.
ที่มา : อนุโมทนารัมภคาถา
อนุโมทนารัมภคาถา (บาลี)
บทที่ ๑. ยถา วาริวหา ปูรา ปริปูเรนฺติ สาครํ
เอวเมว อิโต ทินฺนํ เปตานํ อุปกปฺปติ
บทที ๒. อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ ตุมฺหํ ขิปฺปเมว สมิชฺฌตุ
สพฺเพ ปูเรนฺตุ สงฺกปฺปา จนฺโท ปณฺณรโส ยถา
มณิ โชติรโส ยถา
ที่มาของบทที่ ๒. อยู่ใน เรื่องสุขสามเณร
๑๑. สุขสามเณรวตฺถุ. (๑๑๗) (ยกมาแสดงบางส่วน)
อรรถกถาเล่มที่ ๒๒ ภาษาบาลีอักษรไทย | ธ.อ.๕ ปาป-ชราวคฺค | ๑๐. ทณฺฑวคฺควณฺณนา"อชฺช ตเมว ปริวาเรถาติ วตฺวา สพฺพํ สมฺปตฺตึ ตสฺส นิยฺยาเทสิ. โส เสฏฺฐิโน นหาโนทเกน ตตฺเถว (๑-) โกฏฺฐเก ตสฺมึ ผลเก นิสินฺโน นหาตฺวา ตสฺเสว นิวาสนสาฏเก นิวาเสตฺวา ตสฺเสว ปลฺลงฺเก นิสีทิ.เสฏฺฐีปิ นคเร เภริญฺจาราเปสิ
"ภตฺตภติโก คนฺธเสฏฺฐิสฺส เคเห ตีณิ สํวจฺฉรานิ ภตึ กตฺวา ภตฺตปาตึ ลภิ, ตสฺส ภุญฺชนสมฺปตฺตึ โอโลเกนฺตูติ.
มหาชโน มญฺจาติมญฺจํ อภิรุหิตฺวา ปสฺสติ. คามวาสิสฺส โอโลกิโตโลกิตฏฺฐานํ กมฺปนาการปฺปตฺตํ อโหสิ.
นาฏกา ตํ ปริวาเรตฺวา อฏฺฐํสุ. ตสฺส ปุรโต ภตฺตปาตึ วฑฺเฒตฺวา ฐปยึสุ.
อถสฺส หตฺถโธวนเวลาย คนฺธมาทเน เอโก ปจฺเจกพุทฺโธ สตฺตเม ทิวเส สมาปตฺติโต วุฏฺฐาย
"กตฺถ นุ โข อชฺช ภิกฺขาจารตฺถาย คจฺฉามีติ อุปธาเรนฺโต ภตฺตภติกํ อทฺทส. อถ โส (๒-)
"อยํ ตีณิ สํวจฺฉรานิ ภตึ กตฺวา ภตฺตปาตึ ลภิ, อตฺถิ นุ โข เอตสฺส สทฺธา นตฺถีติ อุปธาเรนฺโต
"อตฺถีติ ญตฺวา "สทฺธาปิ เอกจฺเจ สงฺคหํ กาตุํ น สกฺโกนฺติ, สกฺขิสฺสติ นุ โข เม สงฺคหํ กาตุนฺติ จินฺเตตฺวา [อถ นํ] "สกฺขิสฺสติ เจว มม จ สงฺคหการณํ นิสฺสาย มหาสมฺปตฺตึ ลภิสฺสตีติ ญตฺวา จีวรํ ปารุปิตฺวา ปตฺตมาทาย เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา ปริสนฺตเรน คนฺตฺวา ตสฺส ปุรโต ฐิตเมว___________________________________________
@เชิงอรรถ : (๑-) สี. ยุ. ตสฺเสว. , (๒-) สี. ยุ. อถสฺส เอตทโหสิ.
(คำแปล)นายภัตตภติกะเตรียมบริโภคภัต
นายภัตตภติกะนั้น นั่งบนแผ่นกระดานนั้นในซุ้มนั้นนั่นแล อาบน้ำด้วยน้ำสำหรับอาบของเศรษฐี นุ่งผ้าสาฎกสำหรับนุ่งของเศรษฐีนั่นแหละ แล้วนั่งบนบัลลังก์ของเศรษฐีนั้นเหมือนกัน.
แม้ท่านเศรษฐีก็ใช้ให้คนเอากลองเที่ยวตีประกาศไปในพระนครว่า "นายภัตตภติกะทำการรับจ้างตลอด ๓ ปีในเรือนของคันธเศรษฐี ได้ถาดภัตถาดหนึ่ง ขอชนทั้งหลายจงดูสมบัติแห่งการบริโภคของเขา."
มหาชนได้ขึ้นเตียงซ้อนเตียงดูอยู่. ที่ๆ ชายชาวบ้านนอกแลดูแล้วๆ ก็ได้ถึงอาการหวั่นไหว. พวกนักฟ้อนได้ยืนล้อมนายภัตตภติกะนั้น. พวกคนใช้ยกถาดภัตถาดหนึ่ง ตั้งไว้ข้างหน้าของนายภัตตภติกะนั้นแล้ว.
ครั้งนั้น ในเวลาที่นายภัตตภติกะนั้นล้างมือ พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งที่ภูเขาคันธมาทน์ ออกจากสมาบัติในวันที่ ๗ แล้ว ใคร่ครวญอยู่ว่า "วันนี้ เราจักไปเพื่อประโยชน์แก่ภิกขาจารในที่ไหนหนอแล.?" ก็ได้เห็นนายภัตตภติกะแล้ว.
ครั้งนั้น ท่านพิจารณาต่อไปอีกว่า "นายภัตตภติกะนี้ทำการรับจ้างถึง ๓ ปี จึงได้ถาดภัต. ศรัทธาของเขามีหรือไม่มีหนอ.?"
ใคร่ครวญไปก็ทราบได้ว่า "ศรัทธาของเขามีอยู่" คิดไปอีกว่า "คนบางพวก ถึงมีศรัทธา ก็ไม่อาจเพื่อทำการสงเคราะห์ได้, นายภัตตภติกะนี้จักอาจหรือไม่หนอ เพื่อจะทำการสงเคราะห์เรา.?"
ก็รู้ว่า "นายภัตตภติกะจักอาจทีเดียว ทั้งจักได้มหาสมบัติเพราะอาศัยเหตุ คือการสงเคราะห์แก่เราด้วย" ดังนี้แล้ว จึงห่มจีวรถือบาตร เหาะขึ้นสู่เวหาสไปโดยระหว่างบริษัท แสดงตนยืนอยู่ข้างหน้าแห่งนายภัตตภติกะนั้น นั่นแล.
อตฺตานํ ทสฺเสสิ. โส ปจฺเจกพุทฺธํ ทิสฺวา จินฺเตสิ
"อหํ ปุพฺเพ อทินฺนภาเวน เอกิสฺสา ภตฺตปาติยา อตฺถาย ตีณิ สํวจฺฉรานิ ปรเคเห ภตึ อกาสึ, อิทานิ เม อิทํ ภตฺตํ เอกรตฺตินฺทิวํ รกฺเขยฺย, สเจ ปน ตํ อยฺยสฺส ทสฺสามิ ;
อเนกานิ (๑-) กปฺปโกฏิสหสฺสานิ รกฺขิสฺสติ, อยฺยสฺเสว นํ ทสฺสามีติ. โส ตีณิ สํวจฺฉรานิ ภตึ กตฺวา ลทฺธภตฺตปาติโต เอกปิณฺฑมฺปิ มุเข อฏฺฐเปตฺวาว ตณฺหํ วิโนเทตฺวา สยเมว ปาตึ อุกฺขิปิตฺวา ปจฺเจกพุทฺธสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา
ปาตึ อญฺญสฺส หตฺเถ ทตฺวา ปญฺจปติฏฺฐิเตน วนฺทิตฺวา ปาตึ วามหตฺเถน คเหตฺวา ทกฺขิณหตฺเถน ตสฺส ปตฺเต ภตฺตํ อากิริ.
ปจฺเจกพุทฺโธ ภตฺตสฺส อุปฑฺฒเสสกาเล ปตฺตํ หตฺเถน ปิทหิ. อถ นํ โส อาห
"ภนฺเต เอโกว ปฏิวึโส น สกฺกา ทฺวิธา กาตุํ, มา มํ อิธ โลเก สงฺคณฺหาถ (๒-), ปรโลเก สงฺคหเมว กโรถ, สาวเสสํ อกตฺวา นิรวเสสเมว ทสฺสามีติ. _________________________________________________
@เชิงอรรถ : (๑-) สี. ยุ. เอตฺถนฺตเร "มนฺติ อตฺถิ. , (๒-) สงฺคณฺหถาติ ภวิตพฺพํ.
(คำแปล)นายภัตตภติกะถวายภัตแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า
นายภัตตภติกะนั้นเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว คิดว่า "เราได้ทำการรับจ้างในเรือนคนอื่นถึง ๓ ปี ก็เพื่อประโยชน์แก่ถาดภัตถาดเดียว เพราะความที่เราไม่ได้ให้ทานในกาลก่อน, บัดนี้ ภัตนี้ของเราพึงรักษาเรา ก็เพียงวันหนึ่งคืนหนึ่ง, ก็ถ้าเราจักถวายภัตนั้นแก่พระผู้เป็นเจ้า, ภัตจักรักษาเราไว้มิใช่พันโกฏิกัลป์เดียว เราจักถวายภัตนั้นแก่พระผู้เป็นเจ้าละ."
นายภัตตภติกะนั้นทำการรับจ้างตลอด ๓ ปี ได้ถาดภัตแล้ว ไม่ทันวางภัตแม้ก้อนเดียวในปาก บรรเทาความอยากได้ ยกถาดภัตขึ้นเองทีเดียว ไปสู่สำนักของพระปัจเจกพุทธเจ้า ให้ถาดในมือของคนอื่นแล้ว ไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้ว เอามือซ้ายจับถาดภัต เอามือขวาเกลี่ยภัตลงในบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น.
พระปัจเจกพุทธเจ้าได้เอามือปิดบาตรเสีย ในเวลาที่ภัตยังเหลืออยู่กึ่งหนึ่ง.
ครั้งนั้น นายภัตตภติกะนั้นเรียนท่านว่า "ท่านขอรับ ภัตส่วนเดียวเท่านั้น ผมไม่อาจเพื่อจะแบ่งเป็น ๒ ส่วนได้ ท่านอย่าสงเคราะห์ผมในโลกนี้เลย ขอจงทำการสงเคราะห์ในปรโลกเถิด ผมจักถวายทั้งหมดทีเดียว ไม่ให้เหลือ."
อตฺตโน หิ โถกมฺปิ อนวเสเสตฺวา ทินฺนํ นิรวเสสนฺนาม, ตํ มหปฺผลํ โหติ. โส ตถา กโรนฺโต สพฺพํ ทตฺวา ปุน วนฺทิตฺวา
"ภนฺเต เอกํ ภตฺตปาตึ นิสฺสาย ตีณิ สํวจฺฉรานิ เม ปรเคเห ภตึ กโรนฺเตน ทุกฺขํ อนุภูตํ, อิทานิ เม นิพฺพตฺตฏฺฐาเน
สุขเมว โหตุ, ตุมฺเหหิ ทิฏฺฐธมฺมสฺเสว ภาคี ภเวยฺยนฺติ อาห.
ปจฺเจกพุทฺโธ "เอวํ โหตุ, จินฺตามณิ วิย เต สพฺพกาเม ททมานา สงฺกปฺปา ปุณฺณจนฺโท วิย ปริปูเรนฺตูติ อนุโมทนํ กโรนฺโต
"อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ ตุยฺหํ ขิปฺปเมว สมิชฺฌตุ,
สพฺเพ ปูเรนฺตุ สงฺกปฺปา จนฺโท ปณฺณรโส (๑-) ยถา,
อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ ตุยฺหํ ขิปฺปเมว สมิชฺฌตุ,
สพฺเพ ปูเรนฺตุ สงฺกปฺปา มณิ โชติรโส ยถาติ (คาถานี้อยู่ในบทที่ ๒. อนุโมทนารัมภคาถา)
วตฺวา "อยํ มหาชโน (๒-) ยาว คนฺธมาทนปพฺพตคมนา มํ ปสฺสนฺโตว ติฏฺฐตูติ อธิฏฺฐาย อากาเสน คนฺธมาทนํ อคมาสิ. มหาชโนปิ นํ ปสฺสนฺโตว อฏฺฐาสิ.
โส ตตฺถ คนฺตฺวา ตํ ปิณฺฑปาตํ ปญฺจสตานํ ปจฺเจกพุทฺธานํ วิภชิตฺวา อทาสิ. สพฺเพ อตฺตโน ปโหนกํ คณฺหึสุ.
"อปฺโป ปิณฺฑปาโต กถํ ปโหตีติ น จินฺเตตพฺพํ. จตฺตาริ หิ อจินฺเตยฺยานิ วุตฺตานิ, ตตฺรายํ ปจฺเจกพุทฺธวิสโยติ. __________________________________
@เชิงอรรถ : (๑-) ยุ. ปณฺณเรสี., (๒-) สี. ยุ. ชโน.
(คำแปล)ทานที่ถวายไม่เหลือมีผลมาก
จริงอยู่ ทานที่บุคคลถวายไม่เหลือไว้เพื่อตน แม้แต่น้อยหนึ่ง ชื่อว่าทานไม่มีส่วนเหลือ ทานนั้นย่อมมีผลมาก.
นายภัตตภติกะนั้น เมื่อทำอย่างนั้น จึงได้ถวายหมด ไหว้อีกแล้ว เรียนว่า "ท่านขอรับ ผมอาศัยถาดภัตถาดเดียว ต้องทำการรับจ้างในเรือนของคนอื่นถึง ๓ ปี ได้เสวยทุกข์แล้ว, บัดนี้ ขอความสุขจงมีแก่กระผมในที่ที่บังเกิดแล้วเถิด. ขอกระผมพึงมีส่วนแห่งธรรมที่ท่านเห็นแล้วเถิด."
พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า "ขอจงสมคิด เหมือนแก้วสารพัดนึก ความดำริอันให้ความใคร่ทุกอย่าง จงบริบูรณ์แก่ท่าน เหมือนพระจันทร์ในวันเพ็ญฉะนั้น"
เมื่อจะทำอนุโมทนา จึงกล่าวว่า
"สิ่งที่ท่านมุ่งหมายแล้ว จงสำเร็จพลันทีเดียว,
ความดำริทั้งปวง จงเต็มเหมือนพระจันทร์ในวันเพ็ญ.
สิ่งที่ท่านมุ่งหมายแล้ว จงสำเร็จพลันทีเดียว,
ความดำริทั้งปวง จงเต็มเหมือนแก้วมณีโชติรส ฉะนั้น"
ดังนี้แล้ว อธิษฐานว่า "ขอมหาชนนี้จงยืนเห็นเรา จนกระทั่งถึงเขาคันธมาทน์เถิด." ได้ไปสู่ภูเขาคันธมาทน์โดยอากาศแล้ว. ถึงมหาชนก็ได้ยืนเห็นท่านอยู่นั่นแหละ.
พระปัจเจกพุทธเจ้าไปภูเขาคันธมาทน์แล้ว ได้แบ่งบิณฑบาตนั้นถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ รูป พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ รูป ได้รับเอาภัตเพียงพอแก่ตนๆ แล้ว.
ใครๆ ไม่พึงคิดว่า "บิณฑบาตเล็กน้อยจะพอเพียงอย่างไร.?"
ด้วยว่าอจินไตย ๔ อย่าง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้ว ในอจินไตย ๔ เหล่านั้น นี้ก็เป็นปัจเจกพุทธวิสัยแล._____________________________________________________
ที่มา(บาลี) :
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=22&A=882ที่มา(คำแปล) :
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=20&p=11ขอบคุณภาพจาก : pinterest

คำอนุโมทนาของพระปัจเจกพุทธเจ้า (อีกสำนวนหนึ่ง)
แก้ไขเพิ่มเติม ณ วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๗
ผมได้มีโอกาสอ่าน เรื่อง พรรณนาอัพภันตรนิทาน (อยู่ใน อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ เถราปทาน ๑. พุทธวรรค , ๑. พุทธาปทาน , หน้าต่างที่ ๙ / ๑๑.) ได้เห็นคำอนุโมทนาของพระปัจเจกพุทธเจ้า ขอยกมาแสดงดังนี้
เถราปทาน
๑. พุทฺธวคฺค
อพฺภนฺตรนิทานวณฺณนา
[๕] "อถ พุทฺธาปทานานิ สุณาถ สุทฺธมานสา
ตึสปารมิสมฺปุณฺณา ธมฺมราชา อสงฺขิยา" ติ
เอตฺถ อถาติ อธิการนฺตรูปทสฺสนตฺเถ นิปาตปทํ, วิภตฺติยุตฺตายุตฺตนิปาตทฺวเยสุ วิภตฺติยุตฺตนิปาตปทํ.
อถ วา :-
อธิกาเร มงฺคเล เจว นิปฺผนฺนตฺเถวธารเณ
อนนฺตเรปคมเน อถสทฺโท ปวตฺตติ.
ตถา หิ:-
"อธิกิจฺจํ อธิฏฺฐานํ อธิอตฺถํ วิภาสติ
เสฏฺฐเชฏฺฐกภาเวน อธิกาโร วิธียเต" ติ
วุตฺตตฺตา พุทฺธานํ สมตฺตึสปารมิธมฺมานํ อธิกิจฺจโต, เสฏฺฐเชฏฺฐโต อธิการฏฺเฐน อถสทฺเทน ยุตฺตมปทานานีติ.
ติวิธโพธิสตฺตานํ ปูชามงฺคลสภาวโต "ปูชา จ ปูชเนยฺยานํ, เอตํ มงฺคลมุตฺตมนฺ" ติ วจนโต มงฺคลฏฺเฐน อถสทฺเทน ยุตฺตมปทานานีติ.
พุทฺธาทีนํ ภควนฺตานํ สมฺปตฺติกิจฺจสฺส อรหตฺตมคฺเคน นิปฺผนฺนโต นิปฺผนฺนฏฺเฐน อถสทฺเทน ยุตฺตมปทานานีติ.
พุทฺธาทีนํ อรหตฺตมคฺคาทิกุสลโต อญฺญกุสลานํ อภาวโต อวธารณฏฺเฐน นิวารณฏฺเฐน อถสทฺเทน ยุตฺตมปทานานีติ.
ขุทฺทกปาฐสงฺคหานนฺตรํ สงฺคหิตนฺติ อนนฺตรฏฺเฐน อถสทฺเทน ยุตฺตมปทานานีติ.
@@@@@@@
อิโต ขุทฺทกปาฐโต ปฏฺฐายาติ อปคมนฏฺเฐน อถสทฺเทน ยุตฺตมปทานานีติ.
พุทฺโธติ เอตฺถ พุชฺฌิตา สจฺจานีติ พุทฺโธ,
โพเธตา ปชายาติ พุทฺโธ,
สพฺพญฺญุตาย พุทฺโธ,
สพฺพทสฺสาวิตาย พุทฺโธ,
อนญฺญเนยฺยตาย พุทฺโธ,
วิสวิตาย พุทฺโธ,
ขีณาสวสงฺขาเตน พุทฺโธ,
นิรุปกฺกิเลสสงฺขาเตน พุทฺโธ,
ปพฺพชฺชาสงฺขาเตน พุทฺโธ,
อทุติยฏฺเฐน พุทฺโธ,
ตณฺหาปหานฏฺเฐน พุทฺโธ,
เอกายนมคฺคํ คโตติ พุทฺโธ,
เอโก อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ อภิสมฺพุทฺโธติ พุทฺโธ,
อพุทฺธิวิหตตฺตา พุทฺธิปฏิลาภา พุทฺโธ,
พุทฺธิ พุทฺธํ โพโธติ อนตฺถนฺตรเมตํ. ยถา นีลาทิวณฺณโยคโต ปโฏ "นีโล ปโฏ, รตฺโต ปโฏ" ติ วุจฺจติ, เอวํ พุทฺธคุณโยคโต พุทฺโธ.
@@@@@@@
อถ วา "โพธี"ติ วุจฺจติ จตูสุ มคฺเคสุ ญาณํ, เตน ญาเณน สกลทิยฑฺฒสหสฺสกิเลสาริคเณ เขเปตฺวา นิพฺพานาธิคมนโต ญาณํ "โพธี" ติ วุจฺจติ. เตน สมฺปยุตฺโต สมงฺคีปุคฺคโล พุทฺโธ. เตเนว ญาเณน ปจฺเจกพุทฺโธปิ สพฺพกิเลเส เขเปตฺวา นิพฺพานมธิคจฺฉติ.
พุทฺธานํ ปน จตูสุ อสงฺเขฺยยฺเยสุ กปฺปสตสหสฺเสสุ จ ปารมิโย ปูเรตฺวา โพธิญาณสฺสาธิคตตฺตา จ อินฺทฺริยปโรปริยตฺตญาณ มหากรุณาสมาปตฺติ-ญาณ ยมกปาฏิหาริยญาณ สพฺพญฺญุตญฺญาณ อนาวรณอาสยานุสยาทิอสาธารณญาณานํ
สมธิคตตฺตา จ เอกายปิ ธมฺมเทสนาย อสงฺเขฺยยฺยสตฺตนิกาเย ธมฺมามตํ ปาเยตฺวา นิพฺพานสฺส ปาปนโต จ ตเทว ญาณํ พุทฺธานเมวาธิกภาวโต เตสเมว สมฺพุทฺธานํ อปทานํ การณํ พุทฺธาปทานํ.
ตญฺหิ ทุวิธํ กุสลากุสลวเสน. ปจฺเจกพุทฺธา ปน น ตถา กาตุํ สมตฺถา, อนฺนาทิปจฺจยทายกานํ ๒- สงฺคหํ กโรนฺตาปิ :-
"อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ ตุยฺหํ ขิปฺปเมว สมิชฺฌตุ
ปูเรนฺตุ จิตฺตสงฺกปฺปา จนฺโท ปณฺณรโส ยถา.
อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ ตุยฺหํ ขิปฺปเมว สมิชฺฌตุ
ปูเรนฺตุ จิตฺตสงฺกปฺปา มณิโชติรโส ยถา" ติ
(คาถานี้อยู่ในบทที่ ๒. อนุโมทนารัมภคาถา)
@@@@@@@
อิมาหิ ทฺวีหิเยว คาถาหิ ธมฺมํ เทเสนฺติ. เทเสนฺตาปิ อสงฺเขฺยยฺยสตฺตนิกาเย โพเธตุํ น สกฺกุณนฺติ, ตสฺมา น สพฺพญฺญุพุทฺธสทิสา หุตฺวา ปาฏิเยกฺกํ วิสุํ พุทฺธาติ ปจฺเจกพุทฺธา. เตสํ อปทานํ การณํ ปจฺเจกพุทฺธาปทานํ.
จิรํ ฐิตาติ เถรา.
อถ วา ถิรตรสีลาจารมทฺทวาทิคุเณหิ ยุตฺตาติ เถรา.
อถ วา ถิรวรสีลสมาธิปญฺญาวิมุตฺติวิมุตฺติญาณทสฺสนคุเณหิ ยุตฺตาติ เถรา.
อถ วา ถิรตรสงฺขาตปณีตานุตฺตรสนฺตินิพฺพานมธิคตาติ เถรา,
เถรานํ อปทานานิ เถราปทานานิ.
ตถา ตาทิคุเณหิ ยุตฺตาติ เถรี, เถรีนํ อปทานานิ เถรีปทานานิ.__________________________________________
ที่มา : อรรถกถาเล่มที่ ๔๙ ภาษาบาลีอักษรไทย อป.อ.๑ (วิสุทฺธ.๑) , ขุทฺทกนิกาย อปทานฏฺฐกถา (ปฐโม ภาโค)
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=49&A=1
พรรณนาอัพภันตรนิทาน
ศัพท์ว่า อถ ในคาถานี้ว่า
ลำดับนี้ ท่านทั้งหลายผู้มีใจบริสุทธิ์ จงสดับพุทธาปทานว่า เราเป็นพระธรรมราชาสมบูรณ์ด้วยบารมี ๓๐ ถ้วน ซึ่งใครๆ นับไม่ได้ ดังนี้.
เป็นบทนิบาตใช้ในอรรถว่า แสดงลำดับแห่งอธิการ คือเป็นบทนิบาตที่ประกอบด้วยวิภัตติ ในบรรดานิบาตทั้งสอง ที่ประกอบด้วยวิภัตติและไม่ประกอบวิภัตติ.
อีกอย่างหนึ่ง
อถ ศัพท์เป็นไปในอรรถว่า อธิการ, มงคล,
อรรถว่า สำเร็จ, อวธารณะ,
อรรถว่า ต่อเนื่องกันไป, และอรรถว่า ปราศจากไป.
จริงอย่างนั้น เพราะท่านกล่าวไว้ว่า
อธิการย่อมบ่งบอกถึงกิจอันยิ่ง ฐานะอันยิ่ง และอรรถอันยิ่ง ท่านกล่าวไว้โดยภาวะอันประเสริฐที่สุดและเจริญที่สุด ดังนี้.
(เชื่อมความว่า) ท่านทั้งหลายจงฟังอปทาน (คือเหตุ) อันประกอบด้วย อถศัพท์อันมีอธิการเป็นอรรถ โดยเป็นกิจอันยิ่งแห่งบารมีธรรม ๓๐ ถ้วนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย คือโดยภาวะอันประเสริฐที่สุดและเจริญที่สุด.
เชื่อมความว่า ท่านทั้งหลายจงฟังอปทานอันประกอบด้วย อถศัพท์ซึ่งมีมงคลเป็นอรรถ โดยพระบาลีว่า การบูชาผู้ควรบูชา นั่นเป็นมงคลอันสูงสุด เพราะการบูชาพระโพธิสัตว์ ๓ จำพวกเป็นมงคลโดยสภาพ.
เชื่อมความว่า ท่านทั้งหลายจงฟังอปทานที่ประกอบด้วย อถศัพท์อันมีความสำเร็จเป็นอรรถ เพราะกิจแห่งสมบัติของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นต้น สำเร็จแล้วด้วยพระอรหัตมรรค.
เชื่อมความว่า ท่านทั้งหลายจงฟังอปทานอันประกอบด้วย อถศัพท์อันมีอวธารณะเป็นอรรถ คือมีการห้ามเป็นอรรถ เพราะพระพุทธเจ้าเป็นต้น ไม่มีกุศลอื่นจากกุศลมีอรหัตมรรคเป็นต้น.
เชื่อมความว่า ท่านทั้งหลายจงฟังอปทานอันประกอบด้วย อถศัพท์อันมีอนันตระ ความต่อเนื่องกันเป็นอรรถ เพราะท่านร้อยกรองไว้ติดต่อกับการร้อยกรองขุททกปาฐะ.
เชื่อมความว่า ท่านทั้งหลายจงฟังอปทานอันประกอบด้วย อถศัพท์ซึ่งมีการจากไปเป็นอรรถ เพราะเริ่มจากขุททกปาฐะนี้ไป.
@@@@@@@
ในบทว่า พุทฺโธ พระพุทธเจ้า นี้มีวิเคราะห์ดังต่อไปนี้.
ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะตรัสรู้สัจจะทั้งหลาย.
ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะยังหมู่สัตว์ให้ตรัสรู้.
ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะทรงเป็นผู้รู้สิ่งทั้งปวง.
ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะทรงหยั่งเห็นสิ่งทั้งปวง.
ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะทรงเป็นผู้ไม่มีคนอื่นแนะนำ.
ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะทรงเป็นผู้เบิกบาน.
ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะสิ้นอาสวะแล้ว.
ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะปราศจากอุปกิเลส.
ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะการถือบวช.
ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะอรรถว่าไม่เป็นที่สอง.
ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะอรรถว่าละตัณหาได้.
ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะเสด็จดำเนินทางเป็นที่ไปอันเอก.
ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะพระองค์เดียวตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยม.
ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะทรงได้เฉพาะความรู้ เป็นเหตุกำจัดความไม่รู้เสียได้.
บททั้งสามคือ พุทฺธิ พุทฺธํ โพโธ นี้ ไม่มีความแตกต่างกัน. ผ้าเขาเรียกว่า ผ้าเขียว ผ้าแดง เพราะประกอบด้วยสีเขียวเป็นต้น ฉันใด.
ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะประกอบด้วยคุณของพระพุทธเจ้า ฉันนั้น.
@@@@@@@
อีกอย่างหนึ่ง ญาณในมรรคทั้ง ๔ เรียกว่า โพธิ, ญาณที่เรียกว่าโพธิ เพราะทำหมู่กิเลส ๑,๕๐๐ ทั้งสิ้นให้สิ้นไป ด้วยญาณนั้นนั่นแหละแล้วบรรลุพระนิพพาน. สมังคีบุคคลผู้ประกอบพร้อมด้วยญาณนั้น ชื่อว่าเป็นพระพุทธเจ้า. แม้พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ทำกิเลสทั้งปวงให้สิ้นไปด้วยญาณนั้นเหมือนกัน แล้วจึงบรรลุพระนิพพาน.
ก็ญาณนั้นเท่านั้นเป็นอปทาน คือ เป็นเหตุของพระสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น โดยเป็นญาณอันยิ่งเฉพาะของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จึงชื่อว่า พุทธาปทาน
เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงบำเพ็ญบารมีมา ๔ อสงไขยแสนกัป จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ และเพราะทรงบรรลุอสาธารณญาณมีอินทริยปโรปริยัตติญาณ มหากรุณาสมาบัติญาณ ยมกปาฏิหาริยญาณ สัพพัญญุตญาณ อนาวรณญาณ อาสยานุสยญาณ เป็นต้น และเพราะทรงให้หมู่สัตว์นับไม่ถ้วนดื่มอมตธรรมด้วยพระธรรมเทศนา แม้กัณฑ์เดียวแล้วให้บรรลุพระนิพพาน.
ก็พุทธาปทานนั้นมี ๒ อย่าง โดยเป็นกุศลและอกุศล แต่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายไม่สามารถจะทำอย่างนั้นได้ แม้เมื่อจะทำการสงเคราะห์ทายกผู้ถวายปัจจัยมีข้าวเป็นต้น ก็แสดงธรรมด้วยคาถา ๒ คาถานี้เท่านั้นแหละ ว่า
ขออิฐผลที่ท่านอยากได้แล้วปรารถนาแล้ว จงสำเร็จโดยเร็วพลัน
ความดำริไว้ในใจจงเต็มที่ เหมือนพระจันทร์ในวันเพ็ญ ฉะนั้น.
ขออิฐผลที่ท่านอยากได้แล้วปรารถนาแล้ว จงสำเร็จโดยเร็วพลัน
ความดำริในใจจงเต็มที่ เหมือนแก้วมณีชื่อโชติรส ฉะนั้น ดังนี้.
(คาถานี้อยู่ในบทที่ ๒. อนุโมทนารัมภคาถา)
@@@@@@@
พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายแม้จะแสดงธรรม ก็ไม่อาจทำหมู่สัตว์นับไม่ถ้วนให้ตรัสรู้ได้ เพราะฉะนั้น จึงไม่เป็นเหมือนพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ตรัสรู้ได้เฉพาะโดยโดดเดี่ยว เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าพระปัจเจกพุทธเจ้า. อปทาน คือ เหตุแห่งพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น ชื่อว่า ปัจเจกพุทธาปทาน.
ชื่อว่า เถระ เพราะดำรงอยู่นาน.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า เถระ เพราะประกอบด้วยคุณ มีศีล อาจาระและมัทวะ ความอ่อนโยน เป็นต้น อันมั่นคงกว่า.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า เถระ เพราะประกอบด้วยคุณ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติและวิมุตติญาณทัสสนะอันมั่นคงและประเสริฐ.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า เถระ เพราะบรรลุพระนิพพาน คือ สันติที่นับว่ามั่นคงกว่า ประณีตและยอดเยี่ยม.
อปทานของพระเถระทั้งหลาย ชื่อว่า เถราปทาน.
ชื่อว่า เถรี เพราะประกอบด้วยตาทิคุณทั้งหลายเหมือนพระเถระ. อปทานของพระเถรีทั้งหลาย ชื่อว่า เถรีปทาน.___________________________________________
ที่มา : อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ เถราปทาน ๑. พุทธวรรค , ๑. พุทธาปทาน หน้าต่างที่ ๙ / ๑๑.
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=32.0&i=1&p=9ขอบคุณภาพจาก : pinterest
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=32&A=1&Z=146