.
ที่มาของ การกล่าวสัมโมทนียกถาการกล่าวอนุโมทนาสาหรับพระภิกษุนั้น เป็นพระบรมพุทธานุญาตที่พระพุทธเจ้าตรัสให้ภิกษุสงฆ์ ถือเป็นหลักปฏิบัติ และเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่ต้องทำเป็นกิจวัตรประจำ ซึ่งมีปรากฏหลักฐานในพระวินัยปิฎก จุลวรรค วัตตขันธกะ (1)
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้อนุโมทนาในโรงฉัน”
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้เถระอนุโมทนาในโรงฉัน”
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุเถรานุเถระ ๔-๕ รูป รออยู่ในโรงฉัน”
ในงานประกอบพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนานั้น มีคาถา หรือถ้อยคำที่พระภิกษุต้องสวด ขาดมิได้ คือ อนุโมทนากถา ซึ่งท่านจะสวดตอนสุดท้ายก่อนเสร็จพิธีสงฆ์ทุกครั้ง ชาวบ้านเรียกว่า พระให้พร และชาวบ้านก็จะตั้งใจ รับพรพระ คือบทขึ้นต้นที่คนส่วนมากพูดติดปากว่า ยถา - สัพพี
@@@@@@@
เมื่อครั้งสมัยพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอนุโมทนากถา ซึ่งมีปรากฏหลักฐานในพระวินัยปิฎก มหาวรรค เภสัชชขันธกะ (2)
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระนครพาราณสี ตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จพระพุทธดำเนินมุ่งไปทางอันธกวินทชนบท พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป
ครั้งนั้น พราหมณ์ผู้หนึ่งได้ถวายยาคูและขนมปรุงด้วยน้ำหวานมากมายด้วยมือของตน โดยมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยเสร็จ ล้างพระหัตถ์แล้ว ทรงนำพระหัตถ์ออกจากบาตร ห้ามภัตแล้วจึงนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระพุทธพจน์นี้กับพราหมณ์ผู้นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งว่า
“ดูก่อนพราหมณ์ ข้าวยาคูมีคุณ ๑๐ อย่าง , ๑๐ อย่างเป็นไฉน คือ
ผู้ให้ข้าวยาคู ชื่อว่า
ให้อายุ ๑
ให้วรรณะ ๑
ให้สุข ๑
ให้กำลัง ๑
ให้ปฏิภาณ ๑
ข้าวยาคูที่ดื่มแล้วกำจัดความหิว ๑
บรรเทาความกระหาย ๑
ทำลมให้เดินคล่อง ๑
ล้างลำไส้ ๑
ย่อยอาหารใหม่ที่เหลืออยู่ ๑
ดูก่อนพราหมณ์ ข้าวยาคูมีคุณ ๑๐ อย่างนี้แล''
@@@@@@@
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงตรัส อนุโมทนากถา ต่อไปนี้
คาถาอนุโมทนา
"ทายกใด ถวายข้าวยาคู โดยเคารพตามกาล แก่ปฏิคาหก ผู้สำรวมแล้ว บริโภคโภชนะอันผู้อื่นถวาย ทายกนั้นชื่อว่า ให้ซึ่งสถานะ ๑๐ อย่างแก่ปฏิคาหกนั้น อายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ ย่อมเกิดแก่ปฏิคาหกนั้น
แต่นั้นยาคูย่อมกำจัดความหิว ความกระหาย ท้าลมให้เดินคล่อง ล้างลำไส้ และย่อยอาหาร
ยาคูนั้น พระสุคตตรัสสรรเสริญว่า เป็นเภสัช เพราะเหตุนั้นแล มนุษยชนที่ต้องการสุขยั่งยืน ปรารถนาสุขที่เลิศ หรืออยากได้ความงามอันเพริศพริ้งในมนุษย์ จึงควรแท้เพื่อถวายข้าวยาคู"
ความหมาย
อนุโมทนาวิธี คือ วิธีแสดงความยินดี ในเมื่อมีผู้ทําบุญประกอบการกุศล ทำความดี โดยอนุโมทนากถา
สัมโมทนียกถา เป็นคำศัพท์ของพระ มาจากคำว่า
สํ = พร้อม, กับ, ดี
โมทนีย = ความบันเทิง, ยินดี, พลอยยินดี
กถา = ถ้อยคํา, คําพูด
สัมโมทนียกถา = การกล่าวถ้อยคำที่ทำให้เกิดความยินดี หรือบันเทิงใจโดยพร้อมกัน
สัมโมทนียกถา กับ อนุโมทนากถา มีความหมายเดียวกัน คือ ถ้อยคำสำหรับกล่าวแสดงความยินดี ความพอใจ เป็นคำกล่าวตอบ ทำนองเดียวกับคำว่า ขอบใจ จะต่างกันก็แต่ว่า คำว่า ขอบใจ ผู้กล่าวใช้เมื่อมีผู้ปฏิบัติสิ่งชอบใจแต่ตนโดยเฉพาะ
ส่วนสัมโมทนียกถา ใช้กล่าวเมื่อเห็นชัดว่า มีบุคคลประกอบกรรมดี เป็นกุศลต่อตัวเองหรือต่อสังคม เป็นค่ากล่าวสนับสนุนส่งเสริมให้ภูมิใจในการกระทำนั้น พร้อมกับขออานุภาพคุณของพระรัตนตรัย คุณธรรมความดีนั้นให้คุ้มครองป้องกันภัยพิบัติ อย่างที่ชาวบ้านเรียกว่า ให้พร______________________________
(1) วัตตขันธกะ มก. ๙/๓๔๓, มจ. ๗/๒๒๘
(2) เภสัชขันธกะ มก. ๗/๑๐๑, มจ.๕/๘๗
ขอบคุณที่มา :
https://kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=23115ขอบคุณภาพจาก : pinterest
ประเภทของการอนุโมทนาถ้อยคำที่พระสงฆ์สวดอนุโมทนากถานั้น แยกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ ๒ ประเภท คือ
• บทอนุโมทนาทั่วไป หรือ สามัญอนุโมทนา
• บทอนุโมทนาเฉพาะพิธี หรือ วิเศษอนุโมทนา
@@@@@@@
๑. บทอนุโมทนาทั่วไป
บทอนุโมทนาทั่วไป หรือสามัญอนุโมทนา ได้แก่บทที่พระสงฆ์สวดตอนจบพิธีเมื่อมีการสวดหรือ การเจริญพระพุทธมนต์ หรือพิธีที่ทายกถวายสิ่งของตามพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา เช่น การถวายภัตตาหาร ถวายเครื่องไทยธรรม เป็นต้น
คาถาที่พระภิกษุใช้สวดในการอนุโมทนาทั่วไป ตามที่ได้ยินได้ฟังกันอยู่เป็นประจำนั้น ได้แก่ บท “ยถา วาริวหา ฯลฯ” และ “สัพพีติโย ฯลฯ” ตลอดจนถึง “ภวตุ สพ ฯลฯ” ไปจนจบ
มีหลักฐานอ้างอิงอันเป็นที่มาของบทอนุโมทนาสามัญนี้ เท่าที่ปรากฏอยู่ใน อรรถกถาธรรมบท คือ ตำราที่อธิบายเรื่องราวหัวข้อธรรมต่างๆ ในประวัติศาสตร์ทางพระพุทธศาสนาบอกไว้ว่า เป็นคำที่พระปัจเจกพุทธเจ้าใช้อนุโมทนามาก่อน
พระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้เฉพาะตัว ท่านแสดงธรรมสอนคนอื่นอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไม่มาก เมื่อมีคนมาทำบุญกับท่าน เช่น ตักบาตรถวายทาน เป็นต้น ท่านก็ใช้อนุโมทนาแบบเบ็ดเสร็จ คือ เป็นแบบของพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ องค์ เป็นถ้อยคำที่มีข้อความอย่างเดียวกันที่ใช้แก่ทุกคน ทุกๆ งาน ซึ่งพระสงฆ์ใช้เป็นแม่บทในการสวดมนต์ให้พร ดังต่อไปนี้
พระภิกษุประธานสงฆ์สวดนำ
ยถา วาริวหา ปูรา (1)
ห้วงน้ำใหญ่เต็มแล้ว
ปริปูเรนติ สาครํ
ย่อมไหลไปยังสาคร (มหาสมุทร) ให้เต็มฉันใด
เอวเมว อิโต ทินฺนํ
ทานที่ท่านให้แล้วแต่โลกนี้
เปตานํ อุปกปฺปติ
ย่อมสำเร็จแก่ญาติผู้ละโลกไปแล้ว ฉันนั้น
อิจฺฉิตํ ปตฺถิติ ตุมหํ
ผลที่ท่านต้องการ ที่ท่านปรารถนา
ขิปฺปเมว สมิชฺฌตุ
จงสำเร็จแก่ท่านฉับพลัน ทันที
สพฺเพ ปูเรนฺตุ สงฺกปฺปา
เหมือนความด่าริทุกอย่างจงบริบูรณ์
จนฺโท ปณฺณรโส ยถา
เหมือนดวงจันทร์วันเพ็ญ
มณีโชติ รโส ยถา (2)
เหมือนแก้วมณีโชติรส (แก้วสารพัดนึก) อันโชติช่วง ฉะนั้น_________________________________
(1) เจ้าภาพเริ่มเท กรวด ลงในภาชนะที่รองรับ - เริ่มกรวดน้ำ (อธิษฐาน)
(2) เทน้ำที่เหลือให้หมดลงภาชนะนั้น แล้ววางที่กรวดน้ำ นั่งประนมมือรับพรพระต่อไป
พระภิกษุรูปอื่นในพิธีนั้น สวดต่อพร้อมกันว่า
สพฺพีติโย วิวชฺชนฺตุ
ขอเสนียดจัญไรทั้งหลายจงสูญสิ้นไป
สพฺพโรโค วินสฺสนฺตุ
ขอสรรพโรคทั้งหลายจงเหือดหายหมดไป
มา เต ภวตฺวนฺตราโย
ขออันตรายจงอย่าได้มีแก่ท่าน
สุขี
ขอจงมีความสุข
ทีฆายุโก ภว
ขอให้มีอายุยืน
อภิวาทนสีลสฺส นิจฺจํ
ผู้มีปกติอภิวาทอยู่เป็นเนืองนิจ
วุฑฺฒาจาปจายิโน
ผู้ประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ทรงคุณวุฒิ
จตุตาโร ธมฺมา
คุณธรรม ๔ ประการ
วฑฺฒนฺติ
ย่อมเจริญ (แก่เขา)
อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ
คือ อายุ วรรณะ สุขะ และ พละ
๒. บทอนุโมทนาเฉพาะพิธี
บทอนุโมทนาเฉพาะพิธีได้แก่ บทอนุโมทนาที่พระสงฆ์ใช้สวดแทรก เมื่อจบคำว่า อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ ก่อนจะขึ้นบทว่า ภวตุ สพฺ....
เนื่องจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามิได้วางระเบียบเกี่ยวกับเรื่องบทอนุโมทนาไว้ จึงเป็นหน้าที่ของพระภิกษุสงฆ์ผู้จะทําอนุโมทนา ต้องเลือกบทพุทธธรรม ที่มีเนื้อความตรงหรือเกี่ยวเนื่องกับงานพิธีนั้นๆ เช่น
• ยสฺมิง ปเทเส....ฯลฯ
ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ เปิดที่ทำงานใหม่
• โส อตฺถลทฺโธ....สา อตฺถลทฺธา....เต อตฺถลทฺธา....ฯลฯ
ทําบุญวันคล้ายวันเกิด
• อทาสิเม....ฯลฯ
ทําบุญอุทิศให้ผู้ตาย
ขอบคุณที่มา :
https://kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=23116ขอบคุณภาพจาก : pinterest
หลักการกล่าวสัมโมทนียกถาการกล่าวสัมโมทนียกถา มีหลักต้องกล่าว ๓ ขั้นตอน ดังนี้
๑. ปรารภเหตุ ได้แก่ เริ่มต้นบอกถึงความรู้สึกของตน
เนื่องในเหตุใด เช่น ยินดีในการต้อนรับ, การได้รับหรือเลื่อนยศตำแหน่ง, การมอบหรือรับสิ่งของ ฯลฯ กล่าวเท้าความถึงความเป็นมาเล็กน้อย เช่น ถ้ากล่าวต้อนรับผู้เยือนวัด ก็อาจกล่าวถึงประวัติวัด, ถ้ากล่าวแสดงความยินดีต่อผู้ฟังที่ได้รับหรือเลื่อนตำแหน่ง ก็เท้าความถึงความสำคัญของยศ ตำแหน่งนั้น
ถ้ากล่าวคําไว้อาลัยผู้จากไป ก็เท้าความถึงความดีของผู้ที่จากไป ฯลฯ
๒. กล่าวยกย่อง หมายถึง แสดงการยกย่องผู้นั้น โดยกล่าวถึงความดีของผู้นั้นตามความเป็นจริง
๓. คล้องน้ำใจ เนื่องจากผู้พูดเป็นพระ ดังนั้นก็ต้องใช้คำของพระเป็นเครื่องคล้องใจผู้นั้นไว้ คำของพระก็คือ ข้อคิด คติธรรมสั้นๆ ที่เหมาะสมกับเหตุการณ์นั้น และลงท้ายด้วยการให้พร คติธรรมกับคําอวยพรถือว่าเป็นมาลัยอันประเสริฐที่มอบให้เป็นการคล้องใจของผู้ฟัง
@@@@@@@
การให้พร
คนไทยโบราณนั้นเมื่อพบกัน ก่อนจะจากกันผู้อาวุโสกว่าจะกล่าวคำอวยพรแก่ผู้ที่จะจากไป แต่ปัจจุบันนิยมให้พรแก่ผู้ที่มอบ (หรือถวาย) ของให้เท่านั้น ที่จริงการให้พรแก่กัน สามารถให้กันได้ทุกโอกาส ไม่จำเป็นต้องให้พรเฉพาะเมื่อมีผู้ให้ของเท่านั้น นี่คือวัฒนธรรมไทย
พร แปลว่า “ประเสริฐ” การให้พรก็คือ การกล่าววาจาที่มุ่งให้เกิดความประเสริฐแก่กัน
พรนี้จะสำเร็จด้วยอานุภาพของบุญ คือ ผลของความดี และอำนาจสัจวาจา เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้พรพระอานนท์ ก่อนที่พระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานว่า
“พระอานนท์ตั้งเมตตา ทางกาย วาจา ใจ ในพระองค์มาตลอดกาลนาน ได้ชื่อว่าทำบุญไว้แล้ว จงเริ่มตั้งความเพียรเถิด จะเป็นผู้สิ้นอาสวะโดยพลัน”
หลังจากพุทธปรินิพพานแล้ว พระอานนท์ก็ตั้งความเพียรจนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ตามพรที่พระพุทธองค์ตรัสให้ไว้
อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ พระองคุลีมาลเห็นหญิงครรภ์แก่ แต่คลอดบุตรไม่ได้ ปรารถนาอนุเคราะห์หญิงนั้น หลังกลับจากบิณฑบาตฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว เข้าไปเฝ้า กราบทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์ตรัสให้พระองคุลีมาลกลับไปหาหญิงนั้นแล้วตั้งสัจวาจาว่า
“ตั้งแต่เราเกิดแล้วในอริยชาติ จะได้แกล้งปลงสัตว์จากชีวิตหามิได้ ด้วยสัจวาจานี้ขอความสวัสดี จงมีแก่ครรภ์ของน้องหญิงเถิด”
พระองคุลีมาลทําตามที่พระบรมศาสดาตรัสสอน หญิงมีครรภ์แก่ก็คลอดบุตรโดยง่าย
@@@@@@@
ดังนั้น การให้พร หากกระทำถูกต้องตามหลักธรรม ก็จะเป็นพิธีกรรมที่มีความศักดิ์สิทธิ์
ข้อควรระวังในการให้พร คือ ไม่ควรกล่าวคำให้พรโดยเจตนาล้อเล่น
เช่น “ขอให้ท่านมีอายุยืนหลายหมื่นปี” เพราะจะทำให้การให้พรกลายเป็นของเล่น สนุกสนานไปขอบคุณที่มา :
https://kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=23117ขอบคุณภาพจาก : pinterest