ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: บทสวด "ยถา-สัพพี" ไม่ใช่พุทธพจน์ แล้วมาจากไหน.?  (อ่าน 5403 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



ยถา วาริ วหา คือ อะไร.?
ตอบโดย : khampan.a


 :25: :25: :25: :25:

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

บทว่า ยถา วาริวหา เป็นต้น นั้น จะได้ยินเวลาพระภิกษุท่านสวดแล้วคฤหัสถ์ก็จะกรวดน้ำ จริงๆ คืออะไร.? แล้วเป็นไปตามพระธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนา หรือไม่.?

จริงๆ แล้ว บทดังกล่าวเป็นคำภาษาบาลี เป็นข้อความที่มาจากพระไตรปิฎก คือ

บท "ยถา วาริวหา ปูราปาริปูเรนฺติ สาครํ เอวเมว อิโต ทินฺนํ เปตานํ อุปกปฺปติ" นั้น
ปรากฏในติโรกุฑฑสูตร ( [เล่มที่ 39] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ หน้าที่ ๒๗๗)

ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ พระเจ้าพิมพิสาร ปรารภการถวายทานอุทิศแก่ญาติผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ที่ไปเกิดเป็นเปรต แปลเป็นไทยตามข้อความที่ปรากฏในพระไตรปิฎกที่แปลเป็นภาษาไทยแล้ว คือ

    "ห้วงน้ำเต็มแล้ว ย่อมยังสาครให้เต็ม ฉันใด ทานที่ทายกให้ไปจากมนุษยโลกนี้ ย่อมสำเร็จผลแก่ฝูงเปรต ฉันนั้น เหมือนกัน"

@@@@@@@

ส่วน บท "อิจฉิตํ ปตฺถิตํ ตุยฺหํ ฯลฯ " เป็นต้นนั้น ไม่ใช่บทที่ต่อกันกับบท ยถา วาริวหา เลย เป็นคนละเรื่องเลย เพราะบทเต็มๆ ของบทหลังนั้น เรียกว่า เป็นคาถาอนุโมทนาของพระปัจเจกพุทธเจ้า ซึ่งจะปรากฏในหลายๆ พระสูตร เช่น อดีตชาติของท่านสุขสามเณร อดีตชาติของท่านพระอนุรุทธะ เป็นต้น ที่ได้ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจก-พุทธเจ้าก็กล่าวอนุโมทนาในบุญกุศลที่ได้กระทำไปแล้ว บทนั้น คือ

อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ ตุยฺหํ ขิปฺปเมว สมิชฺฌตุ
สพฺเพ ปูเรนฺตุ สงฺกปฺปา จนฺโท ปณฺณรโส ยถา ฯ
อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ ตุยฺหํ ขิปฺปเมว สมิชฺฌตุ
สพฺเพ ปูเรนฺตุ สงฺกปฺปา มณิ โชติรโส ยถาติ


แปลเป็นไทยได้ตามข้อความจากพระไตรปิฎกได้ว่า
[เล่มที่ 32] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๓๐๘

    "สิ่งที่ต้องการแล้ว ปรารถนาแล้ว จงพลันสำเร็จแก่ท่าน, ขอความดำริทั้งปวง จงเต็ม ดังพระจันทร์ ซึ่งมีในดิถีที่ ๑๕. สิ่งที่ต้องการแล้ว ปรารถนาแล้ว จงพลันสำเร็จแก่ท่าน, ขอความดำริทั้งปวง จงเต็ม ดังแก้วมณี ชื่อว่า โชติรส"

@@@@@@@

ดังนั้น บทดังกล่าว จึงไม่ใช่บทกรวดน้ำอย่างที่ทำตามๆ กันมา แต่เป็นพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง และเป็นคาถาอนุโมทนาของพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ได้กล่าวกับผู้ที่ได้เจริญกุศล เช่น ถวายอาหารบิณฑบาต เป็นต้น

และที่สำคัญ การอุทิศส่วนกุศล ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเทหรือหลั่งน้ำ แต่อยู่ที่สภาพจิตที่ดีงามมีความปรารถนาดีต่อผู้อื่นเพื่อเกิดกุศลจิตอนุโมทนาในส่วนบุญนั้น

แม้พระเจ้าพิมพิสารที่พระองค์ทรงถวายทานแล้วทรงอุทิศส่วนกุศล นั้น
พระองค์ก็ทรงอุทิศว่า "ขอทานนี้จงมีแก่พวกญาติของเรา"

และข้อความที่แสดงถึงบุญกิริยาวัตถุประการที่เกี่ยวกับการอุทิศส่วนกุศล นั้น มีดังนี้ คือ
[เล่มที่ 75] พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ หน้า ๔๒๙

    "เมื่อบุคคลให้ทาน กระทำการบูชาด้วยของหอม เป็นต้น แล้วให้ส่วนบุญว่า ขอส่วนบุญ จงมีแก่บุคคลชื่อโน้น หรือว่า ขอส่วนบุญจงมีแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ดังนี้ พึงทราบว่า เป็นบุญกิริยาวัตถุอันเกิดแต่การให้ส่วนบุญ"

ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า บทดังกล่าวที่ได้ยินกันอยู่บ่อยๆ นั้น เป็นคำที่ยุคหลังได้นำเอาข้อความ ๒ ที่มาต่อกัน ที่ควรจะได้เข้าใจอย่างถูกต้อง ว่าความจริงเป็นอย่างไร





อนึ่ง บท สพฺพีติโย วิวชฺชนฺตุ สพฺพโรโค วนสฺสตุ มา เต ภวตฺวนฺตราโย สุขี ทีฆายุโก ภว

[แปลได้ว่า ความเสนียดจัญไรทั้งปวง จงบำราศไป โรคทั้งปวงของท่านจงบำราศไป (ปราศจากไป) อันตรายจงอย่ามีแก่ท่าน ขอให้ท่านเป็นผู้มีความสุข ขอให้ท่านเป็นผู้มีอายุยืน]

ที่จะได้ยินต่อจากบท ยถา วาริวหา นั้น เป็นบทที่แต่งต่อเติมจากข้อความที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นช่วงที่เทวดาได้กล่าวชื่นชมสรรเสริญสุเมธดาบส พระโพธิสัตว์ผู้ได้รับการพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกรว่า ในอีกสี่อสงไขยแสนกัปป์ จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่า "พระสมณะโคดม"


ตามข้อความจาก [เล่มที่ 70] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ หน้าที่ ๖๒ ว่า

ลำดับนั้น เทวดาในหมื่นจักรวาลทั้งสิ้น ประชุมกันบูชาพระโพธิสัตว์ผู้ลุกขึ้นจากอาสนะ ด้วยดอกไม้และของหอมอันเป็นทิพย์ ไหว้แล้วป่าวประกาศคำสรรเสริญอันเป็นมงคลมีคำเป็นต้นว่า

    "ข้าแต่ท่านสุเมธดาบสผู้เป็นเจ้า วันนี้ท่านตั้งความปรารถนายิ่งใหญ่ไว้ที่ใกล้บาทมูลของพระทีปังกรทศพล ความปรารถนานั้นจงสำเร็จแก่ท่าน โดยหาอันตรายมิได้ ความกลัวหรือความหวาดเสียว อย่าได้มีแก่ท่าน โรคแม้มีประมาณน้อยจงอย่าเกิดขึ้นในร่างกาย ท่านจงรีบเร่งบำเพ็ญบารมีให้บริบูรณ์แล้วรู้แจ้งพระสัมมาสัมโพธิญาณ"

และในพระคาถาจะมีข้อความว่า
   "สพฺพีติโย วิวชฺชนฺตุ โสโก โรโค วิวชฺชตุ มา เต ภวตฺวนฺตราโย ผุสฺส ขิปฺปํ โพธิมุตฺตมํ"

แปลเป็นไทยได้ว่า
   "ขอสรรพเสนียดจัญไรจงบำราศไป ขอความโศกและโรคจงพินาศไป อันตรายทั้งหลายจงอย่าได้มีแก่ท่าน ท่านจงได้สัมผัสพระโพธิญาณอันอุดมโดยเร็วพลัน"

ดังนี้ บท สพฺพีติโย ที่ได้ยินกันอยู่ในสมัยนี้ เป็นคำที่แต่งต่อเติมจากข้อความที่ปรากฏในพระไตรปิฎก

@@@@@@@

และท้ายสุด จะได้ยินบทที่ลงท้ายว่า อายุ วัณโณ สุขัง พลัง ตามมาอีกด้วย ซึ่งบทนี้นั้น ก็ไม่ใช่บทให้พร แต่เป็นพระธรรมคำสอนที่พระสัมมสัมพุทธเจ้าทรงแสดง บทที่ว่า อายุ วัณโณ สุขัง พลัง นั้น คำเต็มๆ คือ

    "อภิวาทนสีลิสฺส นิจฺจํ วุฑฺฒาปจายิโน จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ
     แปลได้ว่า ธรรม ๔ ประการ คืออายุ วรรณะ สุขะ พละ เจริญแก่บุคคลผู้กราบไหว้เป็นปกติ ผู้อ่อนน้อมต่อท่านผู้เจริญเป็นนิตย์"

ซึ่งเป็นพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงของกุศลธรรม ว่า ให้ผลเป็นสุขเท่านั้น ครับ

   ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
   ธรรม ๔ ประการย่อมเจริญแก่ผู้มีปกติกราบไหว้ [เรื่องอายุวัฑฒนกุมาร]

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ




Thank to : https://www.dhammahome.com/webboard/topic/26649
บ้านธัมมะ > กระดานสนทนา > กระทู้สนทนาธรรม 2558 | วันที่  17 มิ.ย. 2558
Photo : pinterest
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 17, 2024, 11:13:04 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: บทสวด "ยถา-สัพพี" ไม่ใช่พุทธพจน์ แล้วมาจากไหน.?
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ตุลาคม 15, 2024, 11:01:35 am »
0
.



ยถา และ สัพพี
สำนักงานราชบัณฑิตยสภา Office of the Royal Society



 :25: :25: :25:

บทที่เริ่มต้นว่า “ยถา” มีชื่อเรียกว่า บทอนุโมทนารัมภคาถา หมายถึง คาถาที่เริ่มก่อนการอนุโมทนา กล่าวคือ ก่อนที่พระสงฆ์จะอนุโมทนาในบุญกุศลที่อุบาสกอุบาสิกาได้ทำแล้ว พระสงฆ์จะกล่าวบทอนุโมทนารัมภคาถานี้ เพื่อให้อุบาสกอุบาสิกาได้เตรียมตัวตั้งใจรับพรสืบไป บทนี้เป็นภาษาบาลี ดังนี้

ยถา วาริวหา ปูรา        ปริปูเรนฺติ สาครํ
เอวเมว อิโต ทินฺนํ        เปตานํ อุปกปฺปติ
อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ ตุมฺหํ       ขิปฺปเมว สมิชฺฌตุ
สพฺเพ ปูเรนฺตุ สงฺกปฺปา   จนฺโท ปณฺณรโส ยถา
มณิ โชติรโส ยถา


มีคำแปลว่า
   “ห้วงน้ำที่เต็มย่อมยังสมุทรสาครให้บริบูรณ์ได้ฉันใด ทานที่ท่านอุทิศให้แล้วแต่โลกนี้ย่อมสำเร็จประโยชน์ แก่ผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้วฉันนั้น ขออิฐผลที่ท่านปรารถนาแล้ว ตั้งใจแล้ว จงสำเร็จโดยฉับพลัน ขอความดำริทั้งปวง จงบริบูรณ์ เหมือนดังพระจันทร์วันเพ็ญ (และ) เหมือนแก้วมณีอันสว่างไสว”

@@@@@@@

ส่วนบทที่เริ่มต้นว่า “สัพพี” มีชื่อเรียกว่า บทสามัญญานุโมทนาคาถา หมายถึง คาถาที่พระสงฆ์ใช้สวดทุกครั้งที่อนุโมทนาในบุญกุศลที่อุบาสกอุบาสิกาได้ทำแล้ว บทนี้เป็นภาษาบาลี ดังนี้

สพฺพีติโย วิวชฺชนฺตุ          สพฺพโรโค วินสฺสตุ
มา เต ภวตฺวนฺตราโย        สุขี ทีฆายุโก ภว
อภิวาทนสีลิสฺส  นิจฺจํ       วุฑฺฒาปจายิโน
จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ    อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ


มีคำแปลว่า
   “ความจัญไรทั้งปวงจงบำราศไป โรคทั้งปวงจงหายไป อันตรายอย่ามีแก่ท่าน ขอท่านจงเป็นผู้มีความสุข มีอายุยืน ธรรม ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีการอภิวาทเป็นปรกติ อ่อนน้อมต่อผู้เจริญเป็นนิตย์”




ขอบคุณ : legacy.orst.go.th/?knowledges=ยถา-และ-สัพพี-๗-กุมภาพันธ
โดย สำรวย นักการเรียน (๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑) | Photo : pinterest





อนุโมทนารัมภคาถา

ยะถา  วาริวะหา  ปูรา         ปะริปูเรนติ  สาคะรัง 
เอวะเมวะ  อิโต  ทินนัง       เปตานัง  อุปะกัปปะติ
อิจฉิตัง  ปัตถิตัง  ตุมหัง      ขิปปะเมวะ  สะมิชฌะตุ
สัพเพ  ปูเรนตุ  สังกัปปา     จันโท  ปัณณะระโส  ยะถา 
มะณิ  โชติระโส  ยะถา  ฯ 

สามัญญานุโมทนาคาถา

สัพพีติโย  วิวัชชันตุ           สัพพะโรโค วินัสสะตุ
มา เต ภะวัตตวันตะราโย     สุขี  ทีฆายุโก  ภะวะ
สัพพีติโย  วิวัชชันตุ           สัพพะโรโค  วินัสสะตุ
มา เต  ภะวัตตวันตะราโย    สุขี  ทีฆายุโก  ภะวะ
สัพพีติโย  วิวัชชันตุ           สัพพะโรโค  วินัสสะตุ
มา  เต  ภะวัตตวันตะราโย   สุขี  ทีฆายุโก  ภะวะ
อะภิวาทะนะสีลิสสะ           นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน
จัตตาโร  ธัมมา  วัฑฒันติ    อายุ  วัณโณ  สุขัง  พะลัง

___________________________________
ที่มา : https://www.dmycenter.com/site/index.php/ordinate-spell/95-2009-03-05-10-43-30
Photo : pinterest





อนุโมทนารัมภคาถา

การสวดอนุโมทนาในการทำบุญทั่วไป เรียกสั้น ๆ ว่าให้พร พระผู้เป็นประธานนำขึ้นต้นว่า
(เจ้าภาพเริ่มกรวดนํ้าอุทิศบุญกุศล)


ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง,
ห้วงนํ้าที่เต็มย่อมยังสมุทรสาครให้บริบูรณ์ได้ ฉันใด ;

เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ,
ทานที่ท่านอุทิศให้แล้วแต่โลกนี้, ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่ผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้วได้ ฉันนั้น ;

อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง,
ขออิฏฐผลที่ท่านปรารถนาแล้ว ตั้งใจแล้ว ;

ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ,
จงสำเร็จโดยฉับพลัน ;

สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา,
ขอความดำริทั้งปวงจงเต็มบริบูรณ์ ;

จันโท ปัณณะระโส ยะถา,
เหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ ;

มะณิ โชติระโส ยะถา.
เหมือนแก้วมณีอันสว่างไสวควรยินดี.

_________________________
ที่มา : https://kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=20505

 :25: :25: :25:

สามัญญานุโมทนาคาถา

(พระรูปที่ ๒ รับ แล้วสวดพร้อมกัน เจ้าภาพประนมมือรับพร)

สัพพีติโย วิวัชชันตุ,
ขอความจัญไรทั้งปวง จงบำราศไป ;

สัพพะโรโค วินัสสะตุ,
ขอโรคทั้งปวง (ของท่าน) จงหายไป ;

มา เต ภะวัฅวันตะราโย,
ขออันตรายอย่ามีแก่ท่าน ;

สุขี ทีฆายุโก ภะวะ.
ขอท่านจงเป็นผู้มีความสุขมีอายุยืน.

สัพพีติโย วิวัชชันตุ,
ขอความจัญไรทั้งปวง จงบำราศไป ;

สัพพะโรโค วินัสสะตุ,
ขอโรคทั้งปวง (ของท่าน) จงหายไป ;

มา เต ภะวัตวันตะราโย,
ขออันตรายอย่ามีแก่ท่าน ;

สุขี ทีฆายุโก ภะวะ.
ขอท่านจงเป็นผู้มีความสุขมีอายุยืน.

สัพพีติโย วิวัชชันตุ,
ขอความจัญไรทั้งปวง จงบำราศไป ;

สัพพะโรโค วินัสสะตุ,
ขอโรคทั้งปวง (ของท่าน) จงหายไป ;

มา เต ภะวัตวันตะราโย,
ขออันตรายอย่ามีแก่ท่าน ;

สุขี ฑีฆายุโก ภะวะ.
ขอท่านจงเป็นผู้มีความสุขมีอายุยืน.

อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน,
จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ, อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง.
ธรรมทั้งสี่ประการคือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ,
ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีปกติกราบไหว้, มีปกติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ เป็นนิตย์.

_______________________________________________
ที่มา : https://kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=20506
Photo : pinterest

...ยังมีต่อ โปรดติดตาม...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 15, 2024, 11:23:43 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: บทสวด "ยถา-สัพพี" ไม่ใช่พุทธพจน์ แล้วมาจากไหน.?
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ตุลาคม 16, 2024, 11:38:08 am »
0
.



ที่มา : อนุโมทนารัมภคาถา



อนุโมทนารัมภคาถา (บาลี)

บทที่ ๑. ยถา วาริวหา ปูรา         ปริปูเรนฺติ สาครํ
            เอวเมว อิโต ทินฺนํ        เปตานํ อุปกปฺปติ

บทที ๒. อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ ตุมฺหํ       ขิปฺปเมว สมิชฺฌตุ
            สพฺเพ ปูเรนฺตุ สงฺกปฺปา   จนฺโท ปณฺณรโส ยถา
            มณิ โชติรโส ยถา




 :25: :25: :25:

ที่มาของบทที่ ๑. อยู่ใน ติโรกุฑฑสูตร

ขุทฺทกปาเฐ ติโรกุฑฺฑกณฺฑํ , พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ ภาษาบาลี อักษรไทย
พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ สุตฺต. ขุ. ขุทฺทกปาฐ-ธมฺมปทคาถา-อุทานํ-อิติวุตฺตก-สุตฺตนิปาตา


[๘]
|๘.๑|(มตฺตาสุขปริจฺจาคา        ปสฺเส เจ วิปุลํ สุขํ
         จเช มตฺตาสุขํ ธีโร        สมฺปสฺสํ วิปุลํ สุขํ ฯ)

|๘.๒| ติโรกุฑฺเฑสุ ติฏฺฐนฺติ      สนฺธิสิงฺฆาฏเกสุ จ
         ทฺวารพาหาสุ ติฏฺฐนฺติ     อาคนฺตฺวาน สกํ ฆรํ ฯ

|๘.๓| ปหุเต (๑-) อนฺนปานมฺหิ   ขชฺชโภชฺเช อุปฏฺฐิเต
         น เตสํ โกจิ สรติ             สตฺตานํ กมฺมปจฺจยา ฯ

|๘.๔| เอวํ ททนฺติ ญาตีนํ          เย โหนฺติ อนุกมฺปกา
         สุจึ ปณีตํ กาเลน            กปฺปิยํ ปานโภชนํ
         อิทํ โว ญาตีนํ โหตุ         สุขิตา โหนฺตุ ญาตโย ฯ

|๘.๕| เต จ ตตฺถ สมาคนฺตฺวา    ญาติเปตา สมาคตา
         ปหุเต (๒-) อนฺนปานมฺหิ    สกฺกจฺจํ อนุโมทเร

|๘.๖| จิรํ ชีวนฺตุ โน ญาตี          เยสํ เหตุ ลภามฺหเส ฯ
         อมฺหากญฺจ กตา ปูชา     ทายกา จ อนิปฺผลา ฯ

|๘.๗| น หิ ตตฺถ กสิ อตฺถิ         โครกฺเขตฺถ น วิชฺชติ
         วณิชฺชา ตาทิสี นตฺถิ       หิรญฺเญน กยากยํ ฯ
         อิโต ทินฺเนน ยาเปนฺติ     เปตา กาลกตา ตหึ

         @@@@@@@

|๘.๘| อุนฺนเต (๓-) อุทกํ วุฏฺฐํ      ยถา นินฺนํ ปวตฺตติ
         เอวเมว อิโต ทินฺนํ          เปตานํ อุปกปฺปติ ฯ

|๘.๙| ยถา วาริวหา ปูรา          ปริปูเรนฺติ สาครํ
         เอวเมว อิโต ทินฺนํ          เปตานํ อุปกปฺปติ ฯ (ข้อนี้อยู่ในบทที่ ๑. อนุโมทนารัมภคาถา)


|๘.๑๐| อทาสิ เม อกาสิ เม         ญาติมิตฺตา สขา จ เม
          เปตานํ ทกฺขิณํ ทชฺชา     ปุพฺเพ กตมนุสฺสรํ ฯ

|๘.๑๑| น หิ รุณฺณํ วา โสโก วา    ยาวญฺญา ปริเทวนา
           น ตํ เปตานมตฺถาย        เอวํ ติฏฺฐนฺติ ญาตโย ฯ

|๘.๑๒| อยญฺจ โข ทกฺขิณา ทินฺนา สงฺฆมฺหิ สุปติฏฺฐิตา
           ทีฆรตฺตํ หิตายสฺส           ฐานโส อุปกปฺปติ ฯ

|๘.๑๓| โส ญาติธมฺโม จ อยํ นิทสฺสิโต
           เปตานปูชา จ กตา อุฬารา
           พลญฺจ ภิกฺขูนมนุปฺปทินฺนํ
           ตุมฺเหหิ ปุญฺญํ ปสุตํ อนปฺปกนฺติ ฯ

                      ติโรกุฑฺฑกณฺฑํ นิฏฺฐิตํ ฯ

_______________________________________________
(๑-) ม. ปหูเต ฯ , (๒-) ม. ปหูเต ฯ , (๓-) ม. อุนฺนเม ฯ
ที่มา : https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/pali_item_s.php?book=25&item=8&items=1

 :25: :25: :25:

๗. ติโรกุฑฑสูตร (๑-) ว่าด้วยเรื่อง เปรตที่อยู่ภายนอกฝาเรือน (๒-)
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต

                                                       
(พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถานี้ เพื่ออนุโมทนาพระเจ้าพิมพิสาร จอมทัพมคธรัฐ ดังนี้)

[๑] พวกเปรตพากันมาสู่เรือนของตน (๓-)
     บ้างยืนอยู่ที่ฝาเรือนด้านนอก
     บ้างยืนอยู่ที่ทางสี่แพร่ง สามแพร่ง
     บ้างยืนพิงอยู่ที่บานประตู

[๒] เมื่อมีข้าวและน้ำดื่มมากมาย
     เมื่อของเคี้ยวของกินถูกจัดเตรียมไว้แล้ว
     ญาติสักคนก็ไม่นึกถึงเปรตเหล่านั้น
     เพราะกรรมของสัตว์เหล่านั้นเป็นปัจจัย

[๓] เหล่าชนผู้อนุเคราะห์ ย่อมถวายอาหารและน้ำดื่ม
     ที่สะอาดประณีต เหมาะแก่พระสงฆ์ตามกาล
     อุทิศให้ญาติทั้งหลาย(ที่เกิดเป็นเปรต)อย่างนี้ว่า
     ขอทานนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของเรา
     ขอญาติทั้งหลาย จงเป็นสุขเถิด

[๔] ส่วนญาติที่เกิดเป็นเปรตเหล่านั้น
     พากันมาประชุมพร้อมกัน ณ ที่ให้ทานนั้น
     ย่อมอนุโมทนาในอาหารและน้ำดื่มเป็นอันมากโดยเคารพว่า

[๕] เพราะเหตุแห่งญาติเหล่าใด พวกเราจึงได้สุขสมบัติเช่นนี้
     ขอญาติเหล่านั้นของพวกเราจงมีอายุยืน
     อนึ่ง การบูชา ญาติผู้เป็นทายกก็ได้ทำแก่พวกเราแล้ว
     และทายกก็ไม่ไร้ผล
                                                           
[๖] ในเปตวิสัย (๔-) นั้น ไม่มีกสิกรรม (การทำไร่ไถนา)
     ไม่มีโครักขกรรม (การเลี้ยงวัวไว้ขาย)
     ไม่มีพาณิชกรรม (การค้าขาย) เช่นนั้น
     การแลกเปลี่ยนซื้อขายด้วยเงิน ก็ไม่มี
     ผู้ที่ตายไปเกิดเป็นเปรตในเปตวิสัยนั้น
     ดำรงชีพด้วยผลทานที่พวกญาติอุทิศให้จากมนุษยโลกนี้

     @@@@@@@

[๗] น้ำฝนที่ตกลงมาในที่ดอนย่อมไหลไปสู่ที่ลุ่ม ฉันใด
     ทานที่ทายกอุทิศให้จากมนุษยโลกนี้
     ย่อมสำเร็จผลแน่นอนแก่พวกเปรต ฉันนั้นเหมือนกัน

[๘] ห้วงน้ำที่เต็มย่อมยังสมุทรสาครให้เต็มเปี่ยม ฉันใด
     ทานที่ทายกอุทิศให้จากมนุษยโลกนี้
     ย่อมสำเร็จแก่เปรตทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน (ข้อนี้อยู่ในบทที่ ๑. อนุโมทนารัมภคาถา)


[๙] กุลบุตรเมื่อระลึกถึงอุปการะ
     ที่ญาติผู้ละไปแล้ว(เปรต)เคยทำไว้ในกาลก่อนว่า
     ‘ผู้นั้นได้ให้สิ่งนี้แก่เรา ได้ทำสิ่งนี้แก่เรา
     ได้เป็นญาติ มิตร และสหายของเรา’
     ก็ควรถวายทักษิณาทานอุทิศให้แก่ญาติผู้ละไปแล้ว

[๑๐] การร้องไห้ ความเศร้าโศก
      หรือความร่ำไห้คร่ำครวญอย่างอื่นใด
      ใครๆ ไม่ควรทำเลย เพราะการร้องไห้ เป็นต้นนั้น
      ไม่เป็นประโยชน์แก่ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว
      ญาติทั้งหลายก็ยังคงสภาพอยู่อย่างนั้น
                                                               
[๑๑] ส่วนทักษิณาทานนี้แล ที่ตั้งไว้ดีแล้วในพระสงฆ์
      ย่อมสำเร็จประโยชน์เกื้อกูลสิ้นกาลนาน
      แก่หมู่ญาติที่เกิดเป็นเปรตนั้น โดยพลันทีเดียว

[๑๒] ญาติธรรม (๕-) นี้นั้น ท่านแสดงออกแล้ว
       การบูชาญาติที่ตายไปเป็นเปรต ท่านทำอย่างยิ่งใหญ่แล้ว
       ทั้งกำลังกายของภิกษุ ท่านก็เพิ่มให้แล้ว
       เป็นอันว่าท่านสั่งสมบุญไว้มิใช่น้อยเลย

                                ติโรกุฑฑสูตร จบ

______________________________________________
(๑-) พระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสแก่พระเจ้าพิมพิสาร ณ กรุงราชคฤห์ (ขุ.ขุ.อ. ๗/๑๗๗)
(๒-) ดูเทียบ ขุ.เปต. (แปล) ๒๖/๑๔-๒๕/๑๗๐-๑๗๒, อภิ.ก. ๓๗/๔๙๐/๒๙๕
(๓-) เรือนของตน หมายถึงเรือนญาติของตน หรือเรือนที่เคยอยู่ในปางก่อน (ขุ.ขุ.อ. ๗/๑๘๑)
(๔-) เปตวิสัย หมายถึงภูมิหรือกำเนิดแห่งเปรต (ขุ.ขุ.อ. ๗/๑๘๘)
(๕-) ญาติธรรม หมายถึงกิจคือการสงเคราะห์ต่อกันที่ญาติจะพึงกระทำต่อกัน (ขุ.ขุ.อ. ๗/๑๙๐)
ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๕ หน้า : ๑๕ - ๑๖}
url : https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=25&siri=7





อรรถกถาติโรกุฑฑสูตร
อรรถกถา ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ ติโรกุฑฑกัณฑ์ในขุททกปาฐะ



 :25: :25: :25:
               
ประโยชน์แห่งการตั้งพระสูตร    
         
บัดนี้ ถึงลำดับการพรรณนาความติโรกุฑฑสูตร ที่ยกขึ้นตั้งต่อลำดับรัตนสูตร โดยนัยว่า ติโรกุฑฺเฑสุ ติฏฺฐนฺติ เป็นต้น จักกล่าวประโยชน์แห่งการตั้งติโรกุฑฑสูตรนั้นไว้ในที่นี้ แล้วจึงจักทำการพรรณนาความ.

ในข้อนั้น ความจริง ติโรกุฑฑสูตรนี้ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็มิได้ตรัสตามลำดับนี้ แต่ก็ทรงแสดงการปฏิบัติกุศลกรรมนี้ได้ โดยประการต่างๆ ไว้ก่อนพระสูตรนี้ เพราะเหตุที่บุคคลประมาทในการปฏิบัติกุศลกรรมนั้นอยู่ เมื่อเกิดในฐานะ ที่แม้เศร้าหมองกว่านรกและกำเนิดสัตว์เดียรฉาน ก็ย่อมเกิดในจำพวกเปรตเห็นปานนั้น ฉะนั้น

พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสรัตนสูตร เพื่อแสดงว่าบุคคลไม่ควรทำความประมาทในการปฏิบัติกุศลกรรมนั้น และเพื่อระงับอุปัทวะแห่งกรุงเวสาลี ที่พวกหมู่ภูตเหล่าใดเบียดเบียนแล้ว หรือตรัสเพื่อแสดงว่า ในหมู่ภูตเหล่านั้น มีหมู่ภูตบางพวกมีรูปเห็นปานนั้น

พึงทราบประโยชน์แห่งการตั้งติโรกุฑฑสูตรนี้ในที่นี้.


@@@@@@@

กถาอนุโมทนา     
         
แต่เพราะเหตุที่ ติโรกุฑฑสูตร ผู้ใดประกาศ ประกาศที่ใด ประกาศเมื่อใด และประกาศเพราะเหตุใด การพรรณนาความของติโรกุฑฑสูตรนั้น ครั้นประกาศติโรกุฑฑสูตรนั้นหมดแล้ว เมื่อทำตามลำดับ ชื่อว่าทำดีแล้ว ฉะนั้น ข้าพเจ้าก็จักทำการพรรณนาความนั้น อย่างนั้นเหมือนกันแล.

ข้อว่า ก็ติโรกุฑฑสูตรนี้ ใครประกาศ.? ประกาศที่ไหน.? ประกาศเมื่อไร.?

ขอชี้แจงดังนี้ ติโรกุฑฑสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศ ก็ติโรกุฑฑสูตรนั้นแล ทรงประกาศเพื่อทรงอนุโมทนาแก่พระเจ้ามคธรัฐในวันรุ่งขึ้น เพื่อทำความข้อนี้ให้แจ่มแจ้ง ควรกล่าวเรื่องไว้พิศดารในข้อนี้ ดังนี้.

ในกัปที่ ๙๒ นับแต่กัปนี้ มีนครชื่อกาสี ในนครนั้น มีพระราชาพระนามว่า ชัยเสน พระเทวีของพระราชานั้นพระนามว่า สิริมา. พระโพธิสัตว์พระนามว่า ปุสสะ เกิดในครรภ์ของพระนาง ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณตามลำดับ พระราชาชัยเสนทรงเกิดความรู้สึกถึงความเป็นของพระองค์ว่า โอรสของเราออกทรงผนวชเกิดเป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เป็นของเรา พระธรรมก็ของเรา พระสงฆ์ก็ของเรา ทรงอุปฐากด้วยพระองค์เองตลอดทุกเวลา ไม่ยอมประทานโอกาสแก่คนอื่นๆ.

เจ้าพี่เจ้าน้องของพระผู้มีพระภาคเจ้า ต่างพระมารดา ๓ พระองค์พากันดำริว่า ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมเสด็จอุบัติ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่โลกทั้งปวง มิใช่เพื่อประโยชน์แก่บุคคลคนเดียวเท่านั้น แต่พระบิดาของเรา ไม่ทรงประทานโอกาสแก่เราและคนอื่นๆ เลย เราจะได้การอุปฐากอย่างไรหนอ.


@@@@@@@

พระราชโอรสเหล่านั้นจึงตกลงพระหฤทัยว่า จำเราจะต้องทำอุบายบางอย่าง. ทั้ง ๓ พระองค์จึงให้หัวเมืองชายแดนทำประหนึ่งแข็งเมือง. ต่อนั้น พระราชาทรงทราบข่าวว่า หัวเมืองชายแดนกบฏ จึงทรงส่งพระราชโอรสทั้ง ๓ พระองค์ออกไปปราบกบฏ. พระราชโอรสเหล่านั้นปราบกบฏเสร็จแล้วก็เสด็จกลับมา.

พระราชาทรงดีพระราชหฤทัย พระราชทานพรว่า เจ้าปรารถนาสิ่งใด ก็จงรับสิ่งนั้น.
พระราชโอรสทั้ง ๓ พระองค์กราบทูลว่า ข้าพระบาทปรารถนาจะอุปฐากพระผู้มีพระภาคเจ้า พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า เว้นพรข้อนั้นเสีย รับพรอย่างอื่นไปเถิด.
พระราชโอรสกราบทูลว่า พวกข้าพระบาทไม่ปรารถนาพรอย่างอื่นดอก พระเจ้าข้า.

พระราชาตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงกำหนดเวลามาแล้วรับไป.
พระราชโอรสทูลขอ ๗ ปี. พระราชาไม่พระราชทาน
พระราชโอรสจึงทูลขอลดลงอย่างนี้ คือ ๖ ปี ๕ ปี ๔ ปี ๓ ปี ๒ ปี ๑ ปี ๗ เดือน ๖ เดือน ๕ เดือน ๔ เดือน จนถึงไตรมาส
พระราชาจึงพระราชทานว่า รับได้.

พระราชโอรสเหล่านั้นได้รับพระราชทานพรแล้ว ก็ทรงยินดีอย่างยิ่ง เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ประสงค์จะอุปฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าตลอดไตรมาส ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดทรงรับจำพรรษาตลอดไตรมาสนี้ สำหรับข้าพระองค์ด้วยเถิด พระเจ้าข้า.

พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงรับโดยอาการดุษณีภาพ คือ นิ่ง.
               
@@@@@@@

ต่อนั้น พระราชโอรสทั้ง ๓ พระองค์ก็ส่งหัตถเลขา ลายพระหัตถ์ไปแจ้งแก่พนักงานเก็บส่วย [ผู้จัดผลประโยชน์] ในชนบทของพระองค์ว่า เราจะอุปฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าตลอดไตรมาสนี้ เจ้าจงจัดเครื่องประกอบการอุปฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าไว้ให้พร้อมทุกประการ ตั้งแต่สร้างพระวิหารเป็นต้นไป. เจ้าพนักงานเก็บส่วยนั้น จัดการพร้อมทุกอย่างแล้ว ก็ส่งหนังสือรายงานให้ทรงทราบ.

พระราชโอรสเหล่านั้น ก็ทรงนุ่งห่มผ้ากาสายะ ทรงอุปฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยเคารพ ด้วยบุรุษไวยาจักร ๒,๕๐๐ คน นำเสด็จสู่ชนบทมอบถวายพระวิหาร ให้ทรงอยู่จำพรรษา.

บุตรคฤหบดีผู้หนึ่งเป็นพนักงานที่รักษาเรือนคลังของพระราชโอรสเหล่านั้น พร้อมทั้งภรรยา เป็นคนมีศรัทธาปสาทะ เขาได้ปฏิบัติการถวายทานแก่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขโดยเคารพ. เจ้าพนักงานเก็บส่วยในชนบท พาบุตรคฤหบดีนั้นให้ดำเนินการถวายทานโดยเคารพ พร้อมด้วยบุรุษชาวชนบทประมาณ ๑๑,๐๐๐ คน.

บรรดาคนเหล่านั้น ชนบางพวกมีจิตถูกอิสสามัจฉริยะครอบงำ พวกเขาก็พากันทำอันตรายแก่ทาน กินไทยธรรมด้วยตนเองบ้าง ให้แก่พวกลูกๆ เสียบ้าง และเอาไฟเผาโรงอาหาร.

ครั้นปวารณาออกพรรษา พระราชโอรสทั้งหลายก็ทรงทำสักการะยิ่งใหญ่แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตามเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเข้าไปเฝ้าพระราชบิดา. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปในที่นั้นแล้ว ก็ปรินิพพาน.

พระราชา พระราชโอรส เจ้าพนักงานเก็บส่วยในชนบทและเจ้าพนักงานรักษาเรือนคลัง ทำกาละไปตามลำดับ ก็เกิดในสวรรค์พร้อมด้วยบริษัทบริวาร.

เหล่าชนที่มีจิตถูกอิสสามัจฉริยะครอบงำ ก็พากันไปเกิดในนรกทั้งหลาย เมื่อคน ๒ คณะนั้นจากสวรรค์เข้าถึงสวรรค์ จากนรกเข้าถึงนรกด้วยอาการอย่างนี้ กัปก็ล่วงไป ๙๒ กัป.


@@@@@@@

ต่อมา ในภัทรกัปนี้ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสป ชนที่มีจิตถูกอิสสามัจฉริยะครอบงำเหล่านั้น ก็เกิดเป็นเปรต. ครั้งนั้น มนุษย์ทั้งหลายถวายทาน อุทิศเพื่อประโยชน์แก่พวกเปรตที่เป็นญาติของตนว่า ขอทานนี้จงมีแก่พวกญาติของเรา. เปรตเหล่านั้นก็ได้สมบัติ.

ขณะนั้น เปรตแม้พวกนี้เห็นดังนั้น ก็เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ากัสสปะ ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทำอย่างไรหนอ พวกข้าพระองค์จึงจะได้สมบัติบ้าง พระเจ้าข้า.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า บัดนี้ พวกท่านยังไม่ได้ดอก ก็แต่ว่า ในอนาคต จักมีพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น จักมีพระราชาพระนามว่าพิมพิสาร ท้าวเธอได้เป็นญาติของพวกท่าน นับแต่นี้ไป ๙๒ กัป ท้าวเธอจักถวายทานแด่พระพุทธเจ้า อุทิศส่วนกุศลแก่พวกท่าน ครั้งนั้น พวกท่านจึงจักได้.

เขาว่า เมื่อมีพุทธดำรัสอย่างนี้แล้ว พระพุทธดำรัสนั้นได้ปรากฏแก่เปรตเหล่านั้น ประหนึ่งตรัสว่า พวกท่านจักได้ในวันพรุ่งนี้.

ต่อมา เมื่อล่วงไปพุทธันดรหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าของพวกเรา ก็เสด็จอุบัติในโลก.
    - พระราชโอรสทั้ง ๓ พระองค์นั้นก็จุติจากเทวโลก พร้อมด้วยบุรุษ ๒,๕๐๐ คนเหล่านั้นไปเกิดในสกุลพราหมณ์ทั้งหลาย ในแคว้นมคธ บวชเป็นฤาษีโดยลำดับ ได้เป็นชฎิล ๓ คน ณ คยาสีสประเทศ.
    - เจ้าพนักงานเก็บส่วยในชนบทได้เป็น พระเจ้าพิมพิสาร
    - บุตรคฤหบดี เจ้าพนักงานรักษาเรือนคลังได้เป็น มหาเศรษฐี ชื่อวิสาขะ ภรรยาของเขาได้เป็นธิดาของเศรษฐี ชื่อธรรมทินนา
    - บริษัทที่เหลือ เกิดเป็นราชบริพารของพระเจ้าพิมพิสารทั้งหมด.

@@@@@@@

พระผู้มีพระภาคเจ้าของพวกเราเสด็จอุบัติในโลก ล่วงไป ๗ สัปดาห์ ก็เสด็จมายังกรุงพาราณสีโดยลำดับ ประกาศพระธรรมจักรโปรดพระภิกษุปัญจวัคคีย์เป็นต้นไป จนถึงทรงแนะนำชฎิล ๓ ท่าน ซึ่งมีบริวาร ๒,๕๐๐ จึงเสด็จไปกรุงราชคฤห์.

ณ กรุงราชคฤห์นั้น โปรดพระเจ้าพิมพิสาร ซึ่งเสด็จเข้าไปเฝ้าในวันนั้นเอง ให้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล พร้อมด้วยพราหมณ์และคฤหบดีชาวมคธ ๑๑ นหุต. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับนิมนต์พระเจ้าพิมพิสาร เพื่อเสวยภัตตาหารในวันพรุ่ง.

ครั้นวันรุ่งขึ้น อันท้าวสักกะจอมทวยเทพนำเสด็จ ทรงชมเชยด้วยคาถาทั้งหลาย เป็นต้นอย่างนี้ว่า

    ทนฺโต ทนฺเตหิ สห ปุราณชฏิเลหิ
    วิปฺปมุตโต วิปฺปมุตฺเตหิ
    สิงคินิกฺขสุวณฺโณ
    ราชคหํ ปาวิสิ ภควา.

    พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงฝึกแล้ว กับเหล่าปุราณชฎิล
    ผู้ฝึกแล้ว พระผู้หลุดพ้นแล้ว กับเหล่าปุราณชฎิลผู้หลุดพ้นแล้ว
    ผู้มีพระฉวีวรรณงามดังแท่งทองสิงคี เสด็จเข้าสู่กรุงราชคฤห์ ดังนี้.


เสด็จเข้าสู่กรุงราชคฤห์ ทรงรับมหาทานในพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าพิมพิสาร เปรตเหล่านั้นยืนห้อมล้อมด้วยหวังอยู่ว่า บัดนี้ พระราชาจักทรงอุทิศทานแก่พวกเรา บัดนี้ จักทรงอุทิศทานแก่พวกเรา.

ฝ่ายพระเจ้าพิมพิสารถวายทานแล้ว ทรงพระดำริว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าจะพึงประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอ ทรงพระดำริถึงแต่เรื่องที่ประทับอยู่ของพระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้น มิได้ทรงอุทิศทานนั้นแก่ใครๆ.


@@@@@@@

เปรตทั้งหลายสิ้นหวัง ตอนกลางคืน จึงพากันทำเสียงแปลกประหลาด น่าสะพรึงกลัวอย่างเหลือเกินในพระราชนิเวศน์. พระราชาทรงสลดพระราชหฤทัยหวาดกลัว

ต่อรุ่งสว่าง จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ยินเสียงเช่นนี้ เหตุอะไรหนอ จักมีแก่ข้าพระองค์ พระเจ้าข้า.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ถวายพระพร มหาบพิตร โปรดอย่าทรงกลัวเลย จักไม่มีสิ่งชั่วร้ายอะไรๆ แก่มหาบพิตรดอก ก็แต่ว่า พวกพระญาติเก่าๆ ของมหาบพิตร เกิดเป็นเปรตมีอยู่ เปรตเหล่านั้นเที่ยวอยู่สิ้นพุทธันดรหนึ่ง หวังอยู่ต่อมามหาบพิตรว่า จักทรงถวายทานแด่พระพุทธเจ้า แล้วจักทรงอุทิศส่วนกุศลแก่พวกเรา เมื่อวันวาน มหาบพิตรมิได้ทรงอุทิศส่วนกุศลแก่เปรตพวกนั้น เปรตพวกนั้นสิ้นหวังจึงพากันทำเสียงแปลกประหลาดเช่นนั้น.

พระเจ้าพิมพิสารกราบทูลว่า พระเจ้าข้า บัดนี้ เมื่อข้าพระองค์ถวายทาน พวกเขาก็ควรได้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ถวายพระพร มหาบพิตร.

พระเจ้าพิมพิสารกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ถ้าเช่นนั้น ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า โปรดทรงรับนิมนต์เสวยภัตตาหารเช้าพรุ่งนี้ ของข้าพระองค์ด้วยนะ พระเจ้าข้า ข้าพระองค์จักอุทิศทานแก่เปรตพวกนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับ.

@@@@@@@

พระราชาเสด็จเข้าพระราชนิเวศน์ จัดแจงมหาทาน แล้วให้กราบทูลเวลาภัตตาหารแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าภายในพระราชนิเวศน์ ประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ที่เขาจัดไว้ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์.

เปรตพวกนั้นพากันไปยืนที่นอกฝาเรือนเป็นต้น ด้วยหวังว่า วันนี้ พวกเราคงได้อะไรกันบ้าง.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทำโดยอาการที่เปรตพวกนั้นจะปรากฎ แก่พระราชาหมดทุกตน.

พระราชาถวายน้ำทักษิโณทก ทรงอุทิศว่า
"ขอทานนี้จงมีแก่พวกญาติของเรา."
(ราชา ทกฺขิโณทกํ เทนฺโต "อิทํ เม ญาตีนํ โหตู")

ทันใดนั้นเอง สระโบกขรณีดารดาษด้วยปทุม ก็บังเกิดแก่เปรตพวกนั้น. เปรตพวกนั้นก็อาบและดื่มในสระโบกขรณีนั้น ระงับความกระวนกระวาย ความลำบากและหิวกระหายได้แล้ว มีผิวพรรณดุจทอง.

ลำดับนั้น พระราชาถวายข้าวยาคู ของเคี้ยว ของกินเป็นต้น แล้วทรงอุทิศ.
ในทันใดนั้นเอง ข้าวยาคูของเคี้ยวและของกินอันเป็นทิพย์ ก็บังเกิดแก่เปรตพวกนั้น. เปรตพวกนั้นก็พากันบริโภคของทิพย์เหล่านั้น มีอินทรีย์เอิบอิ่ม.

ลำดับนั้น พระราชาถวายผ้าและเสนาสนะเป็นต้น ทรงอุทิศให้เครื่องอลังการต่างๆ มีผ้าทิพย์ ยานทิพย์ ปราสาททิพย์ เครื่องปูลาดและที่นอนเป็นต้น ก็บังเกิดแก่เปรตพวกนั้น.

สมบัติแม้นั้นของเปรตพวกนั้น ปรากฏทุกอย่างโดยประการใด พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงอธิษฐาน (ให้พระราชาทรงเห็น) โดยประการนั้น. พระราชาทรงดีพระทัยยิ่ง.

แต่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยเสร็จแล้ว ทรงห้ามภัตตาหารแล้ว ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า ติโรกุฑฺเฑสุ ติฏฺฐนฺติ เป็นต้น เพื่อทรงอนุโมทนาแก่พระเจ้ามคธรัฐ.


@@@@@@@

ด้วยคำมีประมาณเท่านี้ มาติกาหัวข้อนี้ว่า เยน ยตฺถ ยทา ยสฺมา ติโรกุฑฺฑํ ปกาสิตํ ปกาสยิตฺวา ตํ สพฺพํ ก็เป็นอันจำแนกแล้ว ทั้งโดยสังเขป ทั้งโดยพิศดาร.

บัดนี้ จักกล่าวพรรณนาความแห่งติโรกุฑฑสูตรนี้ตามลำดับไป คือ ...ฯลฯ (ยกมาแสดงบางส่วน)

_________________________________________________________
อ่านฉบับเต็มได้ที่ : https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=8
ขอบคุณภาพจาก : pinterest




อธิบายเพิ่มเติม

จากนี้ไป ในอรรถกถานี้จะเป็นอธิบาย คาถาอนุโมทนาของพระพุทธเจ้า(พระสมณโคดม)ที่ตรัสแก่พระเจ้าพิมพิสาร โดยลำดับ จาก พรรณนาคาถาที่ ๑ ถึง พรรณนาคาถาที่ ๑๓

ที่เกียวข้องกับ "อนุโมทนารัมภคาถา" อยู่ในหัวข้อ "พรรณนาสองคาถาคือคาถาที่ ๘ และคาถาที่ ๙" ดังนี้

@@@@@@@

พรรณนาสองคาถาคือคาถาที่ ๘ และคาถาที่ ๙
           
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสว่า ผู้ทำกาลกิริยาละไปแล้ว ย่อมยังอัตภาพให้เป็นไปในปิตติวิสัยนั้น ด้วยทานที่หมู่ญาติมิตรสหายให้แล้วจากมนุษยโลกนี้ อย่างนี้แล้ว               

บัดนี้ เมื่อทรงประกาศความนั้น ด้วยข้ออุปมาทั้งหลาย จึงตรัส ๒ คาถานี้ว่า อุนฺนเต อุทกํ วุฏฺฐํ (คาถาที่ ๘) เป็นต้น.

คาถาที่ ๘ :-
อุนฺนเต อุทกํ วุฏฺฐํ      ยถา นินฺนํ ปวตฺตติ
เอวเมว อิโต ทินฺนํ      เปตานํ อุปกปฺปติ
       
คาถานั้น มีความว่า "น้ำที่หมู่เมฆให้ตกลงบนที่ดอนบนบก บนภูมิภาคที่สูง ย่อมไหลลงที่ลุ่ม คือไหลไปถึงภูมิภาคที่ลุ่มต่ำ ฉันใด ทานที่หมู่ญาติมิตรสหายให้จากมนุษยโลกนี้ ย่อมสำเร็จผล"               

อธิบายว่า บังเกิดผลปรากฎผลแก่หมู่เปรต ฉันนั้นเหมือนกัน.
จริงอยู่ เปตโลก โลกเปรต ชื่อว่า ฐานะ ที่ตั้งแห่งความสำเร็จผลแห่งทาน เหมือนที่ลุ่มเป็นฐานะที่ขังน้ำอันไหลม

เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนพราหมณ์ ทานนั้นย่อมสำเร็จผลแก่สัตว์ที่ตั้งอยู่ในปิตติวิสัยใด ปิตติวิสัยนั้นแลเป็นฐานะ ดังนี้
               
เหมือนอย่างว่า "น้ำที่ไหลมาจากชุมนุมห้วย ซอกเขา คลองใหญ่ คลองซอย หนองบึง เป็นแม่น้ำใหญู่ เต็มเข้าก็ทำให้สาครทะเลเต็มเปี่ยมฉันใด ทานที่ญาติมิตรสหายให้ไปจากมนุษยโลกนี้ ย่อมสำเร็จผลแก่หมู่เปรตตามนัยที่กล่าวมาก่อนแล้ว แม้ฉันนั้น."

คาถาที่ ๙ :-
ยถา วาริวหา ปูรา       ปริปูเรนฺติ สาครํ
เอวเมว อิโต ทินฺนํ       เปตานํ อุปกปฺปติ
(ในอรรถกถานี้ ไม่มีคำอธิบาย)

จากนั้นจะเป็น พรรณนาคาถาที่ ๑๐ 
คาถาที่ ๑๐ :-
อทาสิ เม อกาสิ เม       ญาติมิตฺตา สขา จ เม
เปตานํ ทกฺขิณํ ทชฺชา     ปุพฺเพ กตมนุสฺสรํ
(ในอรรถกถานี้ มีคำอธิบาย และอธิบายจนถึงคาถาที่ ๑๓)

_______________________________________________________
อ่านฉบับเต็มได้ที่ : https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=8

(ยังมีต่อ...)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 16, 2024, 01:17:00 pm โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: บทสวด "ยถา-สัพพี" ไม่ใช่พุทธพจน์ แล้วมาจากไหน.?
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ตุลาคม 17, 2024, 11:06:30 am »
0
.



ที่มา : อนุโมทนารัมภคาถา



อนุโมทนารัมภคาถา (บาลี)

บทที่ ๑. ยถา วาริวหา ปูรา         ปริปูเรนฺติ สาครํ
            เอวเมว อิโต ทินฺนํ        เปตานํ อุปกปฺปติ

บทที ๒. อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ ตุมฺหํ       ขิปฺปเมว สมิชฺฌตุ
            สพฺเพ ปูเรนฺตุ สงฺกปฺปา   จนฺโท ปณฺณรโส ยถา
            มณิ โชติรโส ยถา




 :25: :25: :25:

ที่มาของบทที่ ๒. อยู่ใน เรื่องสุขสามเณร

๑๑. สุขสามเณรวตฺถุ. (๑๑๗) (ยกมาแสดงบางส่วน)
อรรถกถาเล่มที่ ๒๒ ภาษาบาลีอักษรไทย | ธ.อ.๕ ปาป-ชราวคฺค | ๑๐. ทณฺฑวคฺควณฺณนา


"อชฺช ตเมว ปริวาเรถาติ วตฺวา สพฺพํ สมฺปตฺตึ ตสฺส นิยฺยาเทสิ. โส เสฏฺฐิโน นหาโนทเกน ตตฺเถว (๑-) โกฏฺฐเก ตสฺมึ ผลเก นิสินฺโน นหาตฺวา ตสฺเสว นิวาสนสาฏเก นิวาเสตฺวา ตสฺเสว ปลฺลงฺเก นิสีทิ.เสฏฺฐีปิ นคเร เภริญฺจาราเปสิ

"ภตฺตภติโก คนฺธเสฏฺฐิสฺส เคเห ตีณิ สํวจฺฉรานิ ภตึ กตฺวา ภตฺตปาตึ ลภิ, ตสฺส ภุญฺชนสมฺปตฺตึ โอโลเกนฺตูติ.

มหาชโน มญฺจาติมญฺจํ อภิรุหิตฺวา ปสฺสติ. คามวาสิสฺส โอโลกิโตโลกิตฏฺฐานํ กมฺปนาการปฺปตฺตํ อโหสิ.
นาฏกา ตํ ปริวาเรตฺวา อฏฺฐํสุ. ตสฺส ปุรโต ภตฺตปาตึ วฑฺเฒตฺวา ฐปยึสุ.

อถสฺส หตฺถโธวนเวลาย คนฺธมาทเน เอโก ปจฺเจกพุทฺโธ สตฺตเม ทิวเส สมาปตฺติโต วุฏฺฐาย
"กตฺถ นุ โข อชฺช ภิกฺขาจารตฺถาย คจฺฉามีติ อุปธาเรนฺโต ภตฺตภติกํ อทฺทส. อถ โส (๒-)
"อยํ ตีณิ สํวจฺฉรานิ ภตึ กตฺวา ภตฺตปาตึ ลภิ, อตฺถิ นุ โข เอตสฺส สทฺธา นตฺถีติ อุปธาเรนฺโต

"อตฺถีติ ญตฺวา "สทฺธาปิ เอกจฺเจ สงฺคหํ กาตุํ น สกฺโกนฺติ, สกฺขิสฺสติ นุ โข เม สงฺคหํ กาตุนฺติ จินฺเตตฺวา [อถ นํ] "สกฺขิสฺสติ เจว มม จ สงฺคหการณํ นิสฺสาย มหาสมฺปตฺตึ ลภิสฺสตีติ ญตฺวา จีวรํ ปารุปิตฺวา ปตฺตมาทาย เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา ปริสนฺตเรน คนฺตฺวา ตสฺส ปุรโต ฐิตเมว

___________________________________________
@เชิงอรรถ : (๑-) สี. ยุ. ตสฺเสว. , (๒-) สี. ยุ. อถสฺส เอตทโหสิ.

(คำแปล)นายภัตตภติกะเตรียมบริโภคภัต     
         
นายภัตตภติกะนั้น นั่งบนแผ่นกระดานนั้นในซุ้มนั้นนั่นแล อาบน้ำด้วยน้ำสำหรับอาบของเศรษฐี นุ่งผ้าสาฎกสำหรับนุ่งของเศรษฐีนั่นแหละ แล้วนั่งบนบัลลังก์ของเศรษฐีนั้นเหมือนกัน.

แม้ท่านเศรษฐีก็ใช้ให้คนเอากลองเที่ยวตีประกาศไปในพระนครว่า "นายภัตตภติกะทำการรับจ้างตลอด ๓ ปีในเรือนของคันธเศรษฐี ได้ถาดภัตถาดหนึ่ง ขอชนทั้งหลายจงดูสมบัติแห่งการบริโภคของเขา."

มหาชนได้ขึ้นเตียงซ้อนเตียงดูอยู่. ที่ๆ ชายชาวบ้านนอกแลดูแล้วๆ ก็ได้ถึงอาการหวั่นไหว. พวกนักฟ้อนได้ยืนล้อมนายภัตตภติกะนั้น. พวกคนใช้ยกถาดภัตถาดหนึ่ง ตั้งไว้ข้างหน้าของนายภัตตภติกะนั้นแล้ว.

ครั้งนั้น ในเวลาที่นายภัตตภติกะนั้นล้างมือ พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งที่ภูเขาคันธมาทน์ ออกจากสมาบัติในวันที่ ๗ แล้ว ใคร่ครวญอยู่ว่า "วันนี้ เราจักไปเพื่อประโยชน์แก่ภิกขาจารในที่ไหนหนอแล.?" ก็ได้เห็นนายภัตตภติกะแล้ว.

ครั้งนั้น ท่านพิจารณาต่อไปอีกว่า "นายภัตตภติกะนี้ทำการรับจ้างถึง ๓ ปี จึงได้ถาดภัต. ศรัทธาของเขามีหรือไม่มีหนอ.?"

ใคร่ครวญไปก็ทราบได้ว่า "ศรัทธาของเขามีอยู่" คิดไปอีกว่า "คนบางพวก ถึงมีศรัทธา ก็ไม่อาจเพื่อทำการสงเคราะห์ได้, นายภัตตภติกะนี้จักอาจหรือไม่หนอ เพื่อจะทำการสงเคราะห์เรา.?"

ก็รู้ว่า "นายภัตตภติกะจักอาจทีเดียว ทั้งจักได้มหาสมบัติเพราะอาศัยเหตุ คือการสงเคราะห์แก่เราด้วย" ดังนี้แล้ว จึงห่มจีวรถือบาตร เหาะขึ้นสู่เวหาสไปโดยระหว่างบริษัท แสดงตนยืนอยู่ข้างหน้าแห่งนายภัตตภติกะนั้น นั่นแล.



 :25: :25: :25:

อตฺตานํ ทสฺเสสิ. โส ปจฺเจกพุทฺธํ ทิสฺวา จินฺเตสิ

"อหํ ปุพฺเพ อทินฺนภาเวน เอกิสฺสา ภตฺตปาติยา อตฺถาย ตีณิ สํวจฺฉรานิ ปรเคเห ภตึ อกาสึ, อิทานิ เม อิทํ ภตฺตํ เอกรตฺตินฺทิวํ รกฺเขยฺย, สเจ ปน ตํ อยฺยสฺส ทสฺสามิ ;

อเนกานิ (๑-) กปฺปโกฏิสหสฺสานิ รกฺขิสฺสติ, อยฺยสฺเสว นํ ทสฺสามีติ. โส ตีณิ สํวจฺฉรานิ ภตึ กตฺวา ลทฺธภตฺตปาติโต เอกปิณฺฑมฺปิ มุเข อฏฺฐเปตฺวาว ตณฺหํ วิโนเทตฺวา สยเมว ปาตึ อุกฺขิปิตฺวา ปจฺเจกพุทฺธสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา
ปาตึ อญฺญสฺส หตฺเถ ทตฺวา ปญฺจปติฏฺฐิเตน วนฺทิตฺวา ปาตึ วามหตฺเถน คเหตฺวา ทกฺขิณหตฺเถน ตสฺส ปตฺเต ภตฺตํ อากิริ.

ปจฺเจกพุทฺโธ ภตฺตสฺส อุปฑฺฒเสสกาเล ปตฺตํ หตฺเถน ปิทหิ. อถ นํ โส อาห

"ภนฺเต เอโกว ปฏิวึโส น สกฺกา ทฺวิธา กาตุํ, มา มํ อิธ โลเก สงฺคณฺหาถ (๒-), ปรโลเก สงฺคหเมว กโรถ, สาวเสสํ อกตฺวา นิรวเสสเมว ทสฺสามีติ.

_________________________________________________
@เชิงอรรถ : (๑-) สี. ยุ. เอตฺถนฺตเร "มนฺติ อตฺถิ. , (๒-) สงฺคณฺหถาติ ภวิตพฺพํ.

(คำแปล)นายภัตตภติกะถวายภัตแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า 
             
นายภัตตภติกะนั้นเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว คิดว่า "เราได้ทำการรับจ้างในเรือนคนอื่นถึง ๓ ปี ก็เพื่อประโยชน์แก่ถาดภัตถาดเดียว เพราะความที่เราไม่ได้ให้ทานในกาลก่อน, บัดนี้ ภัตนี้ของเราพึงรักษาเรา ก็เพียงวันหนึ่งคืนหนึ่ง, ก็ถ้าเราจักถวายภัตนั้นแก่พระผู้เป็นเจ้า, ภัตจักรักษาเราไว้มิใช่พันโกฏิกัลป์เดียว เราจักถวายภัตนั้นแก่พระผู้เป็นเจ้าละ."

นายภัตตภติกะนั้นทำการรับจ้างตลอด ๓ ปี ได้ถาดภัตแล้ว ไม่ทันวางภัตแม้ก้อนเดียวในปาก บรรเทาความอยากได้ ยกถาดภัตขึ้นเองทีเดียว ไปสู่สำนักของพระปัจเจกพุทธเจ้า ให้ถาดในมือของคนอื่นแล้ว ไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้ว เอามือซ้ายจับถาดภัต เอามือขวาเกลี่ยภัตลงในบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น.

พระปัจเจกพุทธเจ้าได้เอามือปิดบาตรเสีย ในเวลาที่ภัตยังเหลืออยู่กึ่งหนึ่ง.

ครั้งนั้น นายภัตตภติกะนั้นเรียนท่านว่า "ท่านขอรับ ภัตส่วนเดียวเท่านั้น ผมไม่อาจเพื่อจะแบ่งเป็น ๒ ส่วนได้ ท่านอย่าสงเคราะห์ผมในโลกนี้เลย ขอจงทำการสงเคราะห์ในปรโลกเถิด ผมจักถวายทั้งหมดทีเดียว ไม่ให้เหลือ."



 :25: :25: :25:

อตฺตโน หิ โถกมฺปิ อนวเสเสตฺวา ทินฺนํ นิรวเสสนฺนาม, ตํ มหปฺผลํ โหติ. โส ตถา กโรนฺโต สพฺพํ ทตฺวา ปุน วนฺทิตฺวา

"ภนฺเต เอกํ ภตฺตปาตึ นิสฺสาย ตีณิ สํวจฺฉรานิ เม ปรเคเห ภตึ กโรนฺเตน ทุกฺขํ อนุภูตํ, อิทานิ เม นิพฺพตฺตฏฺฐาเน
สุขเมว โหตุ, ตุมฺเหหิ ทิฏฺฐธมฺมสฺเสว ภาคี ภเวยฺยนฺติ อาห.

ปจฺเจกพุทฺโธ "เอวํ โหตุ, จินฺตามณิ วิย เต สพฺพกาเม ททมานา สงฺกปฺปา ปุณฺณจนฺโท วิย ปริปูเรนฺตูติ อนุโมทนํ กโรนฺโต

     "อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ ตุยฺหํ       ขิปฺปเมว สมิชฺฌตุ,
      สพฺเพ ปูเรนฺตุ สงฺกปฺปา   จนฺโท ปณฺณรโส (๑-) ยถา,
      อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ ตุยฺหํ       ขิปฺปเมว สมิชฺฌตุ,
      สพฺเพ ปูเรนฺตุ สงฺกปฺปา   มณิ โชติรโส ยถาติ
(คาถานี้อยู่ในบทที่ ๒. อนุโมทนารัมภคาถา)

วตฺวา "อยํ มหาชโน (๒-) ยาว คนฺธมาทนปพฺพตคมนา มํ ปสฺสนฺโตว ติฏฺฐตูติ อธิฏฺฐาย อากาเสน คนฺธมาทนํ อคมาสิ. มหาชโนปิ นํ ปสฺสนฺโตว อฏฺฐาสิ.

โส ตตฺถ คนฺตฺวา ตํ ปิณฺฑปาตํ ปญฺจสตานํ ปจฺเจกพุทฺธานํ วิภชิตฺวา อทาสิ. สพฺเพ อตฺตโน ปโหนกํ คณฺหึสุ.

"อปฺโป ปิณฺฑปาโต กถํ ปโหตีติ น จินฺเตตพฺพํ. จตฺตาริ หิ อจินฺเตยฺยานิ วุตฺตานิ, ตตฺรายํ ปจฺเจกพุทฺธวิสโยติ.

__________________________________
@เชิงอรรถ : (๑-) ยุ. ปณฺณเรสี., (๒-) สี. ยุ. ชโน.

(คำแปล)ทานที่ถวายไม่เหลือมีผลมาก    
         
จริงอยู่ ทานที่บุคคลถวายไม่เหลือไว้เพื่อตน แม้แต่น้อยหนึ่ง ชื่อว่าทานไม่มีส่วนเหลือ ทานนั้นย่อมมีผลมาก.

นายภัตตภติกะนั้น เมื่อทำอย่างนั้น จึงได้ถวายหมด ไหว้อีกแล้ว เรียนว่า "ท่านขอรับ ผมอาศัยถาดภัตถาดเดียว ต้องทำการรับจ้างในเรือนของคนอื่นถึง ๓ ปี ได้เสวยทุกข์แล้ว, บัดนี้ ขอความสุขจงมีแก่กระผมในที่ที่บังเกิดแล้วเถิด. ขอกระผมพึงมีส่วนแห่งธรรมที่ท่านเห็นแล้วเถิด."

พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า "ขอจงสมคิด เหมือนแก้วสารพัดนึก ความดำริอันให้ความใคร่ทุกอย่าง จงบริบูรณ์แก่ท่าน เหมือนพระจันทร์ในวันเพ็ญฉะนั้น"

เมื่อจะทำอนุโมทนา จึงกล่าวว่า

     "สิ่งที่ท่านมุ่งหมายแล้ว จงสำเร็จพลันทีเดียว,
      ความดำริทั้งปวง จงเต็มเหมือนพระจันทร์ในวันเพ็ญ.
      สิ่งที่ท่านมุ่งหมายแล้ว จงสำเร็จพลันทีเดียว,
      ความดำริทั้งปวง จงเต็มเหมือนแก้วมณีโชติรส ฉะนั้น"


ดังนี้แล้ว อธิษฐานว่า "ขอมหาชนนี้จงยืนเห็นเรา จนกระทั่งถึงเขาคันธมาทน์เถิด." ได้ไปสู่ภูเขาคันธมาทน์โดยอากาศแล้ว. ถึงมหาชนก็ได้ยืนเห็นท่านอยู่นั่นแหละ.

พระปัจเจกพุทธเจ้าไปภูเขาคันธมาทน์แล้ว ได้แบ่งบิณฑบาตนั้นถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ รูป พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ รูป ได้รับเอาภัตเพียงพอแก่ตนๆ แล้ว.

ใครๆ ไม่พึงคิดว่า "บิณฑบาตเล็กน้อยจะพอเพียงอย่างไร.?"
ด้วยว่าอจินไตย ๔ อย่าง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้ว ในอจินไตย ๔ เหล่านั้น นี้ก็เป็นปัจเจกพุทธวิสัยแล.

_____________________________________________________
ที่มา(บาลี) : https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=22&A=882
ที่มา(คำแปล) : https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=20&p=11
ขอบคุณภาพจาก : pinterest





คำอนุโมทนาของพระปัจเจกพุทธเจ้า (อีกสำนวนหนึ่ง)
แก้ไขเพิ่มเติม ณ วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๗


ผมได้มีโอกาสอ่าน เรื่อง พรรณนาอัพภันตรนิทาน (อยู่ใน อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ เถราปทาน ๑. พุทธวรรค , ๑. พุทธาปทาน , หน้าต่างที่ ๙ / ๑๑.) ได้เห็นคำอนุโมทนาของพระปัจเจกพุทธเจ้า ขอยกมาแสดงดังนี้




 :25:

เถราปทาน
๑. พุทฺธวคฺค
อพฺภนฺตรนิทานวณฺณนา


[๕] "อถ พุทฺธาปทานานิ     สุณาถ สุทฺธมานสา
      ตึสปารมิสมฺปุณฺณา      ธมฺมราชา อสงฺขิยา" ติ

เอตฺถ อถาติ อธิการนฺตรูปทสฺสนตฺเถ นิปาตปทํ, วิภตฺติยุตฺตายุตฺตนิปาตทฺวเยสุ วิภตฺติยุตฺตนิปาตปทํ.

อถ วา :-
     อธิกาเร มงฺคเล เจว   นิปฺผนฺนตฺเถวธารเณ
     อนนฺตเรปคมเน        อถสทฺโท ปวตฺตติ.

ตถา หิ:-
    "อธิกิจฺจํ อธิฏฺฐานํ      อธิอตฺถํ วิภาสติ
     เสฏฺฐเชฏฺฐกภาเวน     อธิกาโร วิธียเต" ติ

วุตฺตตฺตา พุทฺธานํ สมตฺตึสปารมิธมฺมานํ อธิกิจฺจโต, เสฏฺฐเชฏฺฐโต อธิการฏฺเฐน อถสทฺเทน ยุตฺตมปทานานีติ.

ติวิธโพธิสตฺตานํ ปูชามงฺคลสภาวโต "ปูชา จ ปูชเนยฺยานํ, เอตํ มงฺคลมุตฺตมนฺ" ติ วจนโต มงฺคลฏฺเฐน อถสทฺเทน ยุตฺตมปทานานีติ.

พุทฺธาทีนํ ภควนฺตานํ สมฺปตฺติกิจฺจสฺส อรหตฺตมคฺเคน นิปฺผนฺนโต นิปฺผนฺนฏฺเฐน อถสทฺเทน ยุตฺตมปทานานีติ.

พุทฺธาทีนํ อรหตฺตมคฺคาทิกุสลโต อญฺญกุสลานํ อภาวโต อวธารณฏฺเฐน นิวารณฏฺเฐน อถสทฺเทน ยุตฺตมปทานานีติ.

ขุทฺทกปาฐสงฺคหานนฺตรํ  สงฺคหิตนฺติ อนนฺตรฏฺเฐน อถสทฺเทน ยุตฺตมปทานานีติ.

@@@@@@@

อิโต ขุทฺทกปาฐโต ปฏฺฐายาติ อปคมนฏฺเฐน อถสทฺเทน ยุตฺตมปทานานีติ.

     พุทฺโธติ เอตฺถ พุชฺฌิตา สจฺจานีติ พุทฺโธ,
     โพเธตา ปชายาติ พุทฺโธ,
     สพฺพญฺญุตาย พุทฺโธ,
     สพฺพทสฺสาวิตาย พุทฺโธ,
     อนญฺญเนยฺยตาย พุทฺโธ,
     วิสวิตาย พุทฺโธ,
     ขีณาสวสงฺขาเตน พุทฺโธ,
     นิรุปกฺกิเลสสงฺขาเตน พุทฺโธ,
     ปพฺพชฺชาสงฺขาเตน พุทฺโธ,
     อทุติยฏฺเฐน พุทฺโธ,
     ตณฺหาปหานฏฺเฐน พุทฺโธ,
     เอกายนมคฺคํ คโตติ พุทฺโธ,
     เอโก อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ อภิสมฺพุทฺโธติ พุทฺโธ,
     อพุทฺธิวิหตตฺตา พุทฺธิปฏิลาภา พุทฺโธ,

พุทฺธิ พุทฺธํ โพโธติ อนตฺถนฺตรเมตํ. ยถา นีลาทิวณฺณโยคโต ปโฏ "นีโล ปโฏ, รตฺโต ปโฏ" ติ วุจฺจติ, เอวํ พุทฺธคุณโยคโต พุทฺโธ.


@@@@@@@

อถ วา "โพธี"ติ วุจฺจติ จตูสุ มคฺเคสุ ญาณํ, เตน ญาเณน สกลทิยฑฺฒสหสฺสกิเลสาริคเณ เขเปตฺวา นิพฺพานาธิคมนโต ญาณํ "โพธี" ติ วุจฺจติ. เตน สมฺปยุตฺโต สมงฺคีปุคฺคโล พุทฺโธ. เตเนว ญาเณน ปจฺเจกพุทฺโธปิ สพฺพกิเลเส เขเปตฺวา นิพฺพานมธิคจฺฉติ.

พุทฺธานํ ปน จตูสุ อสงฺเขฺยยฺเยสุ กปฺปสตสหสฺเสสุ จ ปารมิโย ปูเรตฺวา โพธิญาณสฺสาธิคตตฺตา จ อินฺทฺริยปโรปริยตฺตญาณ มหากรุณาสมาปตฺติ-ญาณ ยมกปาฏิหาริยญาณ สพฺพญฺญุตญฺญาณ อนาวรณอาสยานุสยาทิอสาธารณญาณานํ

สมธิคตตฺตา จ เอกายปิ ธมฺมเทสนาย อสงฺเขฺยยฺยสตฺตนิกาเย ธมฺมามตํ ปาเยตฺวา นิพฺพานสฺส ปาปนโต จ ตเทว ญาณํ พุทฺธานเมวาธิกภาวโต เตสเมว สมฺพุทฺธานํ อปทานํ การณํ พุทฺธาปทานํ.

ตญฺหิ ทุวิธํ กุสลากุสลวเสน. ปจฺเจกพุทฺธา ปน น ตถา กาตุํ สมตฺถา, อนฺนาทิปจฺจยทายกานํ ๒- สงฺคหํ กโรนฺตาปิ :-

    "อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ ตุยฺหํ     ขิปฺปเมว สมิชฺฌตุ
     ปูเรนฺตุ จิตฺตสงฺกปฺปา  จนฺโท ปณฺณรโส ยถา.
     อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ ตุยฺหํ     ขิปฺปเมว สมิชฺฌตุ
     ปูเรนฺตุ จิตฺตสงฺกปฺปา   มณิโชติรโส ยถา" ติ

     (คาถานี้อยู่ในบทที่ ๒. อนุโมทนารัมภคาถา)

@@@@@@@

อิมาหิ ทฺวีหิเยว คาถาหิ ธมฺมํ เทเสนฺติ. เทเสนฺตาปิ อสงฺเขฺยยฺยสตฺตนิกาเย โพเธตุํ น สกฺกุณนฺติ, ตสฺมา น สพฺพญฺญุพุทฺธสทิสา หุตฺวา ปาฏิเยกฺกํ วิสุํ พุทฺธาติ ปจฺเจกพุทฺธา. เตสํ อปทานํ การณํ ปจฺเจกพุทฺธาปทานํ.

จิรํ ฐิตาติ เถรา.
อถ วา ถิรตรสีลาจารมทฺทวาทิคุเณหิ ยุตฺตาติ เถรา.
อถ วา ถิรวรสีลสมาธิปญฺญาวิมุตฺติวิมุตฺติญาณทสฺสนคุเณหิ ยุตฺตาติ เถรา.
อถ วา ถิรตรสงฺขาตปณีตานุตฺตรสนฺตินิพฺพานมธิคตาติ เถรา,
เถรานํ อปทานานิ เถราปทานานิ.
ตถา ตาทิคุเณหิ ยุตฺตาติ เถรี, เถรีนํ อปทานานิ เถรีปทานานิ.

__________________________________________
ที่มา : อรรถกถาเล่มที่ ๔๙ ภาษาบาลีอักษรไทย  อป.อ.๑ (วิสุทฺธ.๑) , ขุทฺทกนิกาย อปทานฏฺฐกถา (ปฐโม ภาโค)
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=49&A=1




พรรณนาอัพภันตรนิทาน   
           
ศัพท์ว่า อถ ในคาถานี้ว่า
ลำดับนี้ ท่านทั้งหลายผู้มีใจบริสุทธิ์ จงสดับพุทธาปทานว่า เราเป็นพระธรรมราชาสมบูรณ์ด้วยบารมี ๓๐ ถ้วน ซึ่งใครๆ นับไม่ได้ ดังนี้.

เป็นบทนิบาตใช้ในอรรถว่า แสดงลำดับแห่งอธิการ คือเป็นบทนิบาตที่ประกอบด้วยวิภัตติ ในบรรดานิบาตทั้งสอง ที่ประกอบด้วยวิภัตติและไม่ประกอบวิภัตติ.

อีกอย่างหนึ่ง
อถ ศัพท์เป็นไปในอรรถว่า อธิการ, มงคล,
อรรถว่า สำเร็จ, อวธารณะ,
อรรถว่า ต่อเนื่องกันไป, และอรรถว่า ปราศจากไป.

จริงอย่างนั้น เพราะท่านกล่าวไว้ว่า
อธิการย่อมบ่งบอกถึงกิจอันยิ่ง ฐานะอันยิ่ง และอรรถอันยิ่ง ท่านกล่าวไว้โดยภาวะอันประเสริฐที่สุดและเจริญที่สุด ดังนี้.

(เชื่อมความว่า) ท่านทั้งหลายจงฟังอปทาน (คือเหตุ) อันประกอบด้วย อถศัพท์อันมีอธิการเป็นอรรถ โดยเป็นกิจอันยิ่งแห่งบารมีธรรม ๓๐ ถ้วนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย คือโดยภาวะอันประเสริฐที่สุดและเจริญที่สุด.

เชื่อมความว่า ท่านทั้งหลายจงฟังอปทานอันประกอบด้วย อถศัพท์ซึ่งมีมงคลเป็นอรรถ โดยพระบาลีว่า การบูชาผู้ควรบูชา นั่นเป็นมงคลอันสูงสุด เพราะการบูชาพระโพธิสัตว์ ๓ จำพวกเป็นมงคลโดยสภาพ.

เชื่อมความว่า ท่านทั้งหลายจงฟังอปทานที่ประกอบด้วย อถศัพท์อันมีความสำเร็จเป็นอรรถ เพราะกิจแห่งสมบัติของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นต้น สำเร็จแล้วด้วยพระอรหัตมรรค.

เชื่อมความว่า ท่านทั้งหลายจงฟังอปทานอันประกอบด้วย อถศัพท์อันมีอวธารณะเป็นอรรถ คือมีการห้ามเป็นอรรถ เพราะพระพุทธเจ้าเป็นต้น ไม่มีกุศลอื่นจากกุศลมีอรหัตมรรคเป็นต้น.

เชื่อมความว่า ท่านทั้งหลายจงฟังอปทานอันประกอบด้วย อถศัพท์อันมีอนันตระ ความต่อเนื่องกันเป็นอรรถ เพราะท่านร้อยกรองไว้ติดต่อกับการร้อยกรองขุททกปาฐะ.

เชื่อมความว่า ท่านทั้งหลายจงฟังอปทานอันประกอบด้วย อถศัพท์ซึ่งมีการจากไปเป็นอรรถ เพราะเริ่มจากขุททกปาฐะนี้ไป.

@@@@@@@

     ในบทว่า พุทฺโธ พระพุทธเจ้า นี้มีวิเคราะห์ดังต่อไปนี้.
     ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะตรัสรู้สัจจะทั้งหลาย.
     ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะยังหมู่สัตว์ให้ตรัสรู้.
     ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะทรงเป็นผู้รู้สิ่งทั้งปวง.
     ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะทรงหยั่งเห็นสิ่งทั้งปวง.
     ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะทรงเป็นผู้ไม่มีคนอื่นแนะนำ.
     ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะทรงเป็นผู้เบิกบาน.
     ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะสิ้นอาสวะแล้ว.
     ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะปราศจากอุปกิเลส.
     ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะการถือบวช.
     ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะอรรถว่าไม่เป็นที่สอง.
     ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะอรรถว่าละตัณหาได้.
     ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะเสด็จดำเนินทางเป็นที่ไปอันเอก.
     ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะพระองค์เดียวตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยม.
     ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะทรงได้เฉพาะความรู้ เป็นเหตุกำจัดความไม่รู้เสียได้.
     บททั้งสามคือ พุทฺธิ พุทฺธํ โพโธ นี้ ไม่มีความแตกต่างกัน. ผ้าเขาเรียกว่า ผ้าเขียว ผ้าแดง เพราะประกอบด้วยสีเขียวเป็นต้น ฉันใด.
     ชื่อว่า พระพุทธเจ้า เพราะประกอบด้วยคุณของพระพุทธเจ้า ฉันนั้น.


@@@@@@@

อีกอย่างหนึ่ง ญาณในมรรคทั้ง ๔ เรียกว่า โพธิ, ญาณที่เรียกว่าโพธิ เพราะทำหมู่กิเลส ๑,๕๐๐ ทั้งสิ้นให้สิ้นไป ด้วยญาณนั้นนั่นแหละแล้วบรรลุพระนิพพาน. สมังคีบุคคลผู้ประกอบพร้อมด้วยญาณนั้น ชื่อว่าเป็นพระพุทธเจ้า. แม้พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ทำกิเลสทั้งปวงให้สิ้นไปด้วยญาณนั้นเหมือนกัน แล้วจึงบรรลุพระนิพพาน.

ก็ญาณนั้นเท่านั้นเป็นอปทาน คือ เป็นเหตุของพระสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น โดยเป็นญาณอันยิ่งเฉพาะของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จึงชื่อว่า พุทธาปทาน

เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงบำเพ็ญบารมีมา ๔ อสงไขยแสนกัป จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ และเพราะทรงบรรลุอสาธารณญาณมีอินทริยปโรปริยัตติญาณ มหากรุณาสมาบัติญาณ ยมกปาฏิหาริยญาณ สัพพัญญุตญาณ อนาวรณญาณ อาสยานุสยญาณ เป็นต้น และเพราะทรงให้หมู่สัตว์นับไม่ถ้วนดื่มอมตธรรมด้วยพระธรรมเทศนา แม้กัณฑ์เดียวแล้วให้บรรลุพระนิพพาน.

ก็พุทธาปทานนั้นมี ๒ อย่าง โดยเป็นกุศลและอกุศล แต่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายไม่สามารถจะทำอย่างนั้นได้ แม้เมื่อจะทำการสงเคราะห์ทายกผู้ถวายปัจจัยมีข้าวเป็นต้น ก็แสดงธรรมด้วยคาถา ๒ คาถานี้เท่านั้นแหละ ว่า

     ขออิฐผลที่ท่านอยากได้แล้วปรารถนาแล้ว  จงสำเร็จโดยเร็วพลัน
     ความดำริไว้ในใจจงเต็มที่                       เหมือนพระจันทร์ในวันเพ็ญ ฉะนั้น.
     ขออิฐผลที่ท่านอยากได้แล้วปรารถนาแล้ว  จงสำเร็จโดยเร็วพลัน
     ความดำริในใจจงเต็มที่                          เหมือนแก้วมณีชื่อโชติรส ฉะนั้น ดังนี้.

     (คาถานี้อยู่ในบทที่ ๒. อนุโมทนารัมภคาถา)

@@@@@@@

พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายแม้จะแสดงธรรม ก็ไม่อาจทำหมู่สัตว์นับไม่ถ้วนให้ตรัสรู้ได้ เพราะฉะนั้น จึงไม่เป็นเหมือนพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ตรัสรู้ได้เฉพาะโดยโดดเดี่ยว เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าพระปัจเจกพุทธเจ้า. อปทาน คือ เหตุแห่งพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น ชื่อว่า ปัจเจกพุทธาปทาน.

ชื่อว่า เถระ เพราะดำรงอยู่นาน.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า เถระ เพราะประกอบด้วยคุณ มีศีล อาจาระและมัทวะ ความอ่อนโยน เป็นต้น อันมั่นคงกว่า.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า เถระ เพราะประกอบด้วยคุณ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติและวิมุตติญาณทัสสนะอันมั่นคงและประเสริฐ.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า เถระ เพราะบรรลุพระนิพพาน คือ สันติที่นับว่ามั่นคงกว่า ประณีตและยอดเยี่ยม.

อปทานของพระเถระทั้งหลาย ชื่อว่า เถราปทาน.
ชื่อว่า เถรี เพราะประกอบด้วยตาทิคุณทั้งหลายเหมือนพระเถระ. อปทานของพระเถรีทั้งหลาย ชื่อว่า เถรีปทาน.

___________________________________________
ที่มา : อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ เถราปทาน ๑. พุทธวรรค , ๑. พุทธาปทาน หน้าต่างที่ ๙ / ๑๑.
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=32.0&i=1&p=9
ขอบคุณภาพจาก : pinterest


อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=32&A=1&Z=146
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 29, 2024, 09:06:31 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: บทสวด "ยถา-สัพพี" ไม่ใช่พุทธพจน์ แล้วมาจากไหน.?
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ตุลาคม 24, 2024, 10:31:19 am »
0
.

ขอบคุณภาพจาก http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=39615


ที่มา : สามัญญานุโมทนาคาถา



สามัญญานุโมทนาคาถา (บาลี)

บทที ๑. สพฺพีติโย วิวชฺชนฺตุ          สพฺพโรโค วินสฺสตุ
            มา เต ภวตฺวนฺตราโย        สุขี ทีฆายุโก ภว

            สพฺพีติโย วิวชฺชนฺตุ          สพฺพโรโค วินสฺสตุ
            มา เต ภวตฺวนฺตราโย        สุขี ทีฆายุโก ภว

            สพฺพีติโย วิวชฺชนฺตุ          สพฺพโรโค วินสฺสตุ
            มา เต ภวตฺวนฺตราโย        สุขี ทีฆายุโก ภว

บทที ๒. อภิวาทนสีลิสฺส  นิจฺจํ       วุฑฺฒาปจายิโน
            จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ    อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ




 :25: :25: :25:

ที่มาของบทที่ ๑. อยู่ในอรรถกถา พระผู้มีพระภาคเจ้าทีปังกรกับสุเมธดาบส  

อรรถกถาเล่มที่ ๔๙ ภาษาบาลีอักษรไทย อป.อ.๑ (วิสุทฺธ.๑)
ขุทฺทกนิกาย อปทานฏฺฐกถา (ปฐโม ภาโค)


โพธิสตฺโตปิ เทวตาหิ อภิตฺถวิโต "อหํ ทส ปารมิโย ปูเรตฺวา กปฺปสตสหสฺสาธิกานํ จตุนฺนํ อสงฺเขฺยยฺยานํ มตฺถเก พุทฺโธ ภวิสฺสามี "ติ วีริยํ ทฬฺหํ กตฺวา อธิฏฺฐาย นภํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา หิมวนฺตเมว อคมาสิ.

   เตน วุตฺตํ :-

  "ทิพฺพํ มานุสกํ ปุปฺผํ        เทวา มานุสกา อุโภ
   สโมกิรนฺติ ปุปฺเผหิ         วุฏฺฐหนฺตสฺส อาสนา.

   เวทยนฺติ จ เต โสตฺถึ      เทวา มานุสกา อุโภ
   มหนฺตํ ปตฺถิตํ ตุยฺหํ        ตํ ลภสฺสุ ยถิจฺฉิตํ.

   สพฺพีติโย วิวชฺชนฺตุ         โสโก โรโค วินสฺสตุ
   มา เต ภวนฺตฺวนฺตรายา(๑-) ผุส ขิปฺปํ โพธิมุตฺตมํ.
(คาถานี้อยู่ในบทที่ ๑. สามัญญานุโมทนาคาถา)

   _______________
   (๑-) สี. ภวตฺวนฺตราโย.

   ยถาปิ สมเย ปตฺเต         ปุปฺผนฺติ ปุปฺผิโน ทุมา
   ตเถว ตฺวํ มหาวีร           พุทฺธญาเณน ปุปฺผสุ..ฯ

_________________________________________________
ที่มา : https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=49&A=1

 st11 st11 st11

อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ เถราปทาน ๑. พุทธวรรค
๑. พุทธาปทาน หน้าต่างที่ ๓ / ๑๑.


ฝ่ายพระโพธิสัตว์ผู้อันเทวดาทั้งหลายสรรเสริญแล้ว จึงคิดว่า เราจักบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์เป็นพระพุทธเจ้าในที่สุดสี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป ดังนี้แล้ว อธิษฐานความเพียรกระทำให้มั่น แล้วได้เหาะขึ้นสู่ท้องฟ้าไปสู่ป่าหิมพานต์ทันที.

     ด้วยเหตุนั้น ท่าน(เทวดา)จึงกล่าวว่า :-

     เหล่าเทวดาและมนุษย์ทั้งสองพวก ต่างโปรยปรายดอกไม้ทิพย์ และดอกไม้อันเป็นของมนุษย์ แก่เขาผู้ลุกขึ้นจากอาสนะ.

     เทวดาและมนุษย์ทั้งสองพวกนั้น ต่างก็ประกาศความสวัสดีว่า ความปรารถนาของท่านยิ่งใหญ่ ขอท่านจงได้สิ่งนั้น ตามความปรารถนา.

     ขอสรรพเสนียดจัญไรจงบำราศไป ขอความโศกและโรคจงพินาศไป อันตรายทั้งหลายจงอย่าได้มีแก่ท่าน ท่านจงได้สัมผัสพระโพธิญาณอันอุดม โดยเร็วพลัน.

     เมื่อถึงฤดูกาล ต้นไม้ทั้งหลายที่มีดอก ย่อมผลิดอก แม้ฉันใด ข้าแต่มหาวีระ ขอท่านจงเบิกบานด้วยพุทธญาณ ฉันนั้นเถิด.

__________________________________________________
ที่มา : https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=32.0&i=1&p=3

 st12 st12 st12

อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก ได้ที่ :-
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑
๑. พุทธวรรค หมวดว่าด้วยพระพุทธเจ้า เป็นต้น
๑. พุทธาปทาน พระประวัติในอดีตชาติของพระพุทธเจ้า

https://84000.org/tipitaka/attha/m_siri.php?B=32&siri=1
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 24, 2024, 10:37:15 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: บทสวด "ยถา-สัพพี" ไม่ใช่พุทธพจน์ แล้วมาจากไหน.?
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2024, 07:01:21 am »
0
.



ที่มา : สามัญญานุโมทนาคาถา



สามัญญานุโมทนาคาถา (บาลี)

บทที ๑. สพฺพีติโย วิวชฺชนฺตุ          สพฺพโรโค วินสฺสตุ
            มา เต ภวตฺวนฺตราโย        สุขี ทีฆายุโก ภว

            สพฺพีติโย วิวชฺชนฺตุ          สพฺพโรโค วินสฺสตุ
            มา เต ภวตฺวนฺตราโย        สุขี ทีฆายุโก ภว

            สพฺพีติโย วิวชฺชนฺตุ          สพฺพโรโค วินสฺสตุ
            มา เต ภวตฺวนฺตราโย        สุขี ทีฆายุโก ภว

บทที ๒. อภิวาทนสีลิสฺส  นิจฺจํ       วุฑฺฒาปจายิโน
            จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ    อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ







ที่มาของบทที่ ๒. อยู่ในอรรถกถา เรื่องอายุวัฒนกุมาร  



อรรถกถาเล่มที่ ๒๑ ภาษาบาลีอักษรไทย
ธ.อ.๔ ปณฺฑิต-สหสฺสวคฺค | ๘. สหสฺสวคฺควณฺณนา


๘. อายุวฑฺฒนกุมารวตฺถุ. (๘๘)

อเถกทิวสํ ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฏฺฐาเปสุํ "ปสฺสถาวุโส, อายุวฑฺฒนกุมาเรน กิร สตฺตเม ทิวเส มริตพฺพํ อภวิสฺส, โส อิทานิ (วีสวสฺสสตฏฺฐายี หุตฺวา) ปญฺจหิ อุปาสกสเตหิ ปริวุโต วิจรติ ; อตฺถิ มญฺเญ อิเมสํ สตฺตานํ อายุวฑฺฒนการณนฺติ.

สตฺถา อาคนฺตฺวา "กาย นุตฺถ ภิกฺขเว เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนาติ ปุจฺฉิตฺวา, "อิมาย นามาติ วุตฺเต,

"ภิกฺขเว น เกวลํ อายุวฑฺฒนเมว, อิเม ปน สตฺตา คุณวนฺโต วนฺทนฺตา จตูหิ การเณหิ วฑฺฒนฺติ, ปริสฺสยโต มุจฺจนฺติ, ยาวตายุกเมว ติฏฺฐนฺตีติ วตฺวา อนุสนฺธึ ฆเฏตฺวา ธมฺมํ เทเสนฺโต อิมํ คาถมาห

   "อภิวาทนสีลิสฺส  นิจฺจํ วุฑฺฒาปจายิโน
    จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ อายุ วณฺโณ สุขํ พลนฺติ.
(คาถานี้อยู่ในบทที่ ๒. สามัญญานุโมทนาคาถา)

    @@@@@@@

ตตฺถ "อภิวาทนสีลิสฺสาติ : วนฺทนสีลิสฺส อภิณฺหํ วนฺทนกิจฺจํ ปสุตสฺสาติ อตฺโถ.

วุฑฺฒาปจายิโนติ : คิหิสฺส  ตทหุปฺปพฺพชิเต ทหรสามเณเรปิ  ปพฺพชิตสฺส วา ปน ปพฺพชฺชาย วา อุปสมฺปทาย วา วุฑฺฒตเร คุณวุฑฺเฒ อปจายมานสฺส อภิวาทเนน วา นิจฺจํ ปูเชนฺตสฺสาติ อตฺโถ.

จตฺตาโร ธมฺมาติ : อายุมฺหิ วฑฺฒมาเน, ยตฺตกํ กาลํ ตํ วฑฺฒติ, อิตเรปิ ตตฺตกํ วฑฺฒนฺติเยว. เยน หิปญฺญาสวสฺสายุสํวตฺตนิกํ กุสลํ กตํ, ปญฺจวีสติวสฺสกาเลปิสฺส ชีวิตนฺตราโย อุปฺปชฺเชยฺย ; โส อภิวาทนสีลตาย ปฏิปฺปสฺสมฺภติ. โส ยาวตายุกเมว ติฏฺฐติ. วณฺณาทโยปิสฺส อายุนาว สทฺธึ วฑฺฒนฺติ.

อิโต อุตฺตรึปิ  เอเสว นโย.
อนนฺตราเยน ปวตฺตสฺส ปน อายุโน วฑฺฒนํ นาม นตฺถีติ.

เทสนาวสาเน อายุวฑฺฒนกุมาโร ปญฺจหิ อุปาสกสเตหิ สทฺธึ โสตาปตฺติผเล ปติฏฺฐหิ, อญฺเญปิ พหู โสตาปตฺติผลาทีนิ ปาปุณึสูติ.

                    อายุวฑฺฒนกุมารวตฺถุ.

_____________________________________________________
ที่มา : https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=21&A=1780






อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท สหัสสวรรคที่ ๘
๘. เรื่องอายุวัฒนกุมาร [๘๘] หน้าต่างที่ ๘ / ๑๔.


การกราบไหว้ท่านผู้มีคุณทำให้อายุยืน  
           
ภายหลังวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า "ผู้มีอายุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงดู ได้ยินว่า อายุวัฒนกุมารพึงตายในวันที่ ๗ บัดนี้ อายุวัฒนกุมารนั้น (ดำรงอยู่ ๑๒๐ ปี) อันอุบาสก ๕๐๐ คนแวดล้อมเที่ยวไป เหตุเครื่องเจริญอายุของสัตว์เหล่านี้ เห็นจะมี."

พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า "ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมกัน ด้วยเรื่องอะไรหนอ?" เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า "ด้วยเรื่องชื่อนี้"

จึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย อายุเจริญอย่างเดียวเท่านั้นก็หาไม่, ก็สัตว์เหล่านี้ไหว้ท่านผู้มีพระคุณ ย่อมเจริญด้วยเหตุ ๔ ประการ, พ้นจากอันตราย ดำรงอยู่จนตลอดอายุทีเดียว" ดังนี้แล้ว

เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-

  ๘. อภิวาทนสีลิสฺส  นิจฺจํ วุฑฺฒาปจายิโน
      จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ  อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ.
      ธรรม ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ เจริญแก่
      บุคคลผู้กราบไหว้เป็นปกติ ผู้อ่อนน้อมต่อท่านผู้เจริญเป็นนิตย์.


    @@@@@@@

แก้อรรถ
             
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิวาทนสีลิสฺส คือ ผู้ไหว้เป็นปกติ ได้แก่ผู้ขวนขวายกิจคือการไหว้เนืองๆ.

บทว่า วุฑฺฒาปจายิโน ความว่า แก่คฤหัสถ์ผู้อ่อนน้อมหรือผู้บูชาเป็นนิตย์ ด้วยการกราบไหว้ แม้ในภิกษุหนุ่มและสามเณรบวชในวันนั้น, ก็หรือแก่บรรพชิตผู้อ่อนน้อมหรือผู้บูชาเป็นนิตย์ ด้วยการกราบไหว้ในท่านผู้แก่กว่าโดยบรรพชาหรือโดยอุปสมบท (หรือ)ในท่านผู้เจริญด้วยคุณ.

สองบทว่า จตฺตาโร ธมฺมา ความว่า เมื่ออายุเจริญอยู่, อายุนั้นย่อมเจริญสิ้นกาลเท่าใด, ธรรมทั้งหลายแม้นอกนี้ ก็เจริญสิ้นกาลเท่านั้นเหมือนกัน ด้วยว่าผู้ใดทำกุศลที่ยังอายุ ๕๐ ปี ให้เป็นไป, อันตรายแห่งชีวิตของผู้นั้นพึงเกิดขึ้นแม้ในกาลมีอายุ ๒๕ ปี, อันตรายนั้นย่อมระงับเสียได้ ด้วยความเป็นผู้กราบไหว้เป็นปกติ. ผู้นั้นย่อมดำรงอยู่ได้จนตลอดอายุทีเดียว. แม้วรรณะเป็นต้นของผู้นั้น ย่อมเจริญพร้อมกับอายุแล.

นัยแม้ยิ่งกว่านี้ ก็อย่างนี้แล.
ก็ชื่อว่า การเจริญแห่งอายุ ที่เป็นไปโดยไม่มีอันตราย หามีไม่.

ในเวลาจบเทศนา อายุวัฒนกุมารตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล พร้อมกับอุบาสก ๕๐๐ แล้ว, แม้ชนเหล่าอื่นเป็นอันมาก ก็บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.

               เรื่องอายุวัฒนกุมาร จบ.   

___________________________________________________
ที่มา : https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25.0&i=18&p=8




พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต                                                           
๘. สหัสสวรรค หมวดว่าด้วยหนึ่งในร้อยในพัน


๘. อายุวัฑฒนกุมารวัตถุ เรื่องอายุวัฒนกุมาร

(พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถานี้แก่อายุวัฒนกุมารและอุบาสก ๕๐๐ คน ดังนี้)

[๑๐๙] ธรรม ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ
          ย่อมเจริญแก่ผู้กราบไหว้ ผู้อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ เป็นนิตย์

_______________________________________________
ที่มา : https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=25&siri=17
ขอบคุณภาพจาก : pinterest
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 25, 2024, 07:04:01 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ