึ่ง เป็นกำแพงศรัทธาที่นับวันก็ยิ่งก่อตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ได้มีโอกาสอ่านความคิด สังเกตการทำงาน หรือพบปะพูดคุยกับศิลปิน และนักวิทยาศาสตร์ที่นับถือ เพราะรู้สึกว่าพวกเขาต่างได้แรงบันดาลใจจากสิ่งเดียวกัน คือความงดงามในธรรมชาติ

ต่างกันเพียงแค่ – ฝ่ายหนึ่งรับรู้ความงามด้วยอารมณ์ความรู้สึก แล้วถ่ายทอดออกมาเป็น “งานศิลปะ” ตามอารมณ์นั้น ในขณะที่อีกฝ่ายรับรู้ความงามด้วยการใช้เหตุผลวิเคราะห์ความเป็นไป แล้วถ่ายทอดออกมาเป็น “ความรู้” หรือทฤษฎี ตามกระบวนการใช้เหตุผล




 :49: :49: :49:

สมัยเรียนหนังสือ เพื่อนที่เป็นนักคณิตศาสตร์คนหนึ่ง เคยพยายามอธิบายความงามของ sine curve ในธรรมชาติให้ฟัง ขณะที่เราเดินเล่นด้วยกัน แล้วสังเกตเห็นสายไฟฟ้าเหนือหัวโค้งขึ้นลงเป็น sine curve แววตาของเขาตอนนั้น เป็นประกายไม่ต่างจากแววตาของอาจารย์วิชาดาราศาสตร์ ตอนอธิบายวิธีใช้กล้องดูดาว ที่อาจารย์เรียกเป็นลูก และไม่ต่างจากประกายในแววตาของเพื่อนจิตรกร ตอนระบายสีบนผืนผ้าใบ

ศิลปะและวิทยาศาสตร์ อาจเป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน เพราะในศาสตร์มีศิลป์ และในศิลป์มีศาสตร์ และเพราะ “ความจริง” อาจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ “ความงาม” ดังวาทะอมตะของ จอห์น คีตส์ (John Keats) กวีชาวอังกฤษ :-

    “ความงดงามคือความจริงสิ่งที่แท้
     ความจริงนั้นงามแน่แม้ไม่เห็น
     โลกสอนเจ้าเท่านี้ทุกเช้าเย็น
     และนั่นเป็นสิ่งเดียวที่ต้องรู้”


(Beauty is truth, truth beauty, – that is all Ye know on earth, and all ye need to know.)

นักวิทยาศาสตร์และศิลปิน อาจมีสิ่งที่เหมือนกัน มากกว่าความแตกต่างผิวเผินที่สื่อโดย “เส้นแบ่ง” ที่ซ่อนอยู่ภายใต้นิยามของคำสองคำนี้

"ศิลปะและวิทยาศาสตร์ เป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน"

นี่เป็นความเชื่อลึกๆ อันหนึ่ง เป็นกำแพงศรัทธาที่นับวันก็ยิ่งก่อตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ได้มีโอกาสอ่านความคิด สังเกตการทำงาน หรือพบปะพูดคุยกับศิลปิน และนักวิทยาศาสตร์ที่นับถือ เพราะรู้สึกว่าพวกเขาต่างได้แรงบันดาลใจจากสิ่งเดียวกัน คือความงดงามในธรรมชาติ

ต่างกันเพียงแค่ – ฝ่ายหนึ่งรับรู้ความงามด้วยอารมณ์ความรู้สึก แล้วถ่ายทอดออกมาเป็น “งานศิลปะ” ตามอารมณ์นั้น ในขณะที่อีกฝ่ายรับรู้ความงามด้วยการใช้เหตุผลวิเคราะห์ความเป็นไป แล้วถ่ายทอดออกมาเป็น “ความรู้” หรือทฤษฎี ตามกระบวนการใช้เหตุผล

การศึกษาวิเคราะห์ความเหมือนเหล่านี้ อาจทำให้เราเข้าใจทั้งวิทยาศาสตร์และศิลปะดีขึ้น และก็น่าคิดกว่าการจำแนกแจกแจงความแตกต่างด้วย เพราะความต่างนั้นใครๆ ก็รู้อยู่แล้ว

@@@@@@@

วันนี้เริ่มกันที่ “ความเป็นศิลปะ” อย่างหนึ่งในวิทยาศาสตร์ก่อน

หนึ่งในวาทะอมตะของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ คือ “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” (imagination is more important than knowledge)

ประโยคนี้ไม่ได้หมายความว่า กระบวนการทำงานของวิทยาศาสตร์นั้น ไม่สำคัญเท่ากับจินตนาการของมนุษย์ และไอน์สไตน์ก็ไม่ได้เสนอว่า ทุกคนควรใช้เวลาจินตนาการเพ้อฝันเรื่อยเปื่อย มากกว่าหาความรู้อย่างมีระบบแบบแผน ความเข้าใจผิดแบบนี้เกิดขึ้นง่าย ถ้าเราคิดว่า “จินตนาการ” และ “ความรู้” เป็นสองสิ่งที่ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างกันเลย

แต่ในความเป็นจริง จินตนาการและความรู้เกี่ยวโยงกันอย่างลึกซึ้งในวิทยาศาสตร์ ไอน์สไตน์และนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ โดยเฉพาะผู้ศึกษาวิจัยปรากฏการณ์ที่ยังไม่มีใครอธิบายได้ เช่น การทำงานของสมองมนุษย์ ล้วนเข้าใจดีว่า จินตนาการเป็นองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้ในกระบวนการทำงานของนักวิทยาศาสตร์ ที่นำไปสู่ความรู้ และความเข้าใจใหม่ๆ เกี่ยวกับธรรมชาติ

เพราะแทบเป็นไปไม่ได้เลย ที่เราจะค้นพบความรู้ใหม่โดยไม่อาศัยจินตนาการ เพราะสิ่งที่เราไม่รู้นั้น มีตัวแปรและความเป็นไปได้มากมายเป็นพันเป็นหมื่น เกินกว่่่าลำพังเหตุผล และกระบวนการค้นคว้าทดลองในสาขาวิชาใดวิชาหนึ่ง จะรวบรวม วิเคราะห์ สังเคราะห์ออกมาเป็น “ความรู้” ได้

และที่ร้ายไปกว่านั้น โดยมากเรามักไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ความจริงที่เรายังไม่รู้นั้น มีหน้าตาขอบเขตอย่างไร เหมือนกับนักสำรวจที่กำลังเดินสำรวจถ้ำมืด ที่ไม่มีใครเคยเข้ามาก่อน

ตราบใดที่นักสำรวจยังหาทางออกไม่เจอ เขาก็ไม่สามารถระบุอย่างแน่ชัดว่า ถ้ำนี้มีขนาดกว้างยาวเท่าไหร่ และไปโผล่ที่ไหน ต้องอาศัยการคาดเดาอย่างมีเหตุผล สัญชาติญาณ และจินตนาการ ผสมรวมกันในการตัดสินใจเลือกว่าจะเดินทางไหน ทุกครั้งที่เจอทางสองแพร่งหรือมากกว่า ท่ามกลางหลืบถ้ำอันสลับซับซ้อน ระหว่างสำรวจถ้ำ นักสำรวจบันทึกเส้นทางที่เขาใช้ลงในแผนที่ และทาสีหินไปเรื่อยๆ จนเจอทางออก

นักสำรวจอาจเจอทางออกอีกทาง ที่ไม่เคยคาดคิดว่ามีอยู่ก็ได้ (เหมือนยาไวอะกร้า (Viagra) ที่โด่งดัง เกิดขึ้นหลังจากที่นักวิจัยประสบความล้มเหลวในการคิดค้นยาชื่อซิลเด็นนาฟิล (sildennafil) ซึ่งตั้งใจผลิตเพื่อรักษาโรคหัวใจ แต่กลับพบว่ายานี้สามารถรักษาโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศของผู้ชายได้)

งานของนักสำรวจ ทำให้คนอื่นๆ สามารถมาเที่ยวชมถ้ำนี้ได้ โดยอาศัยแผนที่ และสีที่เขาทาไว้ตามหิน โดยไม่ต้องกลัวว่าจะหลงทาง


@@@@@@@

จอห์น ดูวี่ย์ (John Dewey) นักปรัชญาชาวอเมริกัน กล่าวว่า “การค้นพบในวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ทุกอย่าง เกิดจากจินตนาการที่แรงกล้ากว่าเดิม” (Every great advance in science has issued from a new audacity of imagination.)

เมื่อนักวิทยาศาสตร์เกิดจินตนาการ เขาต้องสามารถ “โยง” จินตนาการนั้น ให้เชื่อมต่อกับความรู้เดิมที่มีอยู่ ด้วยหลักเหตุผล เพื่อให้เกิดการค้นพบ เป็น “ความรู้” ขึ้นมาได้

ไม่อย่างนั้นความรู้ก็จะไม่มีวันเกิดจากจินตนาการ เหมือนคนธรรมดาที่ถูกลูกแอปเปิ้ลตกใส่หัว ก็อาจจินตนาการว่านี่เป็นการลงโทษจากพระเจ้า เพราะไม่มีความรู้ด้านคณิตศาสตร์ กลศาสตร์ และไม่ได้กำลังคิดเรื่องแรงโน้มถ่วง เหมือนเซอร์ไอแซ็ค นิวตัน

ถ้าเขียนเป็นสมการ อาจได้ประมาณนี้ :-

ความบังเอิญ + ความรู้เดิม + จินตนาการ = การคาดเดาอย่างชาญฉลาด (intelligent guess) –> การค้นพบทางปัญญา (intellectual discovery)

การค้นพบทางปัญญา + บทพิสูจน์จากการทดลอง หรือคณิตศาสตร์ = ความรู้ที่พิสูจน์ได้

ฝรั่งเรียกการค้นพบทางปัญญาที่มีความบังเอิญเป็นองค์ประกอบที่เด่นที่สุดว่า “serendipity” (ซึ่งเป็นคำที่ชาวอังกฤษทั่วประเทศ โหวตให้เป็นคำที่พวกเขาชอบที่สุด เมื่อปี 2543)




จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ เพราะหากเราไร้จินตนาการ องค์ความรู้ของเราก็จะถูกแช่แข็ง หยุดนิ่งอยู่กับที่ตลอดไป เราจะไม่สามารถค้นพบสัจธรรมใหม่ๆ ในธรรมชาติ ที่จะช่วยเพิ่มพูนและปรับเปลี่ยนองค์ความรู้ของเรา ให้ครบถ้วน ถูกต้อง และถ่องแท้กว่าเดิม

ที่สำคัญที่สุดคือ นักวิทยาศาสตร์ที่ไร้จินตนาการ จะไม่สามารถคิดอย่าง “บูรณาการ” (integrated thinking) คือนำความรู้จากนอกสาขาวิชาของตน มาประยุกต์ใช้ หรือวิเคราะห์ประเด็นต่างๆ ในสาขาวิชาที่ตัวเองถนัด โดยเฉพาะระหว่างกลุ่ม “วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ” เช่น คณิตศาสตร์ ชีววิทยา เคมี และฟิสิกส์ และกลุ่ม “วิทยาศาสตร์สังคม” เช่น มนุษยศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และการเมือง

เพราะความรู้ และการค้นพบใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นในปัจจุบัน มักมาจากการวิเคราะห์สังเคราะห์ และประยุกต์ใช้ความรู้เดิมแบบบูรณาการ เช่น ใช้ความรู้ทางการแพทย์เกี่ยวกับการทำงานของสมองมนุษย์ มาตีความพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้เงินในเศรษฐศาสตร์ ใช้โมเดลทางฟิสิกส์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการวิวัฒนาการตามธรรมชาติระบบเครือข่าย มาอธิบายโครงสร้างสังคมเมืองยุคใหม่ ใช้ความรู้ด้านธรณีวิทยาและชีววิทยา มาอธิบายประวัติศาสตร์มนุษยชาติในระดับทวีป ฯลฯ

จินตนาการจึงเปรียบเสมือน “หัวเทียน” จุดประกายให้วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าอยู่เสมอ เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในความพยายามที่จะหลอมรวมองค์ความรู้ด้านต่างๆ ของเรา เข้าเป็นองค์ความรู้ที่ยิ่งใหญ่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

เมื่อผนวกกับฐานความรู้เดิม จินตนาการทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถ “คาดเดาอย่างชาญฉลาด” (intelligent guess) ได้ ซึ่งการคาดเดาเหล่านี้ เมื่อมีหลักฐานสนับสนุนเพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นด้านทฤษฎีหรือจากการทดลอง ก็จะกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับว่าเป็นความรู้


@@@@@@@

บทความต่อไปนี้ยกตัวอย่างของการคาดเดาอย่างชาญฉลาดในวิทยาศาสตร์ ได้อย่างน่าสนใจและน่าคิด :-

การคาดเดาอย่างชาญฉลาด เป็นแรงขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์ จริงหรือ.?
(Is science driven by inspired guesswork?) เอียน แม็คยวน (Ian McEwan)

บทพิสูจน์ ไม่ว่าจะในวิทยาศาสตร์หรือชีวิตจริง เป็นไอเดียที่ยืดหยุ่นได้ เพราะได้รับผลกระทบจากความอ่อนแอนานานัปการ และความช่างคิดช่างฝันของมนุษย์

ตราบเวลาหลายร้อยปี ปัญญาชนผู้ปราดเปรื่องที่นับถือคริสต์หลายคนใช้หลักเหตุผล “พิสูจน์” ว่าพระเจ้ามีจริง แม้พวกเขารู้ตัวดีว่าไม่สามารถยอมรับข้อสรุปอย่างอื่นได้ [เพราะเป็นความเชื่อสูงสุดในศาสนาคริสต์]

[ในตำนานกรีก] เมื่อเพเนโลปี (Penelope) ไม่แน่ใจว่า ชายแปลกหน้าที่ปรากฏตัวในเมืองอิธาก้า (Ithaca) นั้น คือยูลิสซีส (Ulysses) สามีของเธอผู้หายสาบสูญไปนานจริงหรือไม่ เธอคิดค้นวิธีพิสูจน์ซึ่งอาศัยการสร้างเตียงที่ใช้ในคืนแต่งงาน วิธีนี้อาจทำให้คนส่วนใหญ่พอใจ แต่ไม่ใช่นักตรรกวิทยาส่วนใหญ่

แม่คนหนึ่งที่ถูกศาลตัดสินผิดพลาด สั่งให้จำคุกในข้อหาฆาตกรรมลูกตัวเอง โดยศาลอาศัยความเห็นของแพทย์เด็กผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งเป็นพยานหลักฐาน ตั้งคำถามอย่างมีเหตุผลว่า ผู้พิพากษาศรัทธาเกินไปหรือไม่ ในบทพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับโรคตายเฉียบพลันในเด็ก

นักคณิตศาสตร์น้อยอายุ 10 ขวบทุกคนที่ตื่นเต้นดีใจกับบทพิสูจน์ว่า มุมสามเหลี่ยมบวกกันได้ 180 องศาเสมอ จะค้นพบก่อนเขาได้โกนหนวดครั้งแรกว่า ความข้อนี้ไม่เป็นจริงเสมอไปในเรขาคณิตระบบอื่น [เช่น มุมของสามเหลี่ยมมุมฉากที่วาดบนผิวของลูกบอล จะบวกกันได้ 270 องศาดังรูป]

มีน้อยคนบนโลกนี้ที่รู้วิธีสาธิตว่า สองบวกสองเป็นสี่ในทุกๆ กรณี แต่เราเชื่อว่านั่นคือความจริง เว้นเสียแต่ว่าเราจะโชคร้ายที่อยู่ภายใต้ระบอบการเมืองที่บังคับให้เราเชื่อในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นิยายของจอร์จ ออร์เวลล์ สตาลิน เหมาเจ๋อตุง พอลพต และผู้นำอื่นๆ อีกมากมายแสดงให้เราเห็นว่า ผลลัพธ์อาจเท่ากับห้า




การหาวิธีพิสูจน์อย่างแน่ชัดว่า อะไรต่างๆ เป็นความจริงแท้แน่นอนนั้น เป็นเรื่องยากเย็นจนน่าแปลกใจ มันยากมากที่จะจำแนกแยกแยะสมมุติฐานของเราที่ติดตัวมาแต่กำเนิด นอกจากนี้ การท้าทายภูมิปัญญาของผู้อาวุโส หรือประเพณีที่สืบทอดกันมานาน ก็เคยเป็นการกระทำที่อันตราย ในอดีต ไม่ค่อยมีใครกล้ายั่วยุทวยเทพ หรืออย่างน้อยก็ผู้แทนของพวกเขาบนโลก

บางที นี่อาจเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ ยิ่งใหญ่กว่าล้อ หรือเกษตรกรรม: ระบบความคิดที่เราเรียกว่าวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีพัฒนาการอันเชื่องช้าแต่ประณีต มีการพิสูจน์หักล้าง (disproof) เป็นหัวใจ และการตรวจแก้ตัวเอง (self-correction) เป็นกระบวนการสำคัญ

คนจำนวนมากในโลก เพิ่งเริ่มลบล้างความเชื่องมงายในอิทธิฤทธิ์และอำนาจเหนือธรรมชาติ และหันมาสนับสนุนภารกิจทางความคิดอันกว้างขวาง ที่ทำงานด้วยการเพิ่มพูน โต้เถียง ขัดเกลา และเผชิญหน้าการท้าทายแบบถอนรากถอนโคนเป็นครั้งคราว เมื่อไม่ถึงครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา

ไม่มีคัมภีร์ใดๆ ที่ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป – จริงๆ แล้ว สิ่งที่อาจนับเป็นการดูหมิ่นศาสนาอย่างหนึ่ง ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นประโยชน์ แน่นอน การสังเกตและบทพิสูจน์จากประสบการณ์หรือการทดลองนั้นสำคัญอย่างยิ่ง แต่วิทยาศาสตร์บางประเภทไม่มีอะไรมากไปกว่าอรรถาธิบายและการจัดหมวดหมู่ ไอเดียบางอย่างแพร่หลายเป็นที่ยอมรับ ไม่ใช่เพราะมันได้รับการพิสูจน์ แต่เพราะมันสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่เรารู้แล้วในหลายสาขาวิชา หรือเพราะมันสามารถทำนายหรืออธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ได้ หรือเพราะมันเป็นสิ่งที่ผู้นำทางความคิดที่มีอำนาจอุปถัมภ์เชื่อมั่น – เป็นเรื่องธรรมดาที่วิทยาศาสตร์มีตัวอย่างมากมายเรื่องความบอบบางของธรรมชาติมนุษย์

แต่ความทะเยอทะยานของคนหนุ่มสาว วิธีการโต้แย้ง และความตายที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ เป็นผู้กำกับดูแลอันทรงพลัง (ของวิทยาศาสตร์) นักวิจารณ์ผู้หนึ่งกล่าวว่า วิทยาศาสตร์เดินได้ดัวยงานศพ


@@@@@@@

วิทยาศาสตร์บางอย่างดูเป็นความจริงเพราะมีความสละสลวยงดงาม – ใช้สูตรที่ประหยัดเครื่องหมายถ้อยคำ แต่มีอำนาจอธิบายกว้างไกล แม้ทำความเดือดดาลให้กับสถาบันศาสนาคริสต์ ทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติของชาร์ลส์ ดาร์วิน (theory of natural selection) ได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็ว อย่างน้อยก็ในบรรทัดฐานของแวดวงปัญญาชนสมัยวิคตอเรีย

บทพิสูจน์ทฤษฎีนี้ของดาร์วินเต็มไปด้วยตัวอย่างที่เขาจัดวางลำดับอย่างละเอียดลออ ไอเดียที่ฟังดูไม่ซับซ้อนนี้สามารถอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ได้หลากหลายกรณีและสภาวะแวดล้อม นี่เป็นความจริงที่ประทับใจพระในคริสต์ศาสนานิกายแองกลิแคนหลายรูปที่ทำงานในชนบท ให้อุทิศเวลาว่างที่พวกเขามีเหลือหลาย ให้กับการศึกษาประวัติศาสตร์ธรรมชาติ

คำอธิบายของไอน์สไตน์ในทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของเขาว่า แรงโน้มถ่วงเป็นผลลัพธ์จากส่วนโค้งของ “กาล-อวกาศ” (space-time curvature) ที่เกิดจากมวลและพลังงานที่อยู่ภายในของวัตถุนั้นๆ ไม่ใช่แรงลึกลับที่ดึงดูดวัตถุเข้าด้วยกัน ถูกนำ “ขึ้นหิ้งบูชา” บรรจุเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือเรียนทั่วโลก ภายในไม่กี่ปีหลังจากที่เขาประกาศทฤษฎีนี้

สตีเว่น ไวน์เบิร์ก (Steven Weinberg) เล่าว่า นับจากปี พ.ศ. 2462 เป็นต้นมา นักดาราศาสตร์หลายคณะพยายามทดสอบทฤษฎีนี้ ด้วยการวัดระดับความหักเหของแสงดาว ที่เกิดจากดวงอาทิตย์ช่วงสุริยุปราคา แต่โลกต้องรอการประดิษฐ์กล้องดูดาวที่วัดคลื่นวิทยุ ประมาณปี 2500 ก่อน จึงจะได้ค่าวัดที่เที่ยงตรงพอที่จะใช้เป็นบทพิสูจน์อย่างแท้จริง

ในช่วงเวลา 40 ปี (ก่อนที่จะได้รับการพิสูจน์ด้วยข้อมูลว่าเป็นจริง) คนส่วนใหญ่เชื่อมั่นในทฤษฎีของไอน์สไตน์เพราะมันเป็น “ความงดงามที่มีเสน่ห์” ในคำกล่าวของไวน์เบิร์ก




บทบาทของจินตนาการในวิทยาศาสตร์ ได้รับการกล่าวอย่างแพร่หลาย มีเรื่องเล่าจำนวนมากเกี่ยวกับสังหรณ์ใจที่กลายเป็นจริง ความสัมพันธ์ที่นึกออกทันควัน และเบาะแสที่ได้จากเหตุการณ์ปกติ (คงไม่มีใครลืมว่าเคคูเล่ (Kekulé) ค้นพบโครงสร้างของเบนซินด้วยแรงบันดาลใจจากงูกินหางที่เขาเห็นในฝัน) และชัยชนะของความงดงามเหนือความจริง ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว

เจมส์ วัตสัน (James Watson) [หนึ่งในทีมผู้ค้นพบดีเอ็นเอ] เล่าว่า เมื่อโรซาลิน แฟรงคลิน (Rosalind Franklin) ยืนมองโมเดลสุดท้ายของโมเลกุลดีเอ็นเอ ที่สร้างขึ้นตามทฤษฎี เธอ “ยอมรับว่า โครงสร้างนี้สวยงามเกินกว่าจะไม่เป็นจริงได้”

อย่างไรก็ตาม พวกเราชาวบ้านส่วนใหญ่ยังเชื่อว่า นักวิทยาศาสตร์ไม่เชื่อในสิ่งที่พวกเขาพิสูจน์ไม่ได้ อย่างน้อยที่สุด พวกเราก็เรียกร้องให้พวกเขาใช้เกณฑ์การพิสูจน์หลักฐาน ที่สูงกว่านักวิจารณ์วรรณกรรม นักข่าว หรือนักบวช

จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่สาธารณชนให้ความสนใจมากมาย กับคำตอบของนักวิทยาศาสตร์ ต่อคำถามว่า..
    “อะไรที่คุณเชื่อว่าเป็นจริง แม้คุณจะพิสูจน์ไม่ได้.?”
     ที่ตั้งโดยจอห์น บร็อคแมน (John Brockman) เจ้าของเว็บไซด์ The Edge

ดูเหมือนเราจะเจอข้อขัดแย้ง (paradox) ที่น่าคิด...
     ปัญญาชนที่เดิมพันความน่าเชื่อถือทางวิชาการของตนบนบทพิสูจน์อันเคร่งครัด กำลังต่อคิวประกาศความเชื่อที่พิสูจน์ไม่ได้ของเขา ความแคลงใจมิใช่เพื่อนรักของวิทยาศาสตร์หรอกหรือ.? เหล่าชายหญิงที่ตำหนิพวกเราว่า ยึดติดในความเชื่องมงายที่ไม่สามารถทดสอบได้ซ้ำๆ ในห้องทดลอง กำลังคุกเข่าลงประกาศศรัทธาของพวกเขา

แต่ข้อขัดแย้งนี้จริงๆ แล้วไม่ได้เป็นข้อขัดแย้งอะไรเลย เพราะธรรมชาติของวิทยาศาสตร์นั้นเป็นอย่างที่นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล ลีออง เลเดอร์แมน (Leon Lederman) ว่าไว้ : “การเชื่ออะไรสักอย่าง ทั้งๆ ที่รู้ว่าเรา(ยัง)ไม่สามารถพิสูจน์มันได้นั้น คือหัวใจของฟิสิกส์”


@@@@@@@

ความเชื่อของนักวิทยาศาสตร์ในสิ่งที่พวกเขาพิสูจน์ไม่ได้นั้น ไม่ได้เป็นข้อต่อต้านวิทยาศาสตร์ ความเชื่อเหล่านี้เป็นเพียงการรำพึงรำพันของนักวิทยาศาสตร์อาชีพ ในยามที่พวกเขาว่างจากงาน ความคิดเหล่านี้ ซึ่งครอบคลุมสาขาวิชาหลากหลาย แสดงให้เห็นสปิริตสูงสุดของจิตสำนึกทางวิทยาศาสตร์ – การคาดเดาอย่างมีเหตุผลที่เปี่ยมไปด้วยความใจกว้าง สร้างสรรค์ และกระตุ้นต่อมคิด

คำตอบของนักวิทยาศาสตร์หลายคนแสดงให้เห็นว่า พวกเขาเพลิดเพลินกับความกระหายใฝ่รู้ พิศวงหลงใหลในโลกของสิ่งมีชีวิต และปราศจากชีวิต บางที บทกวีอาจเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับความรู้สึกนี้ที่สุด

ลักษณะอีกอย่างของคำตอบที่น่าสนใจคือ สิ่งที่ อี.โอ. วิลสัน (E.O. Wilson) เรียกว่า “การหลอมรวม” (consilience) เส้นแบ่งเขตระหว่างวิชาเฉพาะด้านต่างๆ เริ่มแตกสลายลง เมื่อนักวิทยาศาสตร์พบว่าพวกเขาต้องใช้ความรู้ ความเข้าใจ หรือกระบวนการจากสาขาวิชาอื่น ที่ใกล้เคียงกันหรือเป็นประโยชน์ต่อสาขาของตัวเอง

ความปรารถนาสูงสุดใน “ยุคแห่งเหตุผล” (Age of Reason หรือ Age of Enlightenment คือศตวรรษที่ 18 ซึ่งเป็นยุคเฟื่องฟูของวิทยาศาสตร์หลายแขนง) คือการมีองค์ความรู้รวมที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้น เขยิบเข้ามาใกล้อีกนิดเมื่อนักชีววิทยาและนักเศรษฐศาสตร์ นำความรู้ของกันและกันมาประยุกต์ใช้ นักวิทยาศาสตร์สมอง (neuro-scientist) ต้องการนักคณิตศาสตร์ ในขณะที่นักชีววิทยาโมเลกุล ล่วงล้ำเข้าไปในอาณาเขตที่ไม่เคยถูกตีกรอบอย่างชัดเจน ของนักเคมีและนักฟิสิกส์ แม้กระทั่งนักดาราศาสตร์ก็ยังใช้ทฤษฎีวิวัฒนาการในการทำงาน และแน่นอน ทุกคนต้องใช้คอมพิวเตอร์ทำการคำนวณที่ซับซ้อน

ในการสื่อสารกับเพื่อนนักวิทยาศาสตร์ต่างสาขา นักวิทยาศาสตร์จำต้องทิ้งศัพท์แสงเฉพาะด้านของพวกเขา และหันมาพูดภาษาที่ทุกคนเข้าใจ คือภาษาอังกฤษธรรมดา แน่นอน ผู้ที่ได้รับประโยชน์โดยไม่ตั้งใจจากปรากฏการณ์นี้ คือชาวบ้านอย่างเราๆ ท่านๆ ที่สามารถติดตามการสนทนาต่างสาขาเหล่านี้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องคุ้นเคยกับศัพท์แสงต่างๆ พวกเราเป็นส่วนหนึ่งของการอภิปรายอันต่อเนื่องและน่าตื่นเต้น ที่เปิดให้ทุกคนมีส่วนร่วมแสดงความเห็น







ขอขอบคุณ :-
บทความ : https://fringer.co/จินตนาการสำคัญกว่าความ/  | Jan 8, 2006 Uncategorized
ภาพจาก : https://stanglibrary.wordpress.com, FB สำนักข่าวไทย , https://st4.depositphotos.com , https://us-fbcloud.net
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 23, 2024, 09:05:45 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



พลังของจินตนาการ
โดย พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ (สมชาย ฐานวุฑฺโฒ)
วารสารอยู่ในบุญฉบับที่ ๑๗๘ เดือนตุลาคม ๒๕๖๐




 :96: :96: :96:

เหตุใดอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ จึงบอกว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้.?
     
ก่อนอื่นต้องดูว่า จินตนาการคืออะไรต่างกับความคิดที่มีเหตุผลอย่างไร ถ้าเราคิดอย่างมีเหตุผล คิดบนฐานความรู้เดิมว่ามีสิ่งที่ค้นพบแล้ว พิสูจน์ได้ แล้วก็ต่อยอดขึ้นไปนั้นคือการคิดอย่างมีเหตุมีผล แต่จินตนาการเป็นการคิดกึ่ง ๆ คิดฝัน โดยไม่ต้องอิงถึงฐานความรู้ปัจจุบัน เช่น คนสมัยก่อนคิดว่า วันหนึ่งจะไปบินบนฟ้าเหมือนนก ก็เป็นการคิดฝันที่ไม่ได้อิงจากฐานข้อมูลปัจจุบัน เพราะในยุคนั้นยังไม่มีเครื่องบิน แล้วคนจะไปบินบนฟ้าได้อย่างไรการคิดกึ่ง ๆ นึกฝันไม่ถูกจำกัดด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในขณะนั้นคือจินตนาการ

ถามว่าแล้วทำไมไอน์สไตน์จึงบอกว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ก็เพราะว่าการที่เราจะค้นพบอะไรใหม่ ๆ ต้องอาศัยจินตนาการถ้าคิดแบบไม่มีจินตนาการ ต้องคิดจากสิ่งที่เรารู้แล้วในปัจจุบัน แล้วก็พัฒนาต่อไปอีกนิดหน่อย แต่ถ้ามีจินตนาการจะสามารถทะลุกรอบไปอีกมิติได้เลย

การที่ไอน์สไตน์สรุปอย่างนี้ เพราะว่าเขาสรุปจากประสบการณ์ในชีวิตจริง ทฤษฎีที่ดังที่สุดของเขาคือทฤษฎีสัมพัทธภาพ ก็เกิดขึ้นจากจินตนาการ ไอน์สไตน์ค้นพบทฤษฎีนี้ตอนอายุ ๒๕ ปี ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้เก่งกาจอะไรมากมาย ถ้าเป็นคนยุคปัจจุบันยังไม่จบปริญญาเอกเลย แต่ไอน์สไตน์ประกาศทฤษฎีสัมพัทธภาพแล้ว ซึ่งแสดงว่า เขาไม่ได้คิดตอนอายุ ๒๕ ปี จะประกาศออกมาเป็นที่ยอมรับทั่วโลกได้ต้องคิดมาก่อนหน้านั้นแล้วอาจจะคิดตอนอายุ ๒๒-๒๓ ปีด้วยซ้ำไป

ถามว่าเขาคิดได้อย่างไร คิดได้ด้วยจินตนาการ ถ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ค่อย ๆ ใช้ความคิดใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมาจะคิดไม่ออกเลยเพราะสิ่งที่เขาคิดมันหลุดจากสามัญสำนึกของคนทั่วไป ความคิดเรื่อง “มวลสารขยายได้” หลุดจากสามัญสำนึกของคนทั่วไปไหม ถ้ามีใครบอกว่าทิชชูชิ้นนี้มีมวลสารมากกว่าโลกทั้งใบหรือดวงอาทิตย์ทั้งดวง หลุดกรอบไหมหลุดนะ

ถ้าใช้ความคิดอย่างนักวิทยาศาสตร์ทั่วไปที่ค่อย ๆ สั่งสมประสบการณ์ไม่มีทางคิดออก แต่ไอน์สไตน์คิดสิ่งนี้ออกใน ๑ วัน เพราะใช้จินตนาการที่เกิดขึ้นขณะที่นั่งใจสบาย ๆ พอใจโปร่ง ๆ คล้ายเป็นสมาธิ มันก็แวบขึ้นมาในใจว่า ถ้าหากไม่มีอะไรเร็วเหนือแสงจะเกิดอะไรขึ้น นักวิทยาศาสตร์รู้แล้วว่าแสงเดินทางเร็วมาก ด้วยความเร็วประมาณ
๑๘๖,๐๐๐ ไมล์ต่อวินาที วินาทีเดียววิ่งรอบโลกได้หลายรอบ

พอรู้ว่าแสงเดินทางได้เร็วขนาดนั้น เขาก็จินตนาการว่า ถ้าสมมุติไม่มีอะไรเร็วเหนือแสง แสงเร็วที่สุดจะเป็นอย่างไร แล้วก็อาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาคำนวณดูเล่น ๆ ว่าจะเป็นอย่างไร พอคำนวณเสร็จ ก็เอาไปทดลองดู ปรากฏว่าเป็นจริง เลยกลายเป็นที่มาของทฤษฎีสัมพัทธภาพ ถ้าคิดอย่างมีเหตุมีผลไม่มีทางคิดออก แต่ทฤษฎีที่ยิ่งใหญ่นี้เกิดขึ้นเพราะจินตนาการที่หลุดกรอบ

หลาย ๆ เรื่องที่มนุษย์ทำสำเร็จก็เพราะจินตนาการ เช่น จินตนาการว่าวันหนึ่งเราจะบินบนฟ้าได้ ก็เลยเกิดเป็นเครื่องบิน วันหนึ่งเราจะไปเดินบนดวงจันทร์ ก็สร้างยานอวกาศขึ้นมา แล้วไปเดินบนดวงจันทร์ได้ การค้นพบใหม่ ๆ ที่สำคัญ ๆ มากมายเกิดขึ้นเพราะจินตนาการ ไอน์สไตน์จึงสรุปว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้


@@@@@@@

จะเปรียบได้หรือไม่ว่า ความรู้ คือ อดีต ส่วนจินตนาการ คือ อนาคต.?

อยากให้เปรียบว่า ความรู้เป็นพื้นฐานจินตนาการคือการต่อยอดสู่อนาคต เพราะถ้าจินตนาการแบบไม่มีความรู้ ก็คิดอะไรไม่ออกถ้าไอน์สไตน์ไม่มีความรู้เรื่องกฎของนิวตัน สิ่งที่เขาคิดก็เป็นความเพ้อฝันเฉย ๆ ถ้าเรามีความรู้เป็นพื้นฐานที่หนักแน่น เมื่อจินตนาการแล้ว เราก็สามารถใช้ความรู้นั้นเป็นฐานต่อยอดก้าวไปสู่จินตนาการนั้นได้ เพราะฉะนั้นความรู้ที่มีอยู่ในปัจจุบันคือพื้นฐาน แต่จะค้นพบอะไรใหม่ ๆ ที่ยิ่งใหญ่ได้ ต้องอาศัยจินตนาการจินตนาการคืออนาคตที่ไร้ขีดจำกัด

มนุษย์ใช้ความคิดจากสมองในการจินตนาการ หรือใช้ใจ.?

ต้องเข้าใจก่อนว่า สมองเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย เป็นเครื่องมือของใจ สมองเหมือนคอมพิวเตอร์ ใจเป็นผู้สั่งการเหมือน user เพราะฉะนั้นอย่าไปคิดว่า เราใช้สมองซีกขวาในเรื่องจินตนาการ สมองซีกซ้ายในเรื่องเหตุผลและความจำ แสดงว่าสมองเป็นตัวจินตนาการไม่ใช่นะ เหมือนคอมพิวเตอร์ที่เราใช้โปรแกรมนี้เกี่ยวกับเรื่องคำนวณ แต่เวลาทำ Photoshop สร้างรูปต้องใช้อีกโปรแกรมหนึ่ง เราก็คิดว่าคอมพิวเตอร์เป็นตัวสร้างรูปและเป็นตัวคำนวณใช่ไหม ไม่ใช่ คนที่สร้างรูปตัวจริงคือ user โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เราใช้แต่ละโปรแกรมเป็นแค่เครื่องมือเท่านั้น ใจเป็นผู้สั่งทุกอย่างสมองเป็นแค่เครื่องมือให้ใจใช้





เด็กสามารถจินตนาการได้ดี แต่กิจกรรมส่วนใหญ่ของเด็ก คือ การอ่านการ์ตูนและเล่นเกม ถ้าห้ามเด็กอ่านการ์ตูนหรือเล่นเกม จะไปปิดกั้นจินตนาการ หรือไม่.?

ถามว่าทำไมเด็กถึงจินตนาการได้ดี เพราะว่ากรอบที่ร้อยรัดเขายังน้อย ความรู้ยังไม่มาก ที่เขาใช้จินตนาการเป็นหลักเพราะเขามีความคิดฝันเยอะ เวลาอ่านการ์ตูน ก็จินตนาการคิดฝันไป หรือถ้าได้มุดท่อไปนั่นไปนี่ก็ชอบ รู้สึกว่ามีการผจญภัย ลึกลับ หรือถ้ามืด ๆ หน่อยก็กลัวผี นั้นคือโลกของเด็กซึ่งฐานความรู้ยังแคบ เลยใช้จินตนาการเป็นหลักพอโตขึ้น เริ่มรู้อะไรมากขึ้น จินตนาการเริ่มถูกจำกัดกรอบ พอจะคิดอะไรที่รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ หรือที่ขัดแย้งกับความรู้ที่เคยเรียนมา ก็ไม่คิด ทำให้จินตนาการแคบลง

แต่ถ้าคนไหนรู้หลักและฝึกการสมดุลได้ดี คือ มีความรู้แต่ไม่จำกัดจินตนาการ ถ้าอย่างนี้ความรู้ที่เพิ่มขึ้นจะเป็นฐานหนุนให้จินตนาการนั้นเป็นจินตนาการที่สร้างสรรค์แล้วก็สามารถนำมาพิสูจน์ได้ว่าจินตนาการนั้น ๆ ทำจริงได้ไหม เอามาใช้ได้หรือเปล่าเพราะไม่ใช่ว่าทุกเรื่องจะจินตนาการได้ทั้งหมดความรู้จะเป็นฐานหนุนให้จินตนาการมีโอกาสนำมาใช้ให้เป็นจริงได้สูงขึ้น นี้คือความต่างระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่

พอเราเรียนรู้เยอะ ๆ แล้ว อย่าไปติดกรอบมาก อาตมามีเพื่อนคนหนึ่งเรียนแพทย์ด้วยกันอยทูี่จุฬาฯ เขาเป็นนักกีฬา มีคราวหนึ่งเล่นผิดท่า กล้ามเนื้อหลังยอก เวลาจะตีเทนนิสเงื้อตบไม่ได้ ตบแล้วปวดหลัง เส้นมันยึด อาตมารู้จักหมอนวดฝีมือดี นวดแล้วหายจริง คนที่คอตกหมอนกว่าจะหายบางทีเป็นอาทิตย์ ไปให้หมอนวดจับเส้นที่เก่ง ๆ จับแล้วหายคามือเลย อาตมาก็เลยบอกให้เขาไปหา

แต่เขาคิดว่าถ้ามีปัญหาเรื่องกระดูก เรื่องเส้น ต้องไปหาหมอกระดูกและข้อเท่านั้น ด้วยความที่ตัวเองเรียนแพทย์ จึงไปจำกัดกรอบตัวเองว่า แพทย์แผนปัจจุบันเท่านั้นที่เก่ง หมอนวด หมอฝังเข็ม ยาจีน ยาไทย ไม่เชื่อทั้งนั้น ผลสุดท้ายคือ หลังยอกต่อไป แต่ถ้าไปหาหมดนวดเก่ง ๆ จับเส้น เขาจะหายได้ทันทีเลย นี้คือข้อจำกัดของการมีความรู้เยอะ ถ้าหากไปยึดมั่นกับมันมากเกินไปจนกระทั่งปฏิเสธอย่างอื่นหมด จะกลายเป็นข้อเสียมากกว่า

ย้อนมาที่เด็ก เมื่อเรารู้แล้วว่า วัยเด็กเป็นวัยที่ความรู้ยังไม่มาก เขามีจินตนาการเยอะเพราะยังไม่ถูกครอบ เราควรจะส่งเสริมจินตนาการเด็กอย่างไร เรื่องการ์ตูนหรือเกมก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ถ้าการ์ตูนที่มีความรุนแรงหรือเกมรบราฆ่าฟันกันอย่างนี้ไม่ดี ต้องเป็นการ์ตูนที่สร้างสรรค์ สมัยโบราณที่ยังไม่มีการ์ตูน ผู้เฒ่าผู้แก่จะเล่านิทานชาดกให้เด็ก ๆฟัง เด็กฟังแล้วจะคิดตามไปด้วย รูปไม่มีก็ต้องใช้จินตนาการตามไปด้วย อย่างนี้ดี เพราะเนื้อหาสอนใจ เกมก็เหมือนกัน แทนที่จะไปเล่นเกมรุนแรงโหดร้าย ก็เล่นเกมตัวต่อให้เด็กจินตนาการช่วยกันคิด ช่วยกันต่อ อย่างนี้เป็นต้น อะไรที่เสริมจินตนาการเป็นสิ่งที่ดี แต่อะไรที่ทำให้เด็กคุ้นเคยกับความโหดร้าย หรือเรื่องที่ไม่ดี ก็ต้องหลีกเลี่ยง


@@@@@@@

มีวิธีแก้ไขหรือกระตุ้น คนที่ขาดจินตนาการ อย่างไรบ้าง.?

อย่างแรก อย่าไปยึดมั่นกับความรู้ที่เรามีในปัจจุบันมากเกินไป ให้รู้ว่าความรู้ในปัจจุบันก็คือ ความรู้ที่สั่งสมมา แต่เรายังต้องก้าวไปข้างหน้า มนุษย์เราเจริญมาได้ก็ด้วยจินตนาการ อย่างนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์เขาจะคิดฝันแบบหลุดกรอบไปเลย แล้วพบว่า ต่อมาที่ฝัน ๆ ไว้จำนวนไม่น้อยกลายเป็นจริงขึ้นมา เพราะอะไรรู้ไหม บางคนอาจจะนึกว่านักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์จินตนาการเก่งมากจริง ๆ แล้วให้เรารู้ว่าในโลกนี้ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งนั้น แล้วสิ่งที่วิทยาศาสตร์รู้ตอนนี้ก็ยังไม่ถึง ๑ เปอร์เซ็นต์ของกฎธรรมชาติที่มีอยู่เลย

ดังนั้นเมื่อมนุษย์จำนวนมากมีใจมุ่งในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยการชี้นำของนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ พวกเขาก็จะพยายามหาวิธีการให้มันเป็นจริงขึ้นมา พอใจจดจ่อเรื่องใดมาก ๆ เข้า ก็จะไปเหนี่ยวนำจนกระทั่งสุดท้ายพบวิธีทำให้เรื่องนั้นเป็นจริงขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นให้เรารู้เถิดว่า มนุษย์มีขีดความสามารถที่แทบจะเรียกว่าไร้ขีดจำกัด ทุกอย่างเป็นไปได้ถ้าเราตั้งใจจริง

เพราะฉะนั้น อย่าไปจำกัดกรอบตัวเองด้วยความคิดว่าเป็นไปไม่ได้ อย่าเอาความรู้ปัจจุบันมาครอบตัวเองจนกระทั่งไม่กล้าจะกระดิกออกไปนอกกรอบ ปฏิเสธทุกอย่างที่อยู่นอกกะลาว่าไม่จริง เพราะเห็นอยู่แค่ในกะลาโลกมีแค่ในกะลาเท่านั้น ใครติดกรอบความรู้ปัจจุบันก็ไม่ต่างจากกบในกะลา ถ้าออกนอกกะลาแล้วจะพบว่า ยังมีสิ่งที่เรายังไม่รู้อีกตั้งเยอะ และจะไปถึงได้ด้วยจินตนาการ แล้วก็ย้อนกลับมาเอาฐานความรู้ปัจจุบันไปพิสูจน์คิดค้นให้จินตนาการนั้นเป็นความจริง

ถ้าจะแก้คนที่ขาดจินตนาการ ต้องแก้ทัศนคติตรงนี้ก่อน พอแก้ทัศนคติได้ ก็ค่อย ๆ ฝึกจินตนาการ ลองขีดเขียนวาดรูป ลองฝึกใช้สมองซีกขวาบ้าง ไม่ใช่หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสองอย่างเดียว ให้อยู่กับเรื่องราวที่เป็นศิลปะบ้างแล้วก็นั่งสมาธิให้ใจนิ่ง ๆ ด้วย คนเราพอใจนิ่งจินตนาการจะยิ่งเกิด เพราะมันเป็นการเคลียร์ใจให้หลุดจากกรอบความคิดที่ถูกครอบงำโดยไม่รู้ตัว มนุษย์ปัจจุบันถูกครอบทั้งนั้น จะมากจะน้อย แม้คนที่มีจินตนาการดี ก็ถูกครอบ แต่ถูกครอบน้อยหน่อยเท่านั้นเอง การครอบไม่ได้มีแต่เรื่องวิทยาศาสตร์อย่างเดียว แม้เรื่องทางสังคมก็มี ตัวเราโตมาอย่างไร ถูกปลูกฝังมาอย่างไร ก็จะคิดอย่างนั้นโดยไม่รู้ตัว

คนที่ฉลาดคือ คนที่สามารถมองกรอบที่ครอบตัวเองเอาไว้ได้ แล้วสามารถหลุดกรอบออกมาได้ นั้นคือคนที่มีปัญญาและมีจินตนาการการนั่งสมาธิทำใจนิ่ง ๆ คือการเคลียร์กรอบทั้งหลายให้เกลี้ยงออกไปจากใจ จะทำให้ใจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วก็เป็นจินตนาการทางบวกด้วย






ขอขอบคุณ :-
บทความเรื่อง "พลังของจินตนาการ"
โดย พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ (สมชาย ฐานวุฑฺโฒ)
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๗๘ เดือนตุลาคม ๒๕๖๐
website : https://www.kalyanamitra.org/th/uniboon_detail.php?page=4086
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ