ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ไหว้เจ้า เผากระดาษ : เผาทำไม.? ทำความเข้าใจเรื่องเครื่องกระดาษจีน  (อ่าน 5257 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



ไหว้เจ้า เผากระดาษ : เผาทำไม.? ทำความเข้าใจเรื่องเครื่องกระดาษจีน (1)

“พวกไหว้เจ้า เผากระดาษ” คำนี้เข้าใจว่าเป็นเชิงเหยียดซึ่งมีชาวพุทธ “แท้” บางคนเอาไว้เสียดสีคนไทยเชื้อสายจีนที่ปฏิบัติตามขนบของเขาว่าเป็นพวกงมงาย ไร้สาระ ทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ใดๆ ไม่ว่าการไหว้เจ้าหรือการเผากระดาษเงินกระดาษทองทิ้งไปเปล่าๆ ปลี้ๆ

ทีนี้บางคนคงชอบใจคำนี้ว่าเหยียดได้เหยียดไป ฉันก็จะทำตามที่บรรพชนสอนมาให้ยิ่งกว่าเดิม เลยเกิดมีกลุ่ม “แก๊งไหว้เจ้าเผากระดาษ” ขึ้นในเฟซบุ๊ก ซึ่งผมก็ได้ไปแอบสังเกตการณ์ในกลุ่มนี้อยู่ด้วย สนุกดีครับ

อันที่จริง ในบรรดาพิธีกรรมของคนจีน สิ่งเด็กๆ ชอบอย่างหนึ่งคือการได้เผากระดาษเงินกระดาษทองนี่เอง ผู้ใหญ่ก็จะบอกเพียงว่าเผาส่งไปให้บรรพชนนะ ใครเผามากก็รวยมาก เด็กๆ ก็ยิ่งแย่งกันเผา ปีไหนมีของแปลกๆ ใหม่ๆ เช่น พวกแบงก์หน้าตาประหลาด ตั๋วเครื่องบิน เครดิตการ์ด ก็จะสนุกกันใหญ่ แต่ก็มิได้ถือเป็นจริงจังอะไร

ผมเองในวัยเด็กเคยเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า ในเมื่อร้านทำกระดาษเขาสามารถสร้างกระดาษแปลกๆ ใหม่ๆ ได้ ทำไมเราเองจะทำกระดาษแปลกใหม่ขึ้นมาเผาเองไม่ได้บ้าง ปริ๊นเตอร์ก็มี จะไม่ต้องไปเสียเงินให้เขาด้วย ทว่า ก็ยังไม่เคยลองทำดูครับ

ผมเล่าเรื่องนี้ให้อาจารย์นนท์หรือเต็กซือหูฟัง ท่านว่าตอนเด็กๆ ก็เคยลองทำกระดาษเงินเผาเองดู แต่พอลองโยนโป้ยเสี่ยงทายถามวิญญาณบรรพชนว่าใช้ได้ไหม ปรากฏว่าไม่ขึ้นครับ เป็นอันว่ากระดาษทำเองนั้นใช้ไม่ได้

@@@@@@@

อ้าว แล้วทีทำไมกระดาษจากโรงเครื่องกระดาษหรือร้าน บรรพชนถึงได้รับล่ะ

อาจารย์นนท์บอกว่า ก็เพราะโรงทำเครื่องกระดาษตามขนบแล้วจะต้องมีพิธีกรรมบางอย่างเพื่อให้กระดาษนั้นสามารถใช้ในปรโลกได้ตามความเชื่อ ทำนองเดียวกับเปิดโรงพิมพ์ธนบัตร และต้องมีการออกตราประทับบางอย่างเพื่อใช้ในเชิงพิธีกรรม

ผมไม่แน่ใจว่าการทำโรงกระดาษเช่นนี้ต้องมี “ข้อแลกเปลี่ยน” อะไรหรือไม่ เพราะเรื่องทางไสยศาสตร์นี้บางครั้งก็มีอะไรที่ต้องได้มาแลกไปอยู่เหมือนกันครับ

ดังนั้น โรงกระดาษโดยมากจึงเป็นเรื่องสืบทอดกันในครอบครัว ไม่ค่อยเห็นมีใครหน้าใหม่ทำกันสักเท่าใด ที่จริงเรื่องกระดาษเงินกระดาษทองนับว่าเป็นความรู้ทางวัฒนธรรมจีนที่ผมอยากเรียนมากอันหนึ่ง มันช่างมีความสนุกและซับซ้อนในตัวมันเองอย่างยิ่ง ไว้ผมเรียนรู้เรื่องนี้อย่างเข้มข้นจริงจังแล้วจะมาแบ่งปันกับท่านผู้อ่านครับ

ส่วนบทความนี้ขอเล่าเท่าที่พอจะทราบไปก่อน มีสิ่งใดผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนโปรดอภัย และจะขอเล่าจากที่ใกล้ตัวคือมีฐานจากวัฒนธรรมฮกเกี้ยนครับ


@@@@@@@

ตอนผมไปเที่ยวไต้หวัน ผมเห็นว่าที่ไต้หวันยังคงมีการผลิตกระดาษเงินกระดาษทองแบบดั้งเดิม คืองานทำมือที่ใช้คน นั้งปั๊มทีละใบ ส่วนกระดาษเงินนั้น เข้าใจว่าเขาตีดีบุกเป็นแผ่นบางๆ แล้วปะติดบนกระดาษ ส่วนกระดาษทองจะใช้ยาเหลืองทาทับลงไป สีเงินก็จะกลายเป็นสีทอง

ตอนนี้ในไต้หวันเอง กระดาษจากระบบอุตสาหกรรมเข้ามาแทนที่กระดาษแบบเก่า กลายเป็นเรื่องที่ต้องอนุรักษ์อีกอย่างในประเทศนั้น

ปัจจุบันเรามีเครื่องกระดาษจากแหล่งผลิตหลักสามแห่ง คือจากเมืองไทยเราเองซึ่งมีมากที่สุด อีกส่วนผลิตจากจีนแผ่นดินใหญ่ ส่วนทางภาคใต้บางทีก็นิยมใช้ของที่ผลิตจากมาเลเซีย หลังๆ ก็เริ่มมีของไต้หวันเข้ามาบ้าง

@@@@@@@

เท่าที่ผมทราบ เราอาจแบ่งเครื่องกระดาษพิธีกรรมของจีนในสองลักษณะ

ลักษณะแรก คือ แบ่งตามกลุ่มภาษาหรือกลุ่มวัฒนธรรม เช่น กระดาษของคนแต้จิ๋ว กระดาษของคนฮกเกี้ยน กระดาษของคนกวางตุ้ง เป็นต้น แต่ละกลุ่มต่างมีเครื่องกระดาษของตนเอง แม้ว่าจะมีหลักการคล้ายๆ กัน แต่มีรูปแบบและรายละเอียดต่างกันบ้าง กระนั้น ในประเทศไทยก็มีการใช้ปนกันอยู่เพราะบางครั้งกระดาษของกลุ่มภาษาตนเองหาได้ยาก หรือกลุ่มที่อยู่ใกล้เคียงกันก็อาจใช้ร่วมกันก็ได้ เช่น คนฮกเกี้ยนบางครั้งก็ใช้กระดาษกวางตุ้ง เพราะมักมีชุมชนใกล้กันหรือทำโรงกระดาษในชุมชนเดียวกัน เป็นต้น

สอง คือ การแบ่งตามการใช้งานเครื่องกระดาษนั้น อันที่จริงก็ยังแบ่งย่อยอีกมากมายหลายชนิด แบบแรกที่เราคุ้นเคยที่สุดคือกระดาษแทนเงินและทองจึงเรียกกันง่ายๆ ว่ากระดาษเงินกระดาษทอง (ภาษาฮกเกี้ยนเรียก หงินและกิ๊ม) ต่อมาก็พัฒนามีแบงก์เหมือนธนบัตร แต่แม้จะแทนเงินทองก็มีลำดับศักดิ์และรายละเอียดปลีกย่อยออกไปอีก

ถัดมาคือพวกข้าวของเครื่องใช้ซึ่งมักใช้ในพิธีกงเต๊กอุทิศกุศล เครื่องกระดาษแบบนี้มักทำอย่างวิจิตร มีบ้าน รถ ข้าวของในครัวเรือน แต่นอกเวลาทำพิธีกงเต็กแล้วมักไม่ใคร่ใช้กัน เพียงแต่ในปัจจุบันมีผู้ของเหล่านี้แปลกๆ ใหม่ๆ มาขาย คนจึงซื้อกันไปไหว้แทบทุกเทศกาล บางครั้งถ้าแจกให้ผีไม่มีญาติก็ทำเป็นตั๋วแลกก็มี

เครื่องกระดาษแทนเสื้อผ้าเรียกว่าเผ้าหรืออี มีทั้งเครื่องทรงของเทพเจ้าและเสื้อผ้าของมนุษย์ นับว่าเป็นเครื่องกระดาษสำคัญอีกประเภทหนึ่งเพราะมีพิธีกรรมความเชื่อจำเพาะเข้ามาเกี่ยวข้องมาก




อาจารย์ผมท่านเคยเล่าว่า คนฮกเกี้ยนเก่าๆ มักเอากระดาษเสื้อผ้าไปไหว้บรรพชนเมื่อต้องไปที่หลุมศพ (บ่อง) ไม่ค่อยเอาไหว้กันในบ้าน เพราะถือว่าบ้านนี้เป็นบ้านของเราและตัวท่านอยู่ในบ้านเราอยู่แล้ว แต่เมื่อเราไปหาท่านที่บ้านของท่านคือสุสาน จึงพึงเอาเสื้อผ้าไปให้ที่บ้านของท่าน ถือเป็นบรรณาการของฝากนั่นเอง

อันที่จริงผมสนใจเรื่องเสื้อผ้ากับวัฒนธรรมผีอยู่ด้วย เพราะผีมักเกี่ยวข้องกับเสื้อผ้า เช่น ผีมอญก็แทนด้วยเสื้อผ้าเก็บใส่หีบต้องแขวนไว้บนเสาผีในบ้าน โคมวิญญาณของจีนก็เอาเสื้อผ้าผู้ตายไปสวม ผีกะหรือผีพื้นเมืองอีกมากก็แทนด้วยผ้าผ่อนนุ่งห่ม ชะรอยเสื้อผ้านี่เองที่ทำให้คนต่างจากสัตว์ เป็นสิ่งบ่งแสดงถึง “วัฒนธรรม” คนโบราณจึงให้ความสำคัญกับเสื้อผ้ามาก

พูดเรื่องนี้ชวนให้นึกถึงว่า อย่างน้อยในหนึ่งปีคนจีนมักถวายเผ้าหรือเสื้อผ้าชุดเล็กในวันส่งเจ้าเตาไฟให้ท่าน เล่ากันว่าก็เจ้าเตาไฟท่านต้องขึ้นไปรายงานฟ้า เฝ้าองค์จักรพรรดิหยก แต่ท่านอยู่ในครัวมาทั้งปีชุดก็เปรอะซีอิ๊ว เปรอะน้ำมันหมู เราจึงเผาชุดใหม่ไปให้ท่านใส่เฝ้าจะได้สะอาดๆ โก้ๆ หน่อย

นอกจากนี้ ยังมีเครื่องกระดาษที่มีลักษณะเป็นเอกสารราชการหรือประเภท “ฎีกา” ซึ่งพิมพ์มาเป็นแบบฟอร์มให้กรอก กระดาษพวกนี้จำจะต้องพอมีความรู้ทางภาษาจีนและวัฒนธรรมบ้าง เพราะต้องกรอกข้อมูลลงไปด้วยภาษาจีน เช่น ชื่อสกุล ที่อยู่ วันเดือนปีที่ทำการ ฯลฯ

ตัวอย่างเช่น ฎีกาฟ้าอภัย ฎีกาส่งเจ้าเตาไฟ กระดาษไหว้มังกรห้าทิศ ฎีกาแจ้งเรื่องผู้ตาย ฯลฯ กระดาษนี้บางชนิดเมื่อกรอกแล้วก็ต้องอ่านก่อนจะเผา

@@@@@@@

นอกนั้นเป็นเครื่องกระดาษเบ็ดเตล็ด เช่น ยันต์เทพอุปถัมภ์ (กุ้ยหยินหู) ที่เผาเพื่อให้มีคนค้ำชู กระดาษสะเดาะเคราะห์ กระดาษม้าและนกสำหรับรับส่งเจ้า (งานใหญ่ๆ ทำขึ้นเป็นรูปเทวทูตขี่ม้าหรือนกลอยองค์) กระดาษสำหรับโปรยบนหลุมศพในเวลาเฉ่งเบ๋ง (เช็งเม้ง) กระดาษประดับตกแต่งในพิธีพิเศษ (ฮกหู) โอ้ย อีกมากมายก่ายกอง

นอกจากนี้ คนฮกเกี้ยนดูเหมือนจะมีกระดาษหลากชนิดเป็นพิเศษ เพราะนิยม “กระดาษพิมพ์ลาย” มากกว่าจีนอื่นๆ จึงมีกระดาษพิมพ์ลายสำหรับไหว้เทพเจ้าแต่ละองค์ เช่น กระดาษเจ้าแม่กวนอิม กระดาษกวนกง กระดาษโลเชี้ย (นาจา) กระดาษฮกเต็กเจ้งสีน (พระภูมิ) หรือลายคำสวัสดิมงคลต่างๆ เช่น ตังอั๊วเป่งอ๊านกิ๊ม (กระดาษคำอวยพรร่มเย็นเป็นสุข) ซึ่งผลิตที่เมืองตังอั๊ว ตั่วฮกกิ๊มหรือกระดาษพิมพ์ตัวฮกคือวาสนาใหญ่ ซิ่วกิ๊มหรือกระดาษพิมพ์ตัวซิ่ว คืออายุยืนยาวซึ่งชาวกวางตุ้งก็มีของเขาด้วย

เหตุว่ากระดาษเยอะแยะเช่นนี้เอง จะใช้กระดาษไหนไหว้ในโอกาสอะไรจึงมีขนบแบบแผน เป็นต้นว่ากระดาษที่ใช้ไหว้ที่บ่องหรือสุสานบางท่านก็ถือมากไม่ให้เก็บไว้หรือใช้ในบ้านเลย


@@@@@@@

กระดาษบางชนิดไหว้ได้กับเทพระดับไหนอย่างไรก็มีบอกไว้ งานไหนใช้กระดาษแบบไหนประดับได้ เช่น เตี๋ยวจี๋หรือเงินพวง (พวงมะโหตร) ใช้ในงานมงคลขึ้นแท่นบูชาพระใหม่ งานแซยิดพระ หรือไหว้ทีก๊อง เป็นต้น

ยังมีกระดาษที่พุทธศาสนาในจีนก็ยอมคล้อยตามอนุโลมไปกับวัฒนธรรมชาวบ้าน เช่น อ่องเซ้งจี๋ (อ้วงแซจี๊) หรือกระดาษพิมพ์พระสุขาวดีอุปัตติธารณี ซึ่งผมจะขอเล่าในคราวหน้า

นอกจากชนิดแล้วยังมีเรื่องจำนวนอีก จะเผาแค่ไหนอย่างไร ผีได้เท่าไหร่เทพได้เท่าไหร่ก็มีธรรมเนียมกำกับ บนฐานคิดแบบ “จี๊นจีน” ยังมิได้ตอบคำถามว่าทำไมต้องเผาเครื่องกระดาษ มีที่มาจากไหน เผาแล้วเทพผีได้ใช้จริงหรือไม่ ซึ่งเนื้อที่หมดเสียแล้ว ผมขอยกไปคราวหน้า •





ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2-8 สิงหาคม 2567
คอลัมน์ : ผี-พราหมณ์-พุทธ
ผู้เขียน   : คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง
เผยแพร่ : วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ.2567
website : https://www.matichonweekly.com/column/article_788325
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 14, 2024, 07:01:28 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



ไหว้เจ้า เผากระดาษ : เผาทำไม.? ทำความเข้าใจเรื่องเครื่องกระดาษจีน (2)

จีนเป็นชาติแรกๆ ในโลกที่คิดค้นการทำกระดาษมาเกือบสองพันปี แต่เดิมใช้เพื่อการจดจารแทนผ้าไหมหรือซีกไม้ไผ่ที่ราคาแพงหรือมีน้ำหนักมากกว่า จนจีนเป็นเจ้าแห่งวัฒนธรรมกระดาษ

ส่วนการใช้กระดาษเพื่อแทนเงินทองให้ผู้ตายนั้น เริ่มมีหลักฐานปราฏมาตั้งแต่สมัยจิ้นและเว่ย แต่ในสมัยนั้นยังมิได้มีการเผา เป็นเพียงแต่การโปรย แขวนหรือบรรจุไปกับศพ

ต่อมาการเผากระดาษค่อยๆ นิยมมากขึ้น อาจเป็นไปได้ว่าพัฒนามาพร้อมคติการเผาศพซึ่งจีนรับจากพุทธศาสนาแทนการฝังอย่างเก่า จนการเผากระดาษเงินกระดาษทองเป็นสิ่งที่ทำกันโดยปกติ และเชื่อว่าเป็นวิธีการที่จะส่งเงินทองเหล่านั้นไปให้ผู้ตายหรือเทพเจ้า

อันที่จริงมีหลักฐานถึงการฝังเงินทองจริงๆ พร้อมกับข้าวของอื่นๆ ในหลุมฝังศพมาตั้งแต่สมัยชุนชิวจ้านกว๋อ เราจึงอาจพอจะสรุปได้ว่า วัฒนธรรมการมอบเงินทองข้าวของแก่ผู้ตายนั้นเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนเองจากความเชื่อพื้นบ้าน เช่นเดียวกับวัฒนธรรมการจัดการศพทั่วโลก แล้วถูกนำมารวมกับคติทางศาสนาไม่ว่าจะเต๋า หยูหรือพุทธในภายหลัง

พุทธศาสนาที่เข้าไปในจีนก็มิได้ปฏิเสธความเชื่อพื้นบ้านเหล่านี้ แต่ทำให้มีความกลมกลืนกับพุทธศาสนามากขึ้น การเผากระดาษเงินกระดาษทองกลายเป็นส่วนหนึ่งของการอุทิศกุศลให้กับผู้ตายด้วยความกรุณา

@@@@@@@

นอกจากนี้ ยังมีกระดาษพิเศษทางพุทธศาสนาโดยเฉพาะ เรียกว่ากระดาษอุปัตติธารณีมนต์หรืออ่องเซ้งจี๋ (แต้จิ๋วเรียกอ่วงแซจี๊) โดยจะมีการพิมพ์พระธารณีหรือมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อว่ามีพระพุทธคุณลงไป เป็นพระธารณีที่ชื่อ “สุขาวดีอุปัตติธารณี” (ฮกเกี้ยนเรียก อ่องเซ้งจิ่ว แต้จิ๋วออกเสียงว่าอ่วงแซจิ่ว) หรืออมฤตวิกรานเตธารณี เป็นพระธารณีแห่งพระอมิตาภพุทธ ผู้มีปณิธานจะฉุดช่วยสรรพสัตว์ที่สิ้นชีพทั้งหลายให้ไปเกิดในพุทธเกษตรของพระองค์อันมีนามว่า “สุขาวดี” เพื่อจะไปบรรลุธรรมที่นั่น

พระธารณีนี้มีว่า “นโม อมิตาภายะ ตถาคะตายะ ตัทยถา อมฤโตทภะเว อมฤตะ สิทธัมภะเว อมฤตวิกรานเต อมฤตวิกรานตะ คามิเน คะคะนะ กิรติกะเร สวาหา”

พระธารณีข้างต้นคนจีนก็อาจออกเสียงผิดเพี้ยนจากสันสกฤตไปตามความถนัดปากของตน เช่น “นะโมอมิตาภายะ” เป็น “นำโม ออมี่โตโพเอ” แต่ก็นับถือว่ายังมีความศักดิ์สิทธิ์เช่นเดิม

เหตุนี้ต้องนำพระธารณีนี้มากล่าวถึง เพราะเชื่อกันว่ากระดาษชนิดนี้ซึ่งพิมพ์ด้วยอักษรจีนบ้าง อักษรสิทธัมบ้าง มีรูปลักษณ์แตกต่างกันไปในแต่ละถิ่นบ้าง จะเกิดประสิทธิผลก็ต่อเมื่อได้มีการสวดพระธารณีนี้ก่อนจะนำไปเผา คือต้องมีการปลุกเสกกระดาษเสียก่อน เมื่อปลุกเสกแล้วจะจี้ธูปลงไปเป็นสัญลักษณ์ เราก็จะเห็นรอยไหม้เป็นจุดๆ เวลาที่ซื้อกระดาษชนิดนี้มาจากร้านหรือโรงงาน แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะเสกมาจริงหรือไม่

ฉะนั้น อาม่าอาอี๋ที่เคร่งๆ หน่อยก็มักนำกระดาษดังกล่าวมาสวดเองที่บ้านอีกรอบเพื่อความชัวร์ บางทีเวลาเราเห็นอาม่าย่ายายนั่งพึมพำๆ เวลาพับอ่องเซ้งจี๋ ท่านก็อาจกำลังภาวนาพระธารณีอยู่ก็ได้ครับ

@@@@@@@

นอกจากนี้ อ่องเซ้งจี๋ยังเป็นกระดาษที่สามารถซื้อได้ตามวัดจีนต่างๆ วัดมังกรกมลาวาส หรือวัดจีนอื่นๆ ในบ้านเราก็มีขาย บางคนนิยมมากกว่าซื้อจากร้าน เพราะรูปลักษณ์กระดาษชนิดนี้จากวัดจะดูเข้มขลังกว่า แถมยังน่าเชื่อได้ว่าพระท่านคงได้ทำวัตรสวดมนต์ปลุกเสกให้แล้ว และเป็นการทำบุญบริจาคให้วัดด้วย

ช่วงนี้ตรงกับเดือนเจ็ดจีนอันเป็นเดือนมหากุศลฉุดช่วยวิญญาณทั้งหลาย กระดาษอ่องเซ้งจี๋จะมีความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะนิยมใช้อุทิศให้กับบรรพชนรวมทั้งผีไร้ญาติที่ได้ขึ้นมาขอรับกุศลจากมนุษย์

อ่อ ที่จริงหลายคนอาจคุ้นเคยกับกระดาษอ่องเซ้งจี๋ในชื่อ “ใบเบิกทาง” หรือกระดาษเบิกทาง เพราะเข้าใจไปว่ากระดาษอ่องเซ้งจี๋ซึ่งมีขายโดยทั่วไปนั้น เป็นเอกสารใบเบิกทางสำหรับให้วิญญาณมารับการเซ่นสรวง บางทีร้านขายเครื่องสังฆภัณฑ์ก็เข้าใจไปแบบนี้ เพราะอ่านตัวหนังสือที่พิมพ์บนกระดาษไม่รู้เรื่อง แต่อันที่จริงเป็นกระดาษสำหรับอุทิศกุศลตามที่ผมกล่าวไว้ข้างต้น

ผมพอจะทราบว่าทางทิเบตก็มีวัฒนธรรมคล้ายๆ กันกับจีน แต่เขาจะพิมพ์พระธารณีมนต์ลงบนกระดาษเล็กๆ แล้วโปรยปรายไปกับสายลมตามยอดเขาหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่ออุทิศแก่พระธรรมบาล เทพเจ้าที่เจ้าทางรวมถึงพลังแห่งธรรมชาติตรงนั้น มิได้เผาอย่างชาวจีน

ผมคิดเอาเองว่าทิเบตอาจรับเทคโนโลยีกระดาษจากจีน แต่การพิมพ์พระธารณีลงกระดาษแล้วใช้อุทิศ มิรู้ว่าใครรับจากใครกันแน่

บางท่านก็เห็นว่า จริงๆ แล้วการเผากระดาษอุปัตติสุขาวดีมนต์นี้ อาจเป็นอุบายวิธีที่ช่วยให้คนจีนซึ่งไหว้เจ้าเผากระดาษอยู่แล้ว สามารถเข้าสู่วิถีแห่งการภาวนาตามคติพุทธได้อย่างแนบเนียน เป็นการฝึกภาวนาพระธารณีอย่างง่ายและสร้างเสริมความศรัทธาในพระอมิตาภะให้เพิ่มพูนโดยใช้วิธีที่คุ้นเคยอยู่แล้ว




เรื่องอุบายวิธีของพุทธที่แทรกเข้าไปในพิธีกรรม ผมมีเรื่องเล็กๆ จะเล่าให้ฟัง

ครั้งหนึ่งผมเคยได้รับคำแนะนำจากมิตรสหายซึ่งสนใจในพุทธประเพณีแบบทิเบต ว่าหากต้องการอุทิศอาหารให้ดวงวิญญาณโดยง่ายที่สุด ทุกครั้งที่เผากระดาษเงินกระดาษทองก็ให้เอาผงแป้งสาลีหรือผงจากอาหารที่มีสีขาวใส่ลงไปในกระดาษด้วย

เนื่องจากทางทิเบตมีความเชื่อว่า มนุษย์และสัตว์ที่ตายแล้วหรือวิญญาณนั้นเป็น “ตัวกินกลิ่น” คือจะรับกลิ่นของอาหารผ่านการเผาไปเป็นควันได้เท่านั้น จึงมีพิธีที่เรียกว่าการอุทิศ “ซูร์” หมายถึงการเผาอาหารสีขาวหรือแดงลงในไฟให้เกิดควันและอาศัยพุทธบารมีขอให้ปวงสัตว์ที่จากโลกนี้ไปแล้ว สามารถรับอาหารซึ่งแปรจากควันนั้นไปเป็นอมฤตได้ รายละเอียดของเรื่องซูร์นี้ยังมีอีกมาก คงไม่ขอเล่าไว้ในที่นี้

ผมเห็นว่า คำแนะนำนี้เป็นความพยายามนำเอาพุทธประเพณีจากที่หนึ่งมาผสมสานกับวัฒนธรรมจีนของมิตรท่านนั้นอย่างน่าสนใจ ส่วนจะใช้กระดาษอะไรแค่ไหนนั้น อันที่จริงจีนมีธรรมเนียมเก่าอยู่ แต่ในปัจจุบันโดยเฉพาะพิธีที่ทำในครอบครัวก็มิได้ถือเคร่งกันแล้ว มักจะเป็นการเผาตามความชอบใจหรือเน้นมากๆ ไว้ก่อน

ผมขอพูดถึงธรรมเนียมกระดาษเงินและทองซึ่งอิงตามขนบฮกเกี้ยนที่ได้เรียนรู้มา อาจมิได้กล่าวถึงเครื่องกระดาษของจีนภาษาอื่นมากนัก แต่หลักการน่าจะคล้ายๆ กัน ดังนั้น หากไม่ตรงกับที่ท่านยึดถือหรือที่ท่านรู้มาก็ต้องขออภัยไว้ด้วย เพราะทั้งหมดนี่ก็เขียนขึ้นจากความทรงจำ ซึ่งคลาดเคลื่อนได้ง่าย

@@@@@@@

กระดาษแทนเงินทองอย่างเก่ามีที่ใช้กันหลักๆ อยู่สองชนิดคือ เงินและทอง (หงินและกิ๊ม) กระดาษเงินมีค่าน้อยกว่าและเป็นกระดาษสำหรับวิญญาณผู้ตายหรือใช้ในโลกเบื้องล่าง ส่วนกระดาษทองมีค่ามากกว่า มีชนิดเล็กเรียกสิ่วกิ๊มและทองใหญ่หรือตั่วกิ๊มบางครั้งเรียกทีก๊องกิ๊มเพราะถือว่าใช้ไหว้ทีก๊อง นิยมถวายต่อเทพเจ้า

สองอย่างนี้เป็นกระดาษหลักใช้ในทุกพิธีกรรมและเทศกาล นอกนั้นเป็นกระดาษปกิณกะตามโอกาสและจุดประสงค์เฉพาะอย่าง

กระดาษแบบฮกเกี้ยน (ฮกเกี่ยนกิ๊ม) ข้างต้น มักทำด้วยกระดาษเยื่อไผ่หรือฟาง มีทั้งชนิดสีเหลือง ขาวและเทา แผ่นเล็กมีขนาดประมาณสิบสองคูณแปดเซนติเมตร ถ้าเป็นตั่วกิ๊มก็จะใหญ่กว่าประมาณสองถึงสามเท่า กระดาษเงินจะตีตะกั่วหรือดีบุกเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็กๆ ตรงกลางหรือใช้สีเงินทาไว้

ส่วนกระดาษทองมักจะพิมพ์ลายจูจ๋ายซิ่วหรือฮกลกซิ่วตรงกลาง แล้วตีตะกั่วเป็นแผ่น ทาทับด้วยยาเหลืองเพื่อให้เป็นสีทอง

แม้จะถือกันว่า “กระดาษเงินให้ผี กระดาษทองให้เทพ” แต่ความจริงแล้วทั้งผีทั้งเทพสามารถใช้กระดาษทั้งสองชนิดได้ เชื่อกันว่าหากเทพต้องมาทำกิจยังโลกเบื้องล่างบางทีก็ต้องใช้เงิน และหากผีบรรพชนต้องไปโลกเบื้องบนก็ต้องใช้ทองเช่นกัน แต่ก็มีเป็นข้อห้ามไว้ว่า ไหว้ผีห้ามมีแต่กระดาษทอง ไหว้เทพห้ามมีแต่กระดาษเงิน

ดังนั้น จะไหว้ผีด้วยกระดาษเงินล้วนๆ และไหว้เทพด้วยกระดาษทองอย่างเดียวก็ย่อมได้ หากจะไหว้ผสมกันท่านมีข้อกำหนดดังนื้ ไหว้ผีให้ใช้กระดาษเงินเจ็ดส่วนกระดาษทองสามส่วนเท่านั้น จะมีทองมากกว่านี้ไม่ได้ ส่วนไหว้เทพให้ใช้กระดาษทองเจ็ดส่วนกระดาษเงินสามส่วนจึงจะเหมาะสม


@@@@@@@

อนึ่ง การนับจำนวนกระดาษไหว้ที่ใช้ในพิธีกรรมก็มีธรรมเนียมเช่นกัน ปกติกระดาษแบบฮกเกี้ยน โรงกระดาษจะเสียบกระดาษมาเป็นมัดเล็กๆ มัดละสิบสองใบ เรียกว่าจำนวน “หนึ่งจี๋” หากเป็นกระดาษทองที่ไม่มัดรวมกันก็นับจำนวนแบบนี้เช่นกัน คือสิบสองใบเท่ากับหนึ่งจี๋

เมื่อจะประกอบเทพยพิธีที่เป็นทางการ ท่านให้ถวายกระดาษทองเล็กเจ็ดจี๋กระดาษทองใหญ่สามจี๋ รวมสิบจี๋เป็นขั้นต่ำ แต่ถ้าเป็นไปได้ควรใช้กระดาษทองเล็กสิบจี๋ทองใหญ่ห้าจี๋ รวมเป็นสิบห้าจี๋

จำนวนนี้ถือเป็น “ค่ากำนล” ในพิธีที่มีการอัญเชิญเทพ ถ้าพูดแบบปัจจุบันคือมีค่าเดินทางหรือค่าน้ำร้อนน้ำชาใส่ซองให้ท่าน ที่ได้กรุณามาช่วยอวยพรกิจธุระของเรานั่นแล และในเมื่อเป็นของกำนัลก็จะต้องถวายก่อนจะทำการส่งเทพส่งครู (ส่างสีนหรือส่างซื้อ)

เรื่องธรรมเนียมการถวายยังไม่จบ รวมถึงยังไม่ได้ตอบคำถามที่ว่า เมื่อเราเผากระดาษแล้วเทพ-ผีได้รับเงินทองนั้นจริงๆ ไหม ขอเก็บไว้ต่อในคราวหน้า •





ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9-15 สิงหาคม 2567
คอลัมน์ : ผี-พราหมณ์-พุทธ
ผู้เขียน : คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง
เผยแพร่ : วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ.2567
website : https://www.matichonweekly.com/column/article_790175
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



ไหว้เจ้า เผากระดาษ : เผาทำไม.? ทำความเข้าใจเรื่องเครื่องกระดาษจีน (จบ)

เรื่องหนึ่งที่สนุกเกี่ยวกับการไหว้ด้วยเครื่องกระดาษคือการพับ บางท่านเชื่อว่าการพับนั้นช่วยเพิ่มมูลค่าของเงินที่ไหว้ เกิดเป็นศิลปะการพับกระดาษเงินกระดาษทองที่สืบทอดกันในครอบครัว หลากรูปหลายแบบ กลายเป็นความทรงจำของผู้คนที่มีต่ออาม่าย่ายายของตน

ทางฝั่งฮกเกี้ยน ที่จริงการเผากระดาษโดยมากก็ไม่ค่อยได้พับกันเสียเท่าไหร่ ถึงจะไม่พับก็ไม่ผิดกติกาอันใด เพียงแต่บางท่านบอกว่าการพับกระดาษทองหรือกิ๊มนั้น ช่วยให้เผาไหม้ได้ง่ายขึ้น จึงพับง่ายๆ โดยม้วนกระดาษเป็นแท่ง จากนั้นยัดปลายทั้งสองข้างให้ดูเหมือนก้อนทองโบราณ โดยให้ลายทองหรือเงินอยู่ด้านบน นึกถึงเวลาห่อโรตีก็ได้ครับ

ท่านว่า แม้จะพับง่ายๆ แบบนี้แต่ก็มีเคล็ดนิดหน่อย หากเป็นกระดาษสำหรับไหว้เทพเจ้าให้พับปลายกระดกขึ้น แต่ถ้าเป็นกระดาษไหว้บรรพชนทั้งเงินหรือทองก็จะไม่พับปลายขึ้น เพื่อให้แตกต่างกัน

บางที่วิจิตรหน่อยก็พับในรูปแบบอื่นๆ เช่นทำเป็นกระทงทอง ทำเป็นสับปะรดซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวฮกเกี้ยนชื่นชอบมาก เพราะไปพ้องกับคำว่า “อ่องหลาย” ที่หมายถึง โชคลาภมาถึง

แต่ผมเข้าใจว่าอาจเป็นสิ่งที่ประดิษฐ์กันขึ้นมาในภายหลัง เพราะที่เคยเห็นมา โดยมากก็เผาทั้งที่ไม่ได้พับกันนี่แหละครับ

@@@@@@@

พิธีที่เป็นทางการ ผู้ประกอบพิธีหรือฮวดกั๊วจะให้เจ้าภาพทำการเผากระดาษก่อนจะทำพิธีส่งครูหรือส่งเทพเจ้าที่ได้อัญเชิญมา (ส่างซื้อ/ส่างสีน) คือ ควรจะต้องมอบเงินเป็นสินน้ำใจต่อเทพเจ้าก่อนที่ท่านจะกลับ แต่เนื่องจากในปัจจุบัน ผู้คนมักเข้าใจไปว่า การเผากระดาษต้องเป็นพิธีสุดท้าย จึงมีการสลับขั้นตอนกับประเพณีดั้งเดิม บางครั้งผู้ประกอบพิธีจึงจำต้องทำพิธีส่งครูไปเงียบๆ ผู้เดียวในระหว่างที่เจ้าภาพเผากระดาษไปได้สักระยะหนึ่ง

การเผากระดาษนี้ยังมีขั้นตอนเล็กๆ อีกนิดที่เกี่ยวข้อง คือจะต้องทำการฮองเฮี่ยนหรือยกขึ้นจบถวาย แล้วนำกระดาษดังกล่าวไปวนเหนือควันธูปที่กระถางธูปสามครั้ง ครูบาอาจารย์ท่านว่าควันธูปจะได้ติดไปบนกระดาษ แล้วทำให้เทพเจ้าหรือบรรพชนท่านทราบได้ว่า กระดาษเงินกระดาษทองนั้นน้อมถวายแด่ผู้ใด เพราะจะมีกลิ่นธูปจากกระถางธูปของท่านติดอยู่ เหมือนเป็นสัญญาณให้ทราบ

นอกจากนี้ ในฝ่ายไสยเวทจีนจะมีคาถาทวีจำนวนเงินทองหรือคาถาเสกสร้างธนทรัพย์ (โจ้จี๋จิ่ว) เมื่อท่องแล้วก็เชื่อว่า เงินทองที่น้อมถวายจะทวีจำนวนเพิ่มพูนขึ้น จากสิบจะกลายเป็นร้อยเป็นพัน

ผู้ประกอบจะท่องคาถานี้เมื่อเจ้าภาพยกกระดาษเงินกระดาษทองทูนขึ้นถวาย หรือเมื่อผู้ประกอบพิธีถวายเอง นอกจากทวีจำนวนแล้วยังมีเนื้อความอวยพรให้เจ้าภาพมีความสุขความเจริญไปด้วยเลยทีเดียว


@@@@@@@
 
ผมจะขอนำความหมายในภาษาไทยของคาถานี้มาแสดง เพราะมีอะไรที่น่าสนใจ ดังนี้

“ศิษย์น้อมทูนถวายธนทรัพย์ธาตุโลหะ มลายลงในธาตุไฟแห่งทักษิณทิศ ฟ้าก็เสกสร้างธนทรัพย์ ดินก็เสกสร้างธนทรัพย์ เงินทองนี้จากสิบจงแปรเป็นร้อย จากร้อยจงแปรเป็นพัน จากพันจงแปรเป็นพันๆ หมื่นๆ ทวีขึ้นไป เงินทองนี้แปรไปมากมายดุจมหาสมุทรบูรพา เงินทองนี้แปรไปมากมายดุจภูผาทักษิณ น้อมอัญเชิญเทพประธานกับทั้งเหล่าเทพบริวารทั้งหลาย โปรดทรงรับธนบริโภคเหล่านี้ ศิษย์ขอวิงวอน โปรดขจัดทุกข์ภัยแก่ครอบครัว สองวัยทั้งใหญ่เล็ก แลแก่-เด็กโดยถ้วนหน้า ขอผาสุกทุกเพลา ทรัพย์ทวีเนืองนองเทอญ”

คำว่า “สองวัยทั้งใหญ่เล็ก แลแก่-เด็กโดยถ้วนหน้า” ผมแปลมาจากคำว่า “ตั่ว เซ่ โล้ อิ้ว”ในภาษาฮกเกี้ยน คำนี้อาจารย์ของผมท่านว่ามีนัยที่น่าสนใจอยู่ กล่าวคือ คำว่าตั่วเซ่แม้จะแปลว่าใหญ่เล็ก แต่ควรแปลว่าสองวัย ซึ่งหมายถึงตั่วห่าน คือวัยผู้ใหญ่อันหมายถึงผู้มีอายุสามสิบปีขึ้นไปหรือวัยกลางคน ส่วนคำว่าเซ่ หมายถึงเซ่ห่าน ซึ่งหมายถึงวัยรุ่นที่มีอายุตั้งแต่เจ็ดถึงยี่สิบเก้าปีอันเป็นวัยศึกษา โล้ห่านหมายถึงวัยชรา เริ่มตั้งแต่หกสิบปีเป็นต้นไป และอิ้วห่านหมายถึงเด็กหรือเยาวชน นับตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงหกขวบ

วลีดังกล่าวจึงสะท้อนการแบ่งวัยตามขนบจีนออกเป็นสี่ช่วงวัยที่พึงอยู่ในเรือนเดียวกัน เป็นภาพของ “ครอบครัว” ที่คนจีนอยากเห็น

นอกจากนี้ ท่อนแรกยังสะท้อนความคิดเรื่อง “ธาตุ” ตามระบบความคิดเต๋า ว่าที่จริงแล้วการเผากระดาษเงินทองนั้น คือการที่ธาตุโลหะไปแปรเปลี่ยนด้วยธาตุไฟจากทิศใต้ และทั้งหมดนี้เกิดจาก ฟ้าดิน จึงมีมูลค่าศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้

@@@@@@@

เมื่อถวายกระดาษเงินกระดาษทองแล้ว ครั้นนำไปเผาจะต้องเทเหล้าหรือชาจากจอกที่ได้เซ่นไหว้แล้วไปรอบๆ ที่พื้นบริเวณที่เผากระดาษนั้น บางคนอาจเคยเห็นผู้ใหญ่ในบ้านทำมาก่อน ผมเองก็เคยเห็นมาตั้งแต่เด็กแต่ไม่ทราบความหมายและไม่เคยถาม อาจารย์นนท์ท่านก็ว่า นี่เป็นขนบแบบหยูหรือขงจื่อ เป็นสัญลักษณ์แห่งการสิ้นสุดพิธีบวงสรวง

ผมอยากย้อนไปเรื่องจำนวนการเผาอีกนิดเพราะเพิ่งนึกออกครับ คือ นอกจากจำนวนที่ผมได้เล่าไว้ในคราวที่แล้ว หากเป็นการเผากระดาษซึ่งทำเป็นประจำเช่นไหว้เจ้าในทุกวันหนึ่งค่ำสิบห้าค่ำหรือวันพระจีน หรือบ้านไหนไหว้เจ้าที่ “เหง๋” ทุกสองค่ำและสิบหกค่ำจีน แบบนี้ท่านไม่ได้กำหนดจำนวนกระดาษไว้แน่นอนครับ ก็มักเผาพอเป็นพิธี เช่น แค่หนึ่งหรือสองจี๋ บางครั้งไปไหว้ศาลเจ้าเขาก็มัดกระดาษรวมมากับธูปเทียนแค่สามใบหรือห้าใบเท่านั้น

ส่วนการไหว้บรรพชนก็ไม่ได้กำหนดจำนวนไว้แน่นอน เว้นแต่ในงานพิธีทางการอย่างกงเต๊ก จึงมักนิยมเผากระดาษตามที่ชอบหรือตามที่ครอบครัวปฏิบัติสืบกันมา บางบ้านเลยไหว้เครื่องกระดาษกันเยอะมากๆ นั่งพับกันเป็นอาทิตย์ก่อนจะถึงวันจริง

บางพิธีก็กำหนดจำนวนกระดาษไว้เยอะมาก เช่น การไหว้ในวันฟ้าอภัย ท่านให้ไหว้กระดาษทองอย่างน้อยยี่สิบสี่จี๋ การแก้บนหรือพิธีพิเศษบางอย่างก็ให้เผาเป็นหน่วยตำลึงหรือชั่งเลยทีเดียว ถ้าผมจำไม่ผิด ร้อยจี๋เท่ากับหนึ่งตำลึง สิบตำลึงเท่ากับหนึ่งชั่ง ดังนั้น หนึ่งชั่งจึงเท่ากับพันจี๋นั่นเอง


@@@@@@@

มาถึงประเด็นที่สำคัญมากๆ แล้วครับ สรุปว่า กระดาษเงินกระดาษทองที่เราเผาไปนี้ เหล่าผีเทพในปรโลกได้ใช้กันจริงๆ ไหม

หากกล่าวตามระบบความเชื่อจีนเอง คนจีนถือว่าในโลกมนุษย์เป็นอย่างไรในปรโลกก็เป็นอย่างเดียวกัน ดังนั้น หากโลกมนุษย์มีการแลกเปลี่ยนซื้อขาย มีการใช้เงินทอง ในปรโลกก็ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นด้วย (แต่ตอนนี้ในปรโลกจีนยังเป็นระบอบฮ่องเต้อยู่เลยนะครับ ผมดูจากแบงก์กงเต๊ก ทั้งที่ในโลกมนุษย์ จีนยกเลิกระบอบไปนานแล้ว ฮา)

เมื่อกล่าวตามความเชื่อข้างต้น อนุชนที่ยังศรัทธาก็ต้องตอบว่า เทพ – ผีย่อมสามารถใช้เงินทองเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน ผีอาจใช้มากหน่อย ส่วนเทพเจ้าท่านก็เอาไปแจกจ่ายผู้ทุกข์ยากอีกที

ผมเห็นว่ามีอีกแนวคำตอบหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งชาวพุทธหรือผู้ไม่ได้อยู่ในระบบความเชื่อจีนในข้างต้นก็อาจพอรับได้ พระอาจารย์เซิงเอี๋ยน (Master Sheng Yen) แห่งพุทธศาสนานิกายเซนในไต้หวัน ผู้ก่อตั้งองค์กรธรรมเภรีบรรพต (Dharma Drum Mountain) ได้ตอบคำถามที่ว่า กระดาษเงินกระดาษทองที่เราเผาไป จะมีประโยชน์หรือคนในปรโลกจะได้ใช้หรือไม่

@@@@@@@

ผมขอสรุปความมาโดยสังเขป

พระอาจารย์เซิงเอี๋ยนเห็นว่า ชาวจีนพัฒนากระดาษขึ้นมาใช้ตั้งแต่ราชวงศ์ฮั่น และใช้กระดาษแทนเงินทองมานานแล้ว ด้วยเหตุนี้การเผากระดาษหรืออุทิศเงินทองจึงสามารถกระทำได้ อีกทั้งคนจีนยังเชื่อว่า โลกนี้และโลกหน้ามีความคล้ายคลึงกัน คนที่ตายไปเป็นผีแล้ว จึงยังต้องการเงินทองเหมือนสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่นี่คือวัฒนธรรมจีน ไม่ใช่ความเชื่อทางพุทธศาสนา

ดังนั้น ผีจึงอาจมาเข้าฝันบอกคนในครอบครัวให้เผาเงินทองไปให้ เพราะนี่เป็นความเชื่อทางวัฒนธรรม (ซึ่งทั้งคนเป็นและคนตายมีร่วมกัน และเป็นความเคยชินตั้งแต่มีชีวิตอยู่) แต่ท่านก็ถามต่อไปว่า ผีจะใช้เงินทองเหล่านี้ได้จริงหรือ คำตอบคือไม่! โลกของวิญญาณจะใช้เงินทองไปเพื่ออะไร เพราะในโลกวิญญาณไม่มีการเพาะปลูก ไม่มีการซื้อขาย ไม่มีผลผลิต

กระนั้น การเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้คนตายก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง เพราะช่วยให้ดวงวิญญาณที่ยังคงปรารถนาเงินทองอยู่รู้สึกสบายใจและสงบ เนื่องจากได้รับสิ่งที่ตนต้องการ แม้ว่าเงินทองเหล่านี้อาจไม่มีค่าจริงๆ เลยก็ตาม และนี่เป็นวิธีการที่แสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่และความเคารพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผีให้ความสำคัญมาก

ท่านสรุปว่า จะดีกว่าหากได้อุทิศกุศลหรือได้แสดงธรรมแก่ดวงวิญญาณเหล่านั้นให้เกิดความสงบ ยิ่งในสมัยที่เราเผชิญปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม การเผากระดาษไม่น่าจะเป็นธรรมเนียมที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมนัก และแนะนำว่าจะเราควรสวดพุทธนามให้กับดวงวิญญาณและลดการเผากระดาษลง

ผมคิดว่าสิ่งที่พระอาจารย์ท่านกล่าวไว้น่าใคร่ครวญ ถ้าถามผมว่าจะเลิกไหว้เจ้าเผากระดาษหรือไม่ ก็คงตอบว่าไม่

แต่โจทย์สำคัญสำหรับคนไหว้เจ้าเผากระดาษด้วยกัน คือ จะทำอย่างไรให้เรายังคงสามารถรักษาขนบธรรมเนียมที่บรรพชนให้ไว้ ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมไปด้วย ขอฝากทุกท่านช่วยกันคิดด้วยนะครับ ขอตัวไปพับกระดาษก่อน •







ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16 - 22 สิงหาคม 2567
คอลัมน์ : ผี-พราหมณ์-พุทธ
ผู้เขียน : คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง
เผยแพร่ : วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ.2567
website : https://www.matichonweekly.com/column/article_792159
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ